Biz Focus Industry Issue 151 August 2025

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

“เทพผดุงพรมะพร้าว” ย้ำจุดแข็งกะทิไทยในตลาดโลก

ทะยานสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมและคุณภาพ

    “เทพผดุงพรมะพร้าว” เจ้าของแบรนด์ “ชาวเกาะ” ที่พากะทิไทยครองตลาดสหรัฐฯ และยุโรป พร้อมสานต่อวิสัยทัศน์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายด้านต้นทุน วัตถุดิบ และนโยบายภาษีสหรัฐ “คุณชวพร เทพผดุงพร” ผู้บริหารเจน 3 ประกาศเดินเกมรุกขยายไลน์น้ำมะพร้าวส่งออก หนุนกำลังการผลิตอีก 30% ในปีหน้า รับกระแสเครื่องดื่มสุขภาพและดีมานด์โตพุ่งในยุโรปและสหรัฐฯ พร้อมนำองค์กรก้าวสู่ยุคที่เทคโนโลยี นวัตกรรม และกลยุทธ์ใหม่ผสานกับคุณภาพอย่างลงตัว ย้ำจุดยืน ไม่ลดคุณภาพเพื่อแข่งราคา และเดินหน้าสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง

     คุณชวพร เทพผดุงพร ผู้บริหาร บริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารประเภทกะทิสำเร็จรูปในรูปแบบต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ ชาวเกาะ, แม่พลอย และ TCC ฯลฯ กล่าวว่า ความสำเร็จที่ทำให้บริษัทเติบโตและเป็นที่รู้จักในวันนี้ เริ่มต้นจากรุ่นคุณปู่คุณย่า ซึ่งทำธุรกิจขายส่งกะทิให้กับตลาดสดต่างๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มเห็นโพเทนเชียลการเติบโต และได้ก่อตั้งโรงงานผลิตกะทิขึ้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จากวันนั้นถึงวันนี้ได้มีการขยายขีดความสามารถและศักยภาพในการผลิตอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด เพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

     ปัจจุบันมีโรงงานทั้งหมด 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.โรงงานชาวเกาะ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ผลิตกะทิและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “ชาวเกาะ” เน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก 2.โรงงานอำพลฟู้ดโพรเซสซิ่ง ตั้งอยู่ที่ถนนพุทธมณฑลสาย 5 ผลิตกะทิ ภายใต้แบรนด์ “ชาวเกาะ” เน้นจำหน่ายในประเทศไทยโดยเฉพาะ และ 3.โรงงานแม่พลอย ตั้งอยู่ที่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ผลิตกะทิสูตรแม่พลอย, เครื่องแกง, น้ำจิ้ม และซอสปรุงรสต่างๆ ภายใต้แบรนด์ “แม่พลอย” เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศ

     คุณชวพร เปิดเผยว่า ส่วนตัวจะดูแลโรงงานชาวเกาะที่พุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 95% ของกำลังผลิตทั้งหมด สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่บริษัทมีปริมาณการส่งออกสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจมา โดยปัจจัยหลักมาจากการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ก่อนหน้านี้ประเทศไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสูงถึง 36% แต่ต่อมาได้มีการปรับอัตราภาษีนำเข้าใหม่เป็น 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้ลูกค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 50% จาก 95% ของการส่งออกทั้งหมด ต้องเร่งออเดอร์เพื่อสต็อกสินค้าเป็นจำนวนมากก่อนมาตรการภาษีใหม่มีผล

     แม้ยอดการส่งออกครึ่งปีแรกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่บริษัทยังต้องเผชิญความท้าทายที่สำคัญคือ ราคาวัตถุดิบมะพร้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 100% จากปัญหาปรากฏการณ์เอลนีโญที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ขณะที่ผลผลิตในประเทศก็มีไม่เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรม และถูกกระจายไปยังตลาดสดเป็นหลัก บริษัทจึงจำเป็นต้องนำเข้ามะพร้าวมากกว่า 95% จากเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งอาจส่งผลให้มาร์จิ้นปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

     “ในแต่ละปี บริษัทจะตั้งเป้ายอดขายเติบโตไว้ปีละ 10% ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตตามเป้าอย่างแน่นอนจากแรงส่งของครึ่งปีแรกสำหรับตลาดส่งออก แต่ตอนนี้คงต้องรอดูสถานการณ์ไตรมาสหลังด้วยว่าจะเป็นอย่างไร การส่งออกจะชะลอตัวมากน้อยแค่ไหน จากเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันจะไม่ลดราคาหรือคุณภาพสินค้าลง เพื่อแข่งขันทางราคากับคู่แข่ง เพราะถ้าเราลดราคา ลูกค้าที่สต็อกสินค้าเดิมไว้จะแบกรับต้นทุนส่วนต่างทันที ซึ่งไม่เป็นธรรม และในระยะยาวจะทำลายภาพลักษณ์แบรนด์ ดังนั้นเราเน้นความยั่งยืนเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าในระยะยาว และเลือกยืนบนจุดแข็งด้านคุณภาพที่ตลาดยอมรับมากกว่า” คุณชวพรกล่าว

