นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในปี 2565 เป็นปีที่กรมการแพทย์สถาปนาครบรอบ 80 ปี โดยในโอกาสนี้กรมฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมคือ “ทุกลมหายใจที่ได้คืนมา มีค่ามากเกินกว่าคำชื่นชม” เป็น “ทำดีที่สุด เพื่อทุกชีวิต” รวมถึงมีเป้าหมายการพัฒนาคือ ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพอย่างเสมอภาค ซึ่งแผนการดำเนินงานของปีนี้ ยังเป็นการต่อยอดจากปีที่ผ่านมา ด้วยความท้าทายในเรื่องโควิด-19 ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ จึงต้องปรับตัวให้เป็น Open Platform โดยมีนโยบายให้โรงพยาบาลในสังกัดเชิญชวนบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุข อาทิ กลุ่มตัวแทนผู้ป่วย ภาคประชาสังคม หรือ NGO เข้ามาเป็นกรรมการกำกับทิศของโรงพยาบาล เพื่อวางทิศทางการดำเนินงานให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนที่มารับการรักษาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว
ประกอบกับกรมการแพทย์จะมุ่งดูแลคนไข้แบบ VIP ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่าโรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัดต้องเป็น Smart Hospital ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยคนไข้ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลใดในสังกัดกรมการแพทย์ จะสามารถดูประวัติการรักษาต่างๆ ของตนเองได้บนมือถือผ่านระบบระเบียนสุขภาพส่วนบุคคล (Personal Health Record : PHR) ซึ่งกรมการแพทย์ได้มีการจัดทำแอปพลิเคชัน DMS Telemedicine ให้คนไข้สามารถดาวน์โหลด ลงทะเบียน เพื่อดูข้อมูลต่างๆ ด้านสุขภาพของตนเอง และยังสามารถ Telemedicine คุยกับแพทย์เพื่อปรึกษาอาการ หรือรักษาโรคที่ไม่ต้องมาโรงพยาบาลได้ โดยโรงพยาบาลจะทำการจัดส่งยาไปให้ตามอาการของคนไข้ทางไปรษณีย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวก ลดการรอคอยให้คนไข้ได้มากขึ้น
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการดูแลคนไข้แบบ VIP มาจาก V : Valuable การเพิ่มคุณค่าในการดูแล I : Impressed ทัศนคติที่ดี ให้คนไข้รู้สึกดีเวลาเข้ามารับบริการ และ P : Professional การดูแลแบบมืออาชีพ โดยกรมการแพทย์จะมุ่งปรับปรุง พัฒนาทุกด้านให้เป็นดิจิทัลทั้งหมด พร้อมกับพัฒนาเสริมสร้างภาพลักษณ์ 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.Smart OPD หรือผู้ป่วยนอก ที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดูสวยงามขึ้น เพื่อให้คนไข้ที่มารับบริการรู้สึกผ่อนคลาย ไม่แออัด ซึ่งมีโรงพยาบาลหลายแห่งเริ่มดำเนินการปรับปรุงในส่วนนี้แล้ว 2.Modernized IPD หรือผู้ป่วยใน จะมีการติดเครื่องปรับอากาศ พร้อมเครื่องระบายอากาศที่ดีทุกห้อง และปรับปรุงสภาพแวดล้อม เปลี่ยนความรู้สึกของคนไข้ให้รู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องรักษาตัวภายในโรงพยาบาล
3.Food Quality จะปรับปรุงเรื่องของเวลาในการเสิร์ฟอาหาร เพื่อให้คนไข้ได้ทานอาหารที่ร้อน ใหม่ และตรงเวลา โดยในการปรับปรุงเรื่องอาหารเราจะใช้คอนเซ็ปต์ 3 ข้อ คือ Safety : วัตถุดิบในการประกอบอาหารมีคุณภาพดี ปลอดสารพิษ Healthy : เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เหมาะสมกับอาการของคนไข้ และ Happy : อาหารต้องอุ่นตลอดเวลา มีเมนูให้คนไข้เลือก เพื่อให้คนไข้รู้สึกดี
“นี่จะเป็น 3 เรื่องสำคัญ ที่กรมการแพทย์เราเน้นเป็นพิเศษ เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่มารับบริการรู้สึกได้ว่า บริการดีๆ ไม่ได้มีเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น ก็เป็นแผนภาพรวมในปี 2565 ซึ่งเป็นโอกาสที่กรมการแพทย์ครบรอบ 80 ปี นอกจากนี้ ในเรื่องของโควิด-19 กรมการแพทย์ยังเน้นเตรียมในเรื่องของยาที่ใช้ในการรักษาต่างๆ โดยเจรจากับผู้ผลิตยาเพื่อจัดสรรยาให้เพียงพอ รวมถึงทำยาน้ำฟาวิพิราเวียร์สำหรับเด็ก เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในเด็กมีเพิ่มขึ้นมาก ทั้งยังจะเน้นเตรียม Community Isolation โรงพยายามสนามสำหรับเด็ก และแรงงานต่างด้าวเพื่อรองรับผู้ป่วยที่คาดว่าจะยังมีอยู่ในปี 2565 ด้วย” นพ.สมศักดิ์กล่าว
ส่วนการพัฒนา หรือยกระดับการรักษาพยาบาลในแต่ละโรค กรมการแพทย์มีแผนที่จะพัฒนาโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง ที่จะมีการต่อยอดเรื่องการตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง หรือการตรวจ HPV Self Test เนื่องจากเราเห็นความสำคัญของผู้หญิง ที่อาจไม่กล้าเดินทางไปตรวจด้วยตนเอง กรมการแพทย์จึงได้มีการออกแบบชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เพื่อให้ผู้หญิงสามารถเก็บตัวอย่างหรือสิ่งส่งตรวจทางช่องคลอดด้วยตัวเองที่บ้าน แล้วส่งสิ่งตรวจที่ได้ไปที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ตรวจทางการแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกโดยตรง
ขณะเดียวกัน ยังมีการทำคลินิกมลพิษออนไลน์ โดยโรงพยาบาลนพรัตน์ได้พัฒนาเป็นแอปพลิเคชัน ทำให้เราสามารถเช็คอาการต่างๆ ได้ หากมีอาการผิดปกติจากมลพิษ ถือเป็นการคัดกรองตนเองในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังมีเรื่องของกัญชา ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งกรมการแพทย์ได้มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยกัญชานานาชาติ และมีหน่วยงานจากหลากหลายประเทศ อย่างเช่น เกาหลี สิงคโปร์ ต้องการเข้าร่วมในด้านการวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งแต่เดิมมียุโรปและอเมริกาเป็นพันธมิตรอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในเรื่องของยาเสพติด ที่ต้องนับเป็นเรื่องหลักอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากประเทศไทยเรามีการประมวลกฎหมายใหม่ออกมาว่า ผู้เสพยาเสพติดที่มียาเสพติดในครอบครองไม่เกิน 15 เม็ดถือเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัด ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยยาเสพติดเยอะขึ้น กรมการแพทย์จึงเตรียมการรองรับ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้และพัฒนาแอปพลิเคชัน “ห่วงใย” ขึ้น ปัจจุบันมีการทดลองใช้แล้วในสถาบันธัญลักษณ์แล้วหลายแห่ง ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยยาเสพติดนอกโรงพยาบาลได้ และผู้ป่วยยังสามารถปรึกษาแพทย์ได้อย่างสะดวกด้วย
ขณะที่ด้านผู้สูงอายุ กรมการแพทย์มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน “สูงวัย” โดยเป็นแอปพลิเคชัน Health Literacy ที่ให้ข้อมูลว่าผู้สูงวัยต้องดูแลตนเองอย่างไร ทั้งยังสามารถคัดกรองตนเองได้ว่าอยู่ในสถานะไหน หากจำเป็นก็สามารถที่จะพูดคุยกับแพทย์ได้ ซึ่งการที่เรานำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทางการแพทย์มากขึ้น จะสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการบริการคือ “การให้บริการทุกที ทุกเวลา” ด้วย ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ กรมการแพทย์จึงอยากให้ญาติพี่น้อง หรือลูกหลานมามีส่วนร่วมด้วย เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องเทคโนโลยียังมีปัญหาอยู่ เนื่องจากบางส่วนยังต้องใช้เอกสารให้ผู้สูงอายุ ฉะนั้นการมีส่วนร่วมของญาติในการมาช่วยดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับบทบาทของกรมการแพทย์ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ทุกภาคส่วนล้วนมีบทบาทที่สำคัญทั้งสิ้นต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับกรมการแพทย์ถือเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ที่พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดำเนินการกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ บทบาทหลักของกรมการแพทย์ยังคงเป็นเรื่องของการดูแลรักษาพยาบาล เพราะฉะนั้นการที่เราจึงพยายามผลักดันการดำเนินงานให้เป็น Open Platform ให้ทุกคนมามีส่วนร่วมเสนอแนะ และทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย เพื่อผลักดันการรักษาพยาบาลให้เป็นทุกที่ทุกเวลา ให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ นี่จึงเป็นบทบาทเล็กๆ ของกรมการแพทย์ที่จะทำร่วมกับภาคีเครือข่ายในปีนี้
“ผมพยายามให้ทุกคนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด เราจึงพยายามเปิดให้เป็น Open Platform ให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน แล้วคนในกรมก็จะมีนโยบายแบบ Bottom Up คือข้างล่างสามารถสะท้อนข้างบนได้ เพราะว่าการที่เรากำหนดนโยบายแบบ Top Down มันไม่ได้ประโยชน์ทั้งหมด ก็ต้องให้มีส่วนร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ของเราเอง คนข้างนอก คนไข้ หรือแม้กระทั่งญาติคนไข้ อันนี้จะเป็นส่วนที่ดีที่สุดเมื่อร่วมมือกัน แต่ทั้งนี้เป้าหมายของทุกภาคส่วนที่ตั้งไว้จากเดิมคือ ‘ทุกลมหายใจที่ได้คืนมา มีค่ามากเกินกว่าคำชื่นชม’ เปลี่ยนมาเป็น ‘ทำดีที่สุด เพื่อทุกชีวิต’ เราต้องมาเคลียร์ให้ชัดเจนตรงกันก่อน ถ้าเปลี่ยนมาคิดตรงกันได้ก็จะดี และทำงานได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม กรมการแพทย์จะพยายามตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ด้วยการดูแลทุกที่ทุกเวลา โดยให้ประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วมเป็นหลักในการทำงานร่วมกัน และตอนนี้เราเองก็พยายามฝากวัฒนธรรมในการเอาคนไข้เป็นหลัก ถ้าเราคิดตรงกัน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรที่จะทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามนี้ นพ.สมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย