Biz Focus Industry Issue 124, May 2023

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

ไทย จีแอลปักหมุดยอดขายแตะ 1,300 ลบ.

ไทย จีแอลตั้งเป้ายอดขายพุ่ง 1,300 ลบ. เติบโตเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 5% มั่นใจตัวเลขเข้าเป้า เดินหน้าครีเอทโปรเจคใหม่ๆ และเร่งขยายฐานลูกค้าโรงพยาบาลภาคเอกชน พร้อมเปิดแผนธุรกิจ ชู Total Solution นำไอทีเสริมความแข็งแกร่งของแพทย์ในการวินิจฉัยโรคได้สะดวกและง่ายมากยิ่งขึ้น บวกกับให้ความสำคัญในการนำเข้าสินค้าคุณภาพ การเคลมสินค้าที่มีศักยภาพ และการบริการหลังการขายที่สอดรับกับธุรกิจของลูกค้า แย้มแผนอนาคตเตรียมบุกตลาด ตปท. กระจายความเสี่ยงจากปัจจัยลบ ตอกย้ำจุดเด่นแห่งความภาคภูมิใจ “จริงใจ ตรงไปตรงมา ไม่โกหก” การันตีความเชื่อมั่นลูกค้ากว่า 2 ทศวรรษ

คุณเทิดเกียรติ ทิพยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย จีแอล จำกัด

           คุณเทิดเกียรติ ทิพยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย จีแอล จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมที่ 1,300 ล้านบาท หรือ มีอัตราการเติบโตเพิ่ม 5% จากปี 2565 ที่มียอดขายรวมกว่า 1,200 ล้านบาท โดยสัดส่วนยอดขายรวมจะมาจากรถเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ 30%, อุปกรณ์ทางการแพทย์ 40%  และระบบไอที 30% ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตัวเลขยอดขายรวมดังกล่าวจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก บริษัทได้มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี ซึ่งมีระบบอย่างเป็นขั้นตอน

“ในปีนี้ เราตั้งเป้าตัวเลขยอดขายรวม 1,300 ล้านบาท เติบโตเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 5% การตั้งเป้าหมายของเราจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่การสร้างฝัน โดยเป้าหมายของปีที่ผ่านมา จริงๆ แล้ว คือ 1,100 ล้านบาท แต่เราทำได้เกินเป้า เพราะได้รับความอนุเคราะห์จากภาครัฐใน พ.ร.บ. เงินกู้ และในปีนี้ตัวเลขได้ขยับเพิ่มอีก 200 ล้านบาท ซึ่งเรามีความมั่นใจว่าสามารถทำได้ โดยเราจะมีการครีเอทโปรเจคใหม่ๆ เพื่อนำเสนอลูกค้า การขยายฐานลูกค้าโรงพยาบาลภาคเอกชนให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลูกค้าโรงพยาบาลระหว่างภาครัฐและเอกชน อยู่ที่ 70 : 30 เพื่อมาช่วยบาลานซ์ให้ได้ยอดขายรวมตามที่ต้องการ รวมทั้ง การเข้าถึงระบบรีโนเวทไอทีให้แก่โรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น” คุณเทิดเกียรติกล่าว

          ปัจจุบัน บริษัทมีมาเก็ตแชร์อันดับ 1 ในตลาดสินค้ารถเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ ขณะนี้ มียอดจำหน่ายกว่า 100 คันทั่วประเทศ มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาทต่อคัน ขณะที่ ระบบรับภาพทางการแพทย์ของ Konita Minolta และ Cannon รวมกันกว่า 1,000 แผ่น มูลค่ากลาง 2,500,000 บาทต่อแผ่น ส่วนเครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ โดยในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา มียอดจำหน่าย จำนวน 70 ยูนิต มูลค่า 5 ล้านบาทต่อยูนิต ทั้งนี้ ในส่วนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ จะมีในเรื่องของไอทีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยบริษัทได้มีการประยุกต์และติดตั้งโปรแกรม เพื่อให้ตรงกับความต้องการใช้งานของลูกค้า และให้มีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น 