     ทั้งนี้ บริษัทยังมองเห็นการเติบโตของตลาดกะทิและน้ำมะพร้าวในอนาคต เพราะยังมีความต้องการมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งเติบโตถึง 100% ด้วยเทรนด์สุขภาพ เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-based) เช่น ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ที่เป็นการเพิ่มทางเลือกด้านสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีการใช้งานมะพร้าวในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งอาหาร–เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนใหญ่ของตลาด

     สำหรับแบรนด์หลักอย่าง “ชาวเกาะ” (Chaokoh) ถือเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากในตลาดอเมริกา และหลายประเทศในยุโรป ขณะที่ “TCC” ก็ได้รับความนิยมในยุโรปและออสเตรเลีย ส่วน “แม่พลอย” ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มเครื่องปรุงและน้ำจิ้ม โดยเฉพาะน้ำจิ้มไก่ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกันในอเมริกา นอกจากแบรนด์ของเราเองแล้ว ปัจจุบันบริษัทมีการผลิตแบบ OEM คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของยอดผลิตทั้งหมด โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำมะพร้าว ซึ่งแบรนด์ของบริษัทแม้อาจยังไม่แข็งแรงเท่ากลุ่มกะทิ แต่สามารถเติมเต็มกำลังการผลิต และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในต่างประเทศได้ดี

     คุณชวพร กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปีหลังด้วยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายไลน์ผลิตน้ำมะพร้าวสำหรับตลาดส่งออก โดยอาศัยจุดแข็งด้านการจัดหาวัตถุดิบที่ครบวงจร คือ สามารถใช้มะพร้าวได้ทั้งเนื้อและน้ำอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ผลิตน้ำมะพร้าวเพียงอย่างเดียว ซึ่งมักประสบปัญหาการบริหารจัดการเนื้อมะพร้าวส่วนเกิน ยิ่งไปว่านั้นน้ำมะพร้าวของบริษัทจะคงความเป็นธรรมชาติ 100% ไม่เติมน้ำตาล แม้ต้นทุนจะสูงกว่าในตลาด แต่เรามั่นใจว่าคุณภาพคือปัจจัยที่สร้างความแตกต่าง

     “ปกติเรามีเดินเครื่องน้ำมะพร้าวอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเราเห็นการเติบโตของน้ำมะพร้าวที่มีมากในต่างประเทศ ตามกระแสสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำมะพร้าวธรรมชาติ 100% ที่นิยมใช้ทั้งดื่มตรงและใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายประเภท บริษัทจึงตัดสินใจลงทุนเพิ่มไลน์ผลิตในครั้งนี้ โดยคาดว่าเครื่องจักรใหม่จะพร้อมผลิตปีหน้า ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด OEM และแบรนด์พรีเมียมในยุโรปได้ ส่วนในประเทศไทยเอง การผลิตน้ำมะพร้าวยังไม่มีแผน เพราะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมากทั้งในด้านราคาและกลยุทธ์การตลาด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการเติมน้ำตาล ซึ่งสวนทางกับจุดยืนของบริษัทที่เน้นความเป็นธรรมชาติ” คุณชวพรกล่าว

     สำหรับการลงทุนครั้งนี้ บริษัทใช้งบประมาณราว 80 ล้านบาท ครอบคลุมค่าเครื่องจักรใหม่และการก่อสร้างอาคารเพิ่ม โดยคาดว่าจะใช้เวลาติดตั้งเครื่องจักร และสามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลังในปี 2569 ซึ่งหลังจากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวมได้อีก 30% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากตลาดยุโรปและลูกค้าแบรนด์ OEM ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     นอกจากการขยายไลน์ผลิตน้ำมะพร้าวแล้ว บริษัทยังมีแผนด้านการตลาด โดยมุ่งปรับองค์กรให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีใหม่ในกระบวนการผลิตและการตลาด พร้อมมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น แอฟริกา อเมริกาใต้ และประเทศที่ยังไม่เคยเข้าไป ควบคู่กับการรักษาฐานตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันก็ยังต้องจับตานโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้การส่งออกชะลอตัว ซึ่งบริษัทคงต้องปรับกลยุทธ์ หาตลาดใหม่ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วย ทั้งนี้แม้ผลกระทบทางภาษีอาจทำให้รายได้ของบริษัทลดลงแต่คาดว่าเพียงระยะสั้นเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์และการยอมรับในตลาดเฉพาะกลุ่ม บริษัทมีโอกาสปรับตัวได้ในระยะกลางถึงยาว

     คุณชวพร กล่าวเพิ่มเติมว่า แบรนด์ “ชาวเกาะ” ยังคงได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้า เพราะมีจุดแข็งด้านคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตที่ได้รับการรับรองสากล เช่น ISO 9001 มาตรฐานด้านคุณภาพ, ISO 14001 มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม, ISO 22000 มาตรฐานด้านความปลอดภัยทางอาหาร, GMP, SCCP, BRC (UK) และยังได้รับการตรวจสอบด้าน Labour Welfare อย่างเข้มงวดจากลูกค้า โดยเฉพาะจากโซนยุโรปและอเมริกา ที่มุ่งเน้นการทำงานที่ปลอดภัยและคำนึงถึงสิทธิแรงงาน นอกจากนี้ ล่าสุดที่บริษัทได้รับคือประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน Carbon Footprint Reduction Certification ได้แก่ CFP คาร์บอนฟุตปริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ และ CFO คาร์บอนฟุตปริ้นท์ขององค์กร ซึ่งช่วยสะท้อนจุดยืนด้านความยั่งยืนขององค์กร

     “เรื่องคาร์บอนฟุตปริ้นท์สำคัญมากๆ เลย ผมอยากให้ SME ทำเรื่องนี้ให้มากขึ้นนะ เพราะส่วนใหญ่จะคิดว่าการจะลดคาร์บอนต้องติดโซลาร์เซล ใช้พลังงานสะอาด ต้องใช้ต้นทุนที่สูง ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่แค่นั้น เราสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ จุดรั่วไหลในโรงงาน การบริหารจัดการภายในอย่างรอบคอบ ตรงไหนที่ใช้พลังงานมากเกินไป เราก็แค่ปรับ ตัด หรือลดตรงนั้นลง ยกตัวอย่าง เราเห็นว่าแพ็กเกจจิ้งที่เป็นกระป๋องบรรจุกะทิมีความหนาอยู่ที่ 0.9 มิลลิเมตร เราก็ลดลงให้เหลือแค่ 0.17 มิลลิเมตร และออกแบบให้เป็นลอนเพื่อให้คงความแข็งแรงเท่าขนาดเดิม ก็เป็นตัวอย่างในการลดคาร์บอนของบริษัทเราทำแบบนี้มาตลอด เพราะนอกจากเรื่องคุณภาพสิ่งที่เราให้ความสำคัญก็คืออยู่กับสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป” คุณชวพรกล่าว

 

     ทั้งนี้ เทพผดุงพรมะพร้าวเราไม่ได้มองการเติบโตแค่เชิงปริมาณเท่านั้น แต่ยังใส่ใจแนวคิด “ความยั่งยืน” (Sustainability) ผ่านทั้งกิจกรรม CSR ที่ทำมายาวนานตั้งแต่รุ่นผู้ก่อตั้ง การลดผลกระทบต่อชุมชนรอบโรงงานด้วยมาตรการควบคุมเสียงและระบบกรองควัน การออกแบบกระบวนการผลิตที่ลดการใช้พลังงานต่างๆ ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับพนักงาน ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 1,300 คนในหลายเจเนอเรชัน ก็มีการจัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานในด้านต่างๆ ต่อเนื่องด้วย

     คุณชวพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ในยุคที่หลายธุรกิจครอบครัวต้องเผชิญความท้าทายจากการส่งต่อสู่รุ่นใหม่ ซึ่งมักมีคำกล่าวว่าธุรกิจส่วนใหญ่รุ่งเรืองในรุ่นแรก ขยายตัวในรุ่นสอง และมักถดถอยในรุ่นสาม ซึ่งไม่มีใครอยากให้เป็นไปตามคำกล่าวนี้ ฉะนั้นในฐานะผู้บริหารรุ่นปัจจุบัน เราจะยืนหยัดสานต่อด้วยการผสมผสานคุณภาพ ความใส่ใจในรายละเอียด และวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตอย่างมั่นคง พร้อมมุ่งปรับองค์กรให้ทันสมัย นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริม รวมทั้งขยายตลาดใหม่โดยไม่ลดทอนคุณภาพสินค้า บริษัทขอย้ำจุดยืนชัดเจนว่าเราจะไม่ลดคุณภาพเพื่อแข่งขันด้านราคา และจะอยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืนให้ได้ยาวนานที่สุด