กองทุนญี่ปุ่น ปลื้ม รับผลตอบแทนสูง Altitude โชว์ผลงานปิดกอง Private Equity Fund คอนโดฯ ร่วมทุน “อัลติจูด ยูนิคอร์น” ประสบความสำเร็จ
กองทุนญี่ปุ่น “ครีท กรุ๊ป” ปลื้ม รับผลตอบแทนสูง เหมือนช่วงไม่มีโควิด-19 ฟาก อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ โชว์ผลงานปิดกอง Private Equity Fund ในการพัฒนาคอนโดฯ ร่วมทุน “อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ” ได้เร็วก่อนโอนหมด ตุนแบ็กล็อกแล้วกว่า 60% คาดยอดโอนสิ้นปี 65 พุ่ง 75% เล็งต่อยอดโครงการอื่นในอนาคต พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 66
นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ขณะที่โครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ที่เป็นโครงการร่วมทุนกับ ครีท กรุ๊ป (Creed Group) Private Equity Fund ที่มากประสบการณ์การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่น ภายใต้ บริษัท อัลติจูด ครีท ตลาดพลู จำกัด มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ เป็นหนึ่งในไม่กี่โครงการ ที่ราคาขายห้องชุดสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และยังมียอดขายใหม่ต่อเนื่อง บนทำเลศักยภาพ เพียง 0 เมตร จากบีทีเอส ตลาดพลู พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร และฟังก์ชั่นในห้องชุดที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
โดยปัจจุบันโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ มียอดขายรอโอน (Backlog) แล้วกว่า 60% และเริ่มทยอยโอนอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่าจะสามารถโอนห้องชุดได้มากกว่า 60% ของพื้นที่รวม ภายในสิ้นไตรมาส 3/2565 และเพิ่มขึ้นเป็น 75% ภายในสิ้นปี 2565 หรือไม่ถึง 9 เดือน หลังจากเริ่มโอนห้องชุดห้องแรก สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และมีการเปิดประเทศให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว
ขณะเดียวกัน ด้วยกลยุทธ์ทางการเงิน ทำให้ปัจจุบันบริษัทประสบความสำเร็จ สามารถปิดกอง Private Equity Fund ในการพัฒนาคอนโดมิเนียม “อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ” ได้เร็วก่อนที่คอนโดฯ จะโอนหมด ส่งผลให้ Private Equity Fund จากญี่ปุ่น ได้รับอัตราผลตอบแทนของเงินลงทุนต่อปีตามเป้าหมายในช่วงระยะเวลาที่วางแผนไว้ ขณะที่บริษัทรับรู้รายได้และกำไรสูงขึ้น โดยจะสะท้อนในงบไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป รวมทั้งมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ในการนำสินทรัพย์ในโครงการที่เคยร่วมทุน หลังจากซื้อกลับมาเป็นของบริษัท 100% ไปทำ Inventory Finance ได้เกือบทั้งหมด จาก Backlog ที่มีอยู่แล้ว
“ครีท กรุ๊ป ได้ผลตอบแทนจากเงินลงทุนสูงเหมือนช่วงที่ไม่มีโควิด-19 ขณะที่ Private Equity Fund อื่นๆ ที่ลงทุนในคอนโดฯ ช่วงเดียวกับบริษัทในปี 2561-2562 ปัจจุบันหากไม่เจ็บตัว ก็ยังไม่ได้เงิน เพราะพิษโควิด-19 ทำตลาดคอนโดฯ ชะลอตัว ล่าช้าออกไปทั้งการก่อสร้างและการขาย” นายชยพล กล่าว
อีกทั้ง ครีท กรุ๊ป ยังอยู่ระหว่างศึกษาการร่วมลงทุนโครงการใหม่กับ Altitude ต่อไป โดย Altitude มีโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการร่วมลงทุนในระดับ Project Level เพื่อขยายพันธมิตรธุรกิจทั้งแนวราบและแนวสูงอีกหลายโครงการ เพราะมีความมั่นใจในความพร้อมของโครงสร้างทางเศรษฐกิจประเทศไทย ที่มีความแข็งแกร่ง สามารถเผชิญต่อความท้าทายในปัจจุบันได้ดี เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียนอื่นๆ ที่ ครีท กรุ๊ป ได้ลงทุนเช่นกัน อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และบังกลาเทศ
สำหรับโครงการอื่นๆ ของ Altitude ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ อัลดิจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง, วัน อัลดิจูด และโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ได้แก่ อัลติจูด คราฟ บางนา, อัลติจูด ฟอเรสต์, อัลติจูด มาสเตอรี่ สุขุมวิท
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้านำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ในช่วงก่อนกลางปี 2566 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในปี 2566