เปิดแผนการบริหารทรัพยากรบุคคล “ไทยเบฟ”
ไทยเบฟเดินหน้าแผนการบริหารทรัพยากรบุคคลปี 2566 เร่งผลักดัน 3 ด้านหลัก มุ่งสร้างความแข็งแกร่งของบุคลากร ควบคู่ไปการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวภายในองค์กร รองรับการเติบโตของธุรกิจ พร้อมประกาศศักยภาพ คว้า 5 รางวัลใหญ่ ประจำปี 2565 ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้วยความเชื่อว่า “ทุนมนุษย์ หรือ Human Capital” เป็นฟันเฟืองสำคัญ หนุนองค์กรเติบโตบรรลุความสำเร็จตามธงที่ตั้งไว้
ดร.เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มทรัพยากรบุคคล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
ดร.เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มทรัพยากรบุคคล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในภาพรวม เนื่องจากไทยเบฟเป็นธุรกิจที่มีความเติบโตสูง รวมทั้ง มีธุรกิจในหลายประเทศของกลุ่มอาเซียน ดังนั้น การเตรียมบุคลากรให้พร้อมสำหรับรองรับการเติบโตของธุรกิจจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของบุคลากรควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวภายในองค์กร และเตรียมความพร้อมให้พนักงานก้าวหน้าไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อมในการทำงาน ไทยเบฟจึงได้กำหนด 7 ยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการบุคลากร ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 : โครงสร้างและบทบาทที่ชัดเจน ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่แข่งขันได้กับตลาด
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การบริหารผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การพัฒนาพนักงาน แบบองค์รวม ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การบริหารผู้สืบทอดตำแหน่งและบุคลากรเชิงรุก ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การสรรหาพนักงานที่มีศักยภาพ และการดูแลพนักงานใหม่ และยุทธศาสตร์ที่ 7 : การส่งเสริมวัฒนธรรมที่สร้างความผูกพันต่อองค์กร
สำหรับแผนการดำเนินงานของกลุ่มทรัพยากรบุคคลในปี 2566 ไทยเบฟจะมุ่งเน้นผลักดันใน 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1. การปรับเตรียมโครงสร้างองค์กร ซึ่งจะทำให้ไทยเบฟสามารถขยับขยายและมีการเติบโตได้ดีที่สุด โดยได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อให้ไทยเบฟเป็นธุรกิจกลุ่ม คือ ให้สามารถดูแลกิจการในทุกภูมิภาคได้
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง จึงต้องมีการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ หรือทีมงานใหม่ขึ้นมา สำหรับโครงการต่างๆ ที่คาดว่าจะมีการสร้างงานใหม่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่น หน่วยงานที่เดิมทีต้องดูแลธุรกิจแค่เมืองไทย แต่ในอนาคตต้องขยายไปดูแลยังธุรกิจในต่างประเทศร่วมด้วย และการตั้งทีมงานขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับช่องทางการจำหน่ายธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เป็นต้น
2. การพัฒนาบุคลากรแบบองค์รวม เนื่องจากในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยี และรูปแบบการทำงานในด้านต่างๆ ดังนั้น การ Up-Skill, Re-Skill รวมทั้ง การเปลี่ยน Mind Set ของบุคลากรจึงเป็นส่วนสำคัญ ปัจจุบันไทยเบฟมีโครงสร้างในการพัฒนาบุคลากรอย่างครอบคลุมอยู่แล้ว แต่ในส่วนนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า Future Skill เกิดขึ้นมา ซึ่งหมายถึงไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ แต่องค์กรต้องลงทุนเพื่อให้บุคลากรเก่งขึ้น เช่น ด้าน Digital Skill ดังนั้นในช่วงนี้จึงจะมีกิจกรรมการบริหาร หรือโปรแกรมต่างๆ เพื่อทำให้บุคลากรมีประสบการณ์ด้าน Digital Skill มากยิ่งขึ้น
