Biz Focus Industry Issue 150 July 2025

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

กางแผนธุรกิจ “AEG”

 เร่งขยายสาขา-ตั้งเป้าเติบโต 20% 

      AEG เดินหน้าแผนธุรกิจ ปักหมุดภาคอีสาน กลาง และเหนือ ขยายอีก 6 สาขา ตั้งเป้าปีนี้ให้บริการกว่า 20 สาขาทั่วประเทศ เสริมแกร่งการบริการ บวกตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุมในแต่ละพื้นที่ พร้อมประกาศบุกตลาดอาเซียน รับดีมานด์โต กระแสตอบรับดี ตั้งเป้าเติบโตจากปีที่ผ่านมา 20% มั่นใจตัวเลขตามคาด โดยปริมาณงานพุ่งขึ้นตั้งแต่ต้นปี พร้อมชูบริการใหม่ที่โดดเด่น “AEG Gold Cap-Lock” มุ่งแก้ไข Pain Point ลูกค้า-ปัญหาอาชญากรรม

      คุณวชิรวิทย์ พูน รองประธานกรรมการบริหาร แห่งบริษัทแองโกลอีสต์กรุป หรือ AEG บริษัทชั้นนำด้านการให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยและประกันภัยแบบครบวงจร โดยมีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจร้านทอง เพชร อัญมณี และธุรกิจมูลค่าสูง มากว่า 40 ปี กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่า AEG มีแผนที่จะขยายสาขาให้บริการในประเทศครบ 20 สาขา จากปัจจุบันที่ได้เปิดให้บริการแล้วจำนวน 14 สาขา ไม่ว่าจะเป็นสาขาจันทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี นครศรีธรรมราช ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ และนครราชสีมา เป็นต้น ส่วนอีก 6 สาขาที่เหลือจะเร่งทยอยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 3 สาขา ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มเติมอีก 2 สาขา และภาคเหนือ 1 สาขา

      สำหรับวัตถุประสงค์ในการขยายสาขาดังกล่าว เนื่องจากในปัจจุบัน AEG ดูแลลูกค้ากลุ่มที่เป็นสาขารายใหญ่อยู่แล้วประมาณ 300-500 สาขา ขณะเดียวกัน AEG ได้รับการติดต่อจากลูกค้าในพื้นที่นั้น ๆ หรือ ในกลุ่มสถาบันการเงิน และอื่น ๆ จึงทำให้มองเห็นถึงศักยภาพขององค์กร และความพร้อมของแต่ละพื้นที่ที่ได้เข้าเปิดให้บริการ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่จะทำให้ AEG มีโอกาสเติบโตเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การขยายสาขาดังกล่าว ยังทำให้การบริการของ AEG ครอบคลุมและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Corporate ขนาดใหญ่ หรือ Top Industry Security ซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย โดยขณะนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดังกล่าว

     “AEG มีบริการของบริษัทในเครือ หลายประเภท โดยในแต่ละสาขาที่เราไปเปิดจะมีผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 3 ประเภทหลัก ๆ ให้บริการลูกค้า ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัย ประกันภัย และตู้นิรภัยให้เช่า ขณะที่ ในแง่ของการลงทุนจะขึ้นอยู่พื้นที่ของแต่ละสาขาที่มีความแตกต่างกัน 

     เรามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง อย่างเช่น เพชร พลอย อัญมณี ทองคำ รวมถึง โรงรับจำนำ เรามีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเหล่านี้อย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น โดยสร้างรายได้มากกว่า 50% ของรายได้รวมทั้งหมด ขณะที่ กลุ่มร้านพื้นเมืองและมีชื่อเสียงที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ นับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักที่มารองรับกับแผนขยายสาขาการให้บริการของเรา นอกจากนี้ เรายังมีกลุ่มลูกค้าอื่นๆ อย่างเช่น โรงงานปลากระป๋องรายใหญ่ของประเทศ โรงงานผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และสถาบันการเงินที่ได้มีการติดต่อเราเข้ามามากขึ้น เป็นต้น” คุณวชิรวิทย์กล่าว

