เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ชี้อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในไทยปี 66 ส่งสัญญาณกลับมาโต
เตรียมส่ง 4 งานเมกะเทรดแฟร์หนุนดีมานด์ผู้ประกอบการ รับภาคเศรษฐกิจฟื้นตัว
บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เผยภาพรวมกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานปี 2566 ในไทย อาทิ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ยานยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า รวมถึงพลังงานไฟฟ้า พบสัญญาณการฟื้นตัวและมีแนวโน้มกลับมาเติบโต ประกอบกับนโยบายการผลักดันจากภาครัฐ และการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคเอกชน ส่งผลให้ความต้องการของวัตถุดิบห่วงโซ่การผลิต เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกลุ่มดังกล่าวในประเทศเพิ่มขึ้นตามลำดับ ล่าสุด เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ได้เตรียมจัด 4 มหกรรมเพื่ออุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของอาเซียน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ และเพิ่มบทบาทประเทศไทยในการเป็นฮับลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญข้างต้น
มร.เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการมีนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ ดังนั้นการที่ประเทศมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและขยายโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงล่าสุดข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ของปี 2566 มีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.6 แม้จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่แต่ก็เห็นสัญญาณการกลับมาของภาคการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่คาดการณ์ว่าจะกลับมาขยายตัวได้สูงในปี 2567
ในขณะที่ฝั่งของภาครัฐบาลก็มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ ทั้งการลงทุนด้านบริการและสาธารณูปโภค การลงทุนในผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง ตลอดจนอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า และอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เช่นยานยนต์ไฟฟ้า และ BCG ที่จะเข้ามาเป็นแรงหนุนสำคัญ นอกจากนี้ยังได้มาตรการส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ผลักดันคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวกลับมาเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีบทบาทสำคัญและเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่สามารถสนับสนุนโอกาสการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและสร้างความยั่งยืน”
สำหรับเทรนด์ภาพรวมอุตสาหกรรมที่จะเข้ามามีบทบาทและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประกอบด้วย 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง มีแนวโน้มขยายตัวจากความคืบหน้าของโครงการ
เมกะโปรเจกต์ พร้อมด้วยการประมูลและเริ่มต้นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น ส่วนด้านภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะยังคงหดตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากปัจจัยความผันผวนของต้นทุนพลังงาน ซึ่งอาจส่งต่อการปรับตัวของราคาเหล็กในตลาดโลก อันก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุปสงค์ความต้องการใช้เหล็กและเหล็กกล้า อย่างไรก็ดี จากความคืบหน้าในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการสร้างสายไฟฟ้าและท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน พร้อมด้วยนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมของภาครัฐ จะช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในประเทศไทยเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเทรนด์ยานยนต์และพลังงานไฟฟ้าที่น่าจับตา โดยฝั่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ มีแนวโน้มเติบโตจากหลายปัจจัย ทั้งการฟื้นตัวของกำลังซื้อหลังเงินเฟ้อทยอยปรับลดลง กำลังการผลิตชิป (Microprocessor) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ประกอบกับนโยบายอุดหนุนการใช้รถไฟฟ้าแบบแบตเตอรี (BEV) และการเร่งลงทุนในโครงข่ายการคมนาคมของภาครัฐ จะช่วยสนับสนุนอัตราการใช้รถและยานยนต์ในประเทศ รวมไปถึง อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน จากความต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นโยบายสนับสนุนการลงทุนตามแผนการพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศไทย รวมถึงนโยบาย Net Zero Carbon ที่เอื้อให้เกิดการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการขยายตัวและการแข่งขันทางธุรกิจสูงโดยเฉพาะในฝั่งของผู้ผลิตรายใหญ่อีกด้วย
“จากปัจจัยบวกที่เป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย ส่งผลให้อุปสงค์ของห่วงโซ่ของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น การผลิตลวด เคเบิล ท่อ ท่อร้อยสาย อุตสาหกรรมหล่อโลหะ และโลหะการ ตลอดจนเครื่องจักร เทคโนโลยีการหล่อ นวัตกรรม และการให้บริการด้านวิศวกรรมที่ทันสมัย มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ในฐานะผู้นำด้านการจัดประชุมและงานแสดงสินค้าระดับโลก เล็งเห็นถึงความต้องการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเพื่อขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ตลอดจนศักยภาพของประเทศไทยในฐานะฮับด้านการจัดงานแสดงสินค้าอันดับ 1 แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้เตรียมจัดงาน 4 งานมหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมครั้งใหญ่แห่งภูมิภาคอาเซียนในประเทศไทยอีกครั้ง
ประกอบไปด้วย 1. งานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมลวด เคเบิล ครั้งที่ 15 สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (wire Southeast ASIA 2023) 2. งานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมท่อและท่อร้อยสาย ครั้งที่ 14 สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Tube Southeast ASIA 2023) 3.งานแสดงสินค้าและฟอรั่มนานาชาติด้านการหล่อโลหะเพื่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 (GIFA Southeast Asia 2023) และ 4.งานแสดงสินค้าและฟอรั่มนานาชาติด้านโลหะวิทยาเพื่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 (METEC Southeast Asia 2023)” เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการตัดสินใจในการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมาช่วยขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้มีการเติบโตต่อไป” มร.เกอร์นอท กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ 4 งานเมกะเทรดแฟร์มีกำหนดจัดขึ้นพร้อมกัน ระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2566 ณ ไบเทค บางนา สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจลงทะเบียนเข้าเยี่ยมชมงาน สามารถติดตามได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.wire-southeastasia.com www.tube-southeastasia.com www.metec-southeastasia.com และ www.gifa-southeastasia.com หรือ โทร 02-559-0856