ด้านแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทจะเน้นเรื่อง Total Solution เป็นหลัก ด้วยการนำระบบไอที หรือ ระบบสารสนเทศเพื่อนำไปช่วยในระบบการวินิจฉัยโรคมากยิ่งขึ้นจากเดิมที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยขยายระบบ Data Center ต่างๆ ในแต่ละจังหวัด รวมถึง การนำระบบ AI มาช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรคได้ง่ายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่คนไข้เข้ารับการเอ็กซ์เรย์แล้ว ระบบ AI จะเป็นผู้ดำเนินการเป็นอันดับแรกในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นจากรูปเอ็กซ์เรย์ หรือ มีการไฮไลท์ในจุดที่ผิดปกติ ต่อจากนั้นจะส่งต่อให้แก่แผนกรังสีแพทย์เป็นลำดับต่อไป เป็นต้น

          ทั้งนี้ ระบบ AI ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาทดแทนการดำเนินงานของแพทย์แต่จะเป็นระบบที่ช่วยในการกลั่นกรองเบื้องต้นเท่านั้น โดยบริษัทจะนำโปรดักส์ที่มีความแม่นยำสูง และสามารถนำระบบ AI ของบริษัทอื่นๆ มาประยุกต์ใช้กับระบบ AI ที่บริษัทมีอยู่ได้ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ที่ใช้ระบบ AI ของบริษัทอยู่แล้วมีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคมากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากการให้ความสำคัญในเรื่องของ Total Solution แล้ว บริษัทมุ่งเน้นการนำเข้าสินค้าที่มีคุณภาพมาจำหน่ายในประเทศไทย โดยในส่วนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Konita Minolta และ Cannon ประเทศญี่ปุ่น รวมถึง หลายๆ โปรดักส์ที่จัดจำหน่ายทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยกตัวอย่างเช่น สินค้าของ Konita Minolta และ Cannon ในส่วนของเครื่องเอ็กซเรย์ และระบบรับภาพเอ็กซเรย์ ถือว่ามีความละเอียดสูงสุดในตลาด ณ เวลานี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความแม่นยำในการดำเนินงานให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพการเคลมสินค้าอีกด้วย โดยมีคลังสินค้าเป็นของตัวเองที่บ่อวิน จังหวัดชลบุรี ซึ่งมี Spare Part หรือ ชิ้นส่วนสำรอง เนื่องจากลูกค้าหลักของบริษัท คือ โรงพยาบาล ดังนั้น การเปลี่ยน Spare Part หรือ ชิ้นส่วนสำรอง จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพราะเกี่ยวเนื่องกับชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งบริษัทไม่อยากให้เกิดความบกพร่อง หรือ การรอเวลา ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตของคนไข้ได้

          “เราจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องการบริการเคลมสินค้าเช่นเดียวกับคุณภาพสินค้า เพราะลูกค้าที่ให้โอกาสเราหลายๆ โปรเจค เขาเล็งเห็นถึงเรื่องดังกล่าวเป็นหลัก โดยเฉพาะลูกค้าโรงพยาบาล เรามีคลังสินค้า Spare Part หรือ ชิ้นส่วนสำรอง ที่บ่อวิน ซึ่งจะทำให้เราสามารถตอบโจทย์ในเรื่องการเคลมสินค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีศักยภาพในการดำเนินการ

ปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า ทุกแขนง ทุกระดับของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลศูนย์ หรือ โรงเรียนแพทย์ต่างๆ รวมถึง โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ เช่น เครือรามคำแหง เครือกรุงเทพ และเครือเกษมราษฎร์  เป็นต้น ล้วนแต่เป็นลูกค้าของเรา โดยสินค้าของเราได้มีการแบ่ง Segment และจะขึ้นอยู่กับงบประมาณของลูกด้วย ซึ่งเราจะจัด Solution ที่ดีที่สุดในงบประมาณที่ลูกค้าต้องการ” คุณเทิดเกียรติกล่าว

ด้านทิศทางการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากในปัจจุบันสินค้าของบริษัทจะวางจำหน่ายในประเทศ 100% ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนที่จะขยายตลาดไปต่างประเทศ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดต่างๆ เพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ โดยมองประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา เพราะมีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศไทย มีวัฒนธรรม มีรูปแบบการทำงานที่คล้ายๆ กับคนไทย รวมถึง การบริการหลังการขายที่สามารถดำเนินการได้ไม่ยาก โดยรูปแบบการดำเนินการจะเป็นความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ หรือ การแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในแต่ละประเทศ

“เรามีความตั้งใจที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะจริงๆ แล้วการเป็น Exporter ย่อมดีกว่า Importer ทั้งในเรื่องค่าเงินในรูปแบบต่างๆ และราคาปิโตรเลียม (น้ำมัน พลังงาน) เนื่องจาก งานขายและบริการหลังการขายจะต้องขับรถไปหาลูกค้า ซึ่งจะมีเรื่องปิโตรเลียมเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกอบกับ การเกิด Global Shortage of Semiconductors ทั่วโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าไอทีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโรงงาน 5-25% ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ Importer กันอย่างถ้วนหน้า” คุณเทิดเกียรติกล่าว

คุณเทิดเกียรติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายสาขาครบถ้วนตามหัวเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ นอกเหนือจากสาขาสำนักงานใหญ่ ที่กรุงเทพฯ โดยมีสาขาที่เชียงใหม่ หาดใหญ่ และลำปาง ซึ่งครอบคลุมในการให้บริการลูกค้าทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันอออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลางและกรุงเทพฯ จะดูแลโดยสำนักงานใหญ่

          “ขณะนี้ เรามีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ จำนวน 4 สาขา ทั้งภาคกลาง เหนือ ใต้ และอีสาน สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน โดยแต่ละสาขาจะให้บริการในทุกๆ เรื่องที่ลูกค้ามีความต้องการ ซึ่งงานขายจะดูแลโดย Area Manager ของแต่ละสาขา รวมถึง การบริการหลังการขายที่มีการดูแลในทุกๆ สาขา

ทั้งนี้ หากสาขาใดดำเนินงานไม่ทันในส่วนของการบริการหลังการขาย สามารถดึงพนักงานจากสำนักงานใหญ่เข้าไปช่วยเหลือดำเนินการได้ ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องการบริการหลังการขายที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ในปัจจุบันลูกค้าในแต่ละพื้นที่จะให้ความสำคัญในการบริการหลังการขายเป็นอันดับแรก ประกอบกับ ธุรกิจของโรงพยาบาลจะมีการดำเนินงาน 24 ชั่วโมง และการให้บริการของเราจะสอดรับกับการดำเนินงานของโรงพยาบาล โดยให้บริการ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 7 วัน” คุณเทิดเกียรติกล่าว

ส่วนจุดเด่นที่บริษัทมีความภาคภูมิใจ คือ ความจริงใจและความตรงไปตรงมากับลูกค้า ขณะเดียวกัน มองลูกค้าเป็นผู้ที่มีพระคุณ เมื่อลูกค้าให้โอกาสแก่บริษัทแล้ว บริษัทจะต้องมีความจริงใจต่อลูกค้า โดยความจริงใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นธุรกิจระยะยาว ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายนโยบายให้แก่พนักงานทุกคนว่า ห้ามโกหกลูกค้า มองลูกค้าเป็นครอบครัว เพราะหากลูกค้ารู้ความจริงว่าบริษัทโกหก จะเสียความรู้สึก และลูกค้าจะไม่ซื้อสินค้าของบริษัทอีกต่อไป ขณะเดียวกัน ลูกค้าหลักของบริษัท คือ โรงพยาบาลภาครัฐ ซึ่งเงินที่ซื้อสินค้าเป็นเงินภาษีของประชาชนทุกคน ดังนั้น บริษัทจึงได้ให้ความสำคัญในจุดนี้เป็นอย่างมาก ด้วยปัจจัยดังกล่าว จึงส่งผลให้บริษัทเติบโตในธุรกิจนี้มายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ

คุณเทิดเกียรติ กล่าวในตอนท้ายว่า ขอขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุนและให้โอกาส ซึ่งทำให้บริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2561-2565) จากตัวเลขยอดขายรวม 500 ล้านบาทในปี 2561 และขยับแตะ 1,000 ล้านบาท 2 ปี ซ้อน (2564-2565)  พร้อมทั้ง จะยืดหยัดในความจริงใจกับลูกค้าตลอดไป รวมถึง การบริการหลังการขายที่ตรงไปตรงมา นอกจากนี้ สิ่งใดที่บริษัทรับปากแล้วจะต้องทำให้ได้

          ขณะที่ ภาพรวมการดำเนินงานของธุรกิจสุขภาพจะไม่หวือหวาเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ แต่จะมีการเติบโตแบบคงเส้นคงวา เพราะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้และเป็นปัจจัยสี่ ปัจจุบัน คนไทยได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การตรวจสุขภาพเบื้องต้นจะมีความเกี่ยวเนื่องกับการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งสิ้น เช่น เครื่องเอ็กซเรย์ เป็นต้น ซึ่งทำให้กิจการของบริษัทมีการเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน และในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าคุณภาพใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม

www.thaigl.co.th