     ขณะเดียวกัน ในปี 2568 AEG มีแผนขยายเพิ่มอีก 2 สำนักงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งหมดเป็น 8 สำนักงาน จากปัจจุบันที่มีสำนักงานให้บริการใน  6 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ฮ่องกง ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และจีน ขณะนี้ อยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดย AEG มองเห็นถึงช่องว่างทางการตลาดที่ยังเติบโตได้ดี โดยในแต่ละสำนักงานที่เปิดให้บริการ ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับรูปแบบการให้บริการพื้นฐานจะคล้ายคลึงกับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน อาทิ ความเสี่ยงของแต่ละประเทศ เป็นต้น

    ด้านการวางเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2568 คุณวชิรวิทย์กล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า ยกเว้นบางธุรกิจเท่านั้นที่ยังคงมีผลกำไร แต่น้อยมาก รวมถึง สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลในเชิงลบต่อภาพรวมการลงทุนของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ สำหรับในส่วนของ AEG ตั้งเป้าเติบโตเพิ่ม 20% จากปี 2567 ที่ผ่านมา และมีความมั่นใจว่าตัวเลขดังกล่าวมีความเป็นไปได้และไม่หลุดกรอบอย่างแน่นอน เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา AEG ได้รับปริมาณงานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ รายได้ของ AEG ทั้ง 6 ประเทศในปีนี้ คาดการณ์ว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน

     คุณวชิรวิทย์กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน AEG มีทั้งผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ๆ โดยเชื่อมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันภัยทางไซเบอร์และภัยออนไลน์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีภัยอื่น ๆ อีกหลากหลายรูปแบบ ที่ควรเฝ้าระวังเช่นกัน  ดังนั้น AEG ได้มีการพัฒนาบริการใหม่ล่าสุด “AEG Gold Cap-Lock” สำหรับแก้ไขปัญหาทองปลอมและอาชกรรมโดยเฉพาะ หรือ Gold Cap-Lock เป็นเทคโนโลยี AI รูปแบบใหม่ที่จะตรวจสอบประวัติของบุคคลต้องสงสัยด้วยการสแกนตัวตนของบุคคลที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือเข้า-ออกบริเวณร้าน พร้อมแจ้งเตือนเจ้าของร้านแบบทันทีให้เฝ้าระวังการทำธุรกรรมกับบุคคลที่ระบบแจ้งเตือน

     โดยระบบ Gold Cap-Lock เป็นระบบที่จะเชื่อมเครือข่ายไว้กับกล้องรูปแบบพิเศษ ที่เมื่อมีใครเดินผ่านกล้องระบบจะแจ้งเตือนประวัติอาชญากรรมหรือคดีความต่างๆ ที่มีผู้ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับบุคคลท่านนั้นเคยทำมา ซึ่งข้อมูลของผู้มีประวัติต้องสงสัยจะถูกอ้างอิงจากฐานข้อมูลของ AEG ที่มีประวัติผู้เคยก่อเหตุทั้งโจรกรรม อาชญากรรม ฉ้อโกง ชิงทรัพย์ และอื่น ๆ โดยแหล่งข้อมูลมีการอัปเดตแบบ Real Time จากทั้ง 6 ประเทศทั่วโลก

     ขณะที่ การทำงานของระบบกับประโยชน์ที่ร้านทองจะได้รับ หากคนที่จะเข้ามาซื้อทองเดินผ่านกล้องและเคยก่อเหตุมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น การปล้นทอง หรือ แม้กระทั่งเคยขายทองปลอมก็ตาม ระบบจะขึ้นแจ้งเตือนได้ทันทีที่คนคนนี้เดินเข้ามาในร้าน ว่าบุคคลนี้เคยก่อเหตุในลักษณะใดมาบ้าง โดยจะเป็นการแจ้งเตือนผ่านหลังบ้านของร้านทองให้เจ้าของร้าน หรือ พนักงานรู้ตัวและเฝ้าระวังไว้ก่อนเท่านั้น ซึ่งระบบถูกออกแบบมาเพื่อไม่ให้โจรรู้ตัว และให้เราเฝ้าระวังและไหวตัวได้ทันก่อนผู้ร้ายจะก่อเหตุ

“ระบบ Cap-Lock ถือเป็นหนึ่งของบริการใหม่ล่าสุดของเรา และเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อเสริมจุดเด่นของเราที่คนอื่นไม่มี โดยเป็นการแก้ไขจุดที่สร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ  (Pain Point) ซึ่งระบบนี้ได้มีการเปิดตัวไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคม  2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันกระแสตอบรับดี เนื่องจากเราได้พัฒนาระบบเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการตอบโจทย์ด้านอาชญากรรมผ่านการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลของเราโดยเฉพาะ ขณะนี้ เรามีลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมีหลายสาขาในสัตหีบ ลพบุรี และบางบ่อ สมุทรปราการ” คุณวชิรวิทย์กล่าว

     ด้านการสร้างแบรนด์ของ AEG ให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยดั้งเดิมเกิดจากคำบอกเล่าแบบปากต่อปากเกี่ยวกับการทำงานอย่างมีคุณภาพของ AEG อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  AEG ได้เพิ่มช่องทางอื่น ๆ ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ป้ายโฆษณาบิลบอร์ดในจุดหลักๆ หลายจุดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึง สื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม

     ทั้งนี้ ในตลาดที่ AEG มีความเชี่ยวชาญ ตนมองว่า AEG มีตำแหน่งที่มั่นคงและยาวนานในระดับหนึ่งแล้ว แต่แน่นอนว่าคนเราต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการพัฒนา หรือแก่เกินไปในการพัฒนา ซึ่ง AEG เองจะต้องมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ เช่นกันในตลาดที่มูลค่าสูงที่ AEG ดูแลอยู่แล้ว ส่วนตลาดใหม่ AEG ได้มีการสื่อสารเช่นกัน ซึ่งในขณะนี้ AEG มีลูกค้าจากภาครัฐ ดูแลสนามกอล์ฟรายใหญ่ของประเทศซึ่งมีขนาดกว่า 5,000 ไร่ และมีสถาบันการเงินหลายแห่งได้ติดต่อเข้ามาเพื่อให้เข้าไปดูแล

     สำหรับในประเทศไทย  AEG มีเส้นทางการดำเนินงานมายาวนานสู่ปีที่ 41 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้  AEG มีความพร้อมที่จะขยายฐานลูกค้าให้กว้างยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การมุ่งเน้นรับงานภาครัฐเพิ่มจากปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนให้ AEG เติบโตอย่างมั่นคงในทุกมิติ

     คุณวชิรวิทย์กล่าวในตอนท้ายว่า AEG เข้ามาดูแลกลุ่มลูกค้าในแต่ละตลาด โดยมองถึง Pain Point และการใช้งานจริงของลูกค้าในแต่ละที่ ซึ่งเราพร้อมที่จะ Customize และใช้ Knowledge know-how เพื่อมาพัฒนาและตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ขณะที่ การขยายสำนักงานเพิ่มอีก 2 สำนักงานจากเดิมที่อยู่ใน 6 ประเทศทั่วโลก เพื่อเป็นการรองรับรับลูกค้าที่ติดต่อเข้ามา หรือ AEG ได้มีโอกาสเข้าไปดูแลมากยิ่งขึ้น

     ในขณะเดียวกัน AEG ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายที่ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว เพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้  AEG ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มอบโอกาสให้เราได้ดูแล ไม่ว่าจะตั้งแต่เริ่มต้น หรือแม้ในอุตสาหกรรมที่เราได้มีโอกาสเริ่มเข้าไปให้บริการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ท่านยังคงให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้เราเข้าไปดูแลอย่างต่อเนื่องตลอดมา