"โกลเบล็ก" แนะเก็งกำไรหุ้นเข้าคำนวณ FTSE SET
บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ Sideway จากแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน และการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 พร้อมแนะจับตาผลประชุมเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% โดยให้กรอบดัชนีที่ 1,600-1,650 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นนำเข้าคำนวณใน FTSE SET Large Cap และ FTSE SET Mid Cap ซึ่งมีผลวันที่ 19 ธันวาคมนี้
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัว Sideway ออกข้าง โดยมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ Rebound หนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมเฟดในวันพุธที่ 14 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค.ตามเวลาไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50%
อีกทั้งทางโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเปิดประเทศของจีนในปี 2566 เพื่อเร่งผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 โดยขณะนี้ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และมีแนวโน้มเปิดประเทศในไม่ช้านี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนอุปสงค์การส่งออกและการเดินทางระหว่างประเทศ คาดกรอบดัชนีที่ 1,600-1,650 จุด
ด้านปัจจัยที่ต้องจับตาในประเทศ อาทิ วันนี้ (14 ธ.ค.) จะมีการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ฉบับย่อ และรายงานนโยบายการเงิน สภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทย 3Q65 รวมทั้งทางอียู จะมีการรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.ซึ่ง สหรัฐ รายงานราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนพ.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ (เช้าวันที่ 15 ธ.ค.) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และวันที่ 15 ธ.ค. จีน รายงานดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.เช่นเดียวกับธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่คาดว่านำเข้าคำนวณใน FTSE SET Large Cap และ FTSE SET Mid Cap ซึ่งมีผลวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ได้แก่ AWC, JTS, RAM และ TLI รองลงมาเป็นหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน ได้แก่ BJC, CPALL, MAKRO, CRC, COM7, SPVI, CPW, JMART, HMPRO, ZEN, M และ AU
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินภาพรวมราคาทองคำในเดือนที่ผ่านมามีแรงรีบาวด์จากจุดต่ำสุดบริเวณ 1,664$/oz โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคมของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 7.7% สอดคล้องกับดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคบริการที่หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือนสู่ระดับ 47.6 และ 46.1 ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดผ่อนคลายเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐที่อ่อนตัวลงจากระดับ 4.24% เหลือ 3.47% สอดคล้องกับดัชนีดอลลาร์ที่ปรับตัวลงระดับ 104.37 อีกทั้งแนวโน้มประชุม FOMC ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมคาดว่าจะลดลงจาก 0.75% เหลือ 0.50% อย่างไรก็ตามกองทุน SPDR มีสถานะขาย -14.5 ตันในเดือน พ.ย.
ดังนั้นในเดือนนี้แนะนำจับตาประกาศตัวเงินเฟ้อสหรัฐเดือนพฤศจิกายน หากตัวอ่อนตัวต่อเนื่อง และ Fed Watch ที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมเดือน ธ.ค. สู่กรอบ 4.25-4.50% เป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำฟื้นตัวได้ดี จึงแนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังมีทั้งทิศทางบวกและลบ ขณะที่ตลาดรับข่าวร้ายจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว ในระหว่างเดือนหากราคาทองคำย่อตัวไม่หลุดแนวรับที่บริเวณ 1,730-1,750$/oz คำแนะนำทยอยเข้าซื้อสะสม และมีจุดขายทำกำไรที่แนวต้าน 1,800-1,825$/Oz