3. การเตรียมความพร้อมขององค์กรในการรองรับ New Generations เพื่อให้ทำงานร่วมกัน โดยไทยเบฟมีความเชื่อในศักยภาพของคน และมองเห็นถึงโอกาส และความสามารถของคนรุ่นใหม่ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ คือ สร้างโครงสร้างองค์กร และบรรยากาศการทำงานให้สามารถรองรับคนรุ่นใหม่เข้ามา และแสดงฝีมือได้ทันทีโดยไม่มีการปิดกั้น นอกจากนี้ ไทยเบฟยังมีความตั้งใจในการค้นหาคนรุ่นใหม่ๆ เพื่อมาแสดงฝีมืออย่างต่อเนื่องในวาระโอกาสที่แตกต่างกัน โดยในส่วนนี้ไทยเบฟสามารถทำได้ดีอย่างต่อเนื่องและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องต่อยอด คือ คนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องการสังคมที่ดี และการสร้างความแตกต่างให้กับสังคมโดยรวม ภายใต้แนวคิด “โอกาสไร้ขีดจำกัด” โดยแบ่งออกเป็น 3 เรื่องได้แก่ การเติบโต (Career Growth), การสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ (Connectivity) และการทำประโยชน์ให้กับสังคม (Contribution) โดยถูกบรรจุไว้เป็นปรัชญาในการทำงานของไทยเบฟ ดังนั้น ไทยเบฟจึงเดินหน้าเพื่อให้คนรุ่นใหม่แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ อีกทั้ง ยังสามารถทำอะไรเพื่อส่วนรวมได้อย่างมาก
“เราคาดหวังว่าเราสามารถสร้างคนขึ้นมาได้ในอัตราที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้ พร้อมทั้ง กระจายโอกาสให้กับพนักงานได้มากยิ่งขึ้น สำหรับอัตราการคงอยู่ในองค์กรของพนักงานไทยเบฟ ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับสูง ขณะที่ อัตราการลาออกน้อยกว่าเฉลี่ยของตลาดทั่วไป ด้านความผูกพันของพนักงาน พบว่าไทยเบฟสามารถคงความผูกพันของพนักงานในองค์กรในระดับที่ค่อนข้างสูง คือ ระดับ 80% นอกจากนี้ ไทยเบฟยังตั้งเป้าหมายไว้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายด้านความยั่งยืนว่าภายในอนาคต ระดับความผูกพันของพนักงานต้องแตะระดับ 90%” ดร.เอกพลกล่าว
ดร.เอกพล กล่าวต่อว่า ไทยเบฟเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กร โดยการให้ความสำคัญต่อการดูแลเอาใจใส่พนักงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ด้วยความเชื่อว่า “ทุนมนุษย์ หรือ Human Capital” เป็นฟันเฟืองสำคัญ ส่งผลให้องค์กรเติบโตบรรลุความสำเร็จตามธงที่ตั้งไว้ ซึ่งจากความมุ่งมั่นดังกล่าวไทยเบฟได้พิสูจน์ผ่านการคว้า 5 รางวัลใหญ่จากเวทีประกวดประจำปี 2565 ดังนี้
1. HR Excellence Awards 2022 Thailand ประจำปี 2565 จัดโดย Human Resources Online โดยไทยเบฟได้รับจำนวน 3 รางวัล ประกอบด้วย รางวัล Gold Awards ด้าน Excellence in COVID-19 Response ในฐานะองค์กรที่มีวิถีการทำงานแบบใหม่ ด้วยมาตรการปฏิบัติ และป้องกันให้กับพนักงานเพื่อรับมือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19,
รางวัล Gold Awards ด้าน Excellence in Learning and Development ความสำเร็จจากการออกแบบและวางแผนการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นพัฒนาพนักงานให้พร้อมสำหรับการเติบโตในอาชีพ และพร้อมในการผลักดันไทยเบฟไปสู่ PASSION 2025 และเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารที่มั่นคงและยั่งยืนในระดับอาเซียน และรางวัล Silver Awards ด้านสาขา Excellence in HR Innovation เป็นรางวัลที่ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ครั้งนี้ได้รับในโครงการ “Holistic & Integrated Career Development Tools” (เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของพนักงานแบบองค์รวม)
2. รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2022 (Thailand Edition) จากนิตยสาร HR Asia Magazine ต่อเนื่อง 4 ปี ในฐานะองค์กรดีเด่นที่ให้ความห่วงใยดูแล และเอาใจใส่พนักงานเป็นอย่างดี ตอกย้ำความสำเร็จการบริหารงานและพัฒนาบุคลากรของกลุ่มไทยเบฟให้ก้าวขึ้นเป็น ASEAN Best Employer และการนำองค์กรไปสู่ PASSION 2025
3. รางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2022 จำนวน 2 สาขา ได้แก่ สาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Excellence) และสาขาความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence) ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความมั่นคงและยั่งยืนของไทยเบฟ เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนว่าธุรกิจได้มีการเติบโตไปพร้อมๆ กับการเอาใจใส่ดูแลบุคลากร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญมากๆ ในอนาคตไทยเบฟจะยังคงยึดจุดยืนนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง สำหรับรางวัลที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นด้านต่างๆ เป็นสิ่งสะท้อนได้ว่าไทยเบฟสามารถเป็นพื้นที่ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อีกทั้ง ยังตั้งใจทำให้ตอบโจทย์สิ่งที่เป็นความมุ่งหวังของพนักงาน ซึ่งแรงจูงใจในการทำงานกับผลงานที่ออกมามีความสอดคล้องกันและนำไปสู่ความยั่งยืน
“ผมรู้สึกขอบคุณที่มีคนมองเห็นถึงการทำงานที่ดีของไทยเบฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการดูแลพนักงาน และ Learning and Development จึงทำให้เราได้รับรางวัลในองค์รวมถึง 5 รางวัล เรายินดีที่จะลงทุนต่อไปเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี และอยากให้พนักงานได้ประโยชน์สูงสุด
สำหรับสิ่งที่เราภูมิใจมากที่สุดคือการดูแลพนักงาน เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าเรามีวัฒนธรรมองค์กร และการบริหารงานด้วยความห่วงใยเป็นศูนย์กลาง จึงส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งของความเป็นองค์กร และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรที่มีความใส่ใจต่อพนักงาน พนักงานมีความสุข มีความอุ่นใจ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรของไทยเบฟ ขณะเดียวกัน เราจะยังเดินทางบนเส้นทางนี้ต่อไป เพราะเราต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก” ดร.เอกพลกล่าว
นอกจากนี้ การบริหารงานของทีมไทยเบฟเพื่อให้ประสบความสำเร็จ มาจากความเชื่อในศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในตัวของพนักงานแต่ละคน เพราะฉะนั้นจึงมีแนวทางการทำงานโดยยินดีที่จะใส่ใจ ใส่พลังเข้าไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ช่วงอายุ หรือสายงานใด โดยที่ไม่มีการปิดกั้น แต่พยายามจะเปิดรับ พร้อมสร้างบรรยากาศให้มีองค์ประกอบให้เขาเติบโตขึ้นมา
โดยปรัชญาการบริหารงานดังกล่าวถือเป็นพื้นฐานที่ชักชวนให้ทีมงาน ทั้งในส่วนของบุคคล ผู้บริหาร และพนักงาน ให้เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมทั้ง สะท้อนกับแนวคิด “โอกาสไร้ขีดจำกัด” เพราะไทยเบฟมีความเชื่อว่ายังมีศักยภาพอยู่ในตัวบุคคลอีกมาก ดังนั้น จึงพยายามที่จะหาโอกาสเพื่อดึงศักยภาพออกมา ทั้งนี้ หากพัฒนาคนสำเร็จ องค์กรจะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน
