สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านมุ่งมั่นก้าวต่อ ลุยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผยครึ่งปีแรกธุรกิจรับสร้างบ้านชะลอตัว ช่วงที่เหลือของปีสมาคมฯ เร่งทำตลาดต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการสร้างบ้าน ขณะที่ทิศทางการดำเนินงานปี 2568 จะเน้นต่อยอด พัฒนา สร้างมาตรฐานงานสร้างบ้านหนุนศักยภาพสมาชิก สร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ “HBA Sustainable Model” เพื่อยกระดับตลาดรับสร้างบ้านในภาพรวม ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรในสายวิชาชีพ ด้วยเป้าหมายการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ
คุณโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หรือ HBA
คุณโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หรือ HBA กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านพยายามมุ่งเน้นมาตลอด คือการทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น และไว้วางใจในธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งที่ผ่านมานายกสมาคมฯ แต่ละท่านได้ดำเนินงานตามภารกิจหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้การบริหารงานของสมาคมฯ มีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี สังคมให้การยอมรับ สมาชิกสมาคมฯ มีความสามารถในการแข่งขัน และยิ่งไปกว่านั้นคือผู้บริโภคมีทางเลือก ได้บ้านคุณภาพดี ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
แม้ครึ่งปีแรกของปี 2567 ธุรกิจรับสร้างบ้านจะชะลอตัวลงถึง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2566 อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือน และนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน และล่าช้า ทำให้ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย หรือลงทุนในทรัพย์สินใด อย่างไรก็ตาม สำหรับช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นเทรนด์ของการรับสร้างบ้าน เป็นช่วงที่ดีในการเซ็นสัญญา เนื่องจากทางสมาคมฯ ได้จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2024 ขึ้นเมื่อวันที่ 18-22 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งได้กระแสรับตอบรับที่ดีมาก โดยภายในงานมีบริษัทรับสร้างบ้าน บริษัทวัสดุ สถาบันการเงิน มาให้บริการอย่างครบวงจร พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ขึ้น เพื่อผู้บริโภคที่กำลังวางแผนสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภค มีความเชื่อมั่นและเริ่มตัดสินใจที่จะวางแผนสร้างบ้านง่ายขึ้น
นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้มีการทำ MOU ร่วมกับธนาคารหลายๆ แห่ง ในเรื่องของการขอสินเชื่อบ้าน จากปกติที่เคยขอสินเชื่อสร้างบ้านได้ 80% หากเป็นถ้าลูกค้าของสมาชิกสมาคมฯ จะสามารถขอสินเชื่อได้ 100% เฉพาะราคาบ้าน อีกทั้งสมาคมฯ ยังได้ดำเนินการร่วมกับภาครัฐด้วยมาตรการสร้างบ้านลดหย่อนภาษี “ล้านละหมื่น” โดยลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน มูลค่า 1 ล้าน หักลดหย่อน 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท จนถึงปี 2568 ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากต่อผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจสร้างบ้าน และยังถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย
คุณโอฬาร กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 ด้วยว่า สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 สิ่งที่สมาคมฯ พยายามจะมุ่งเน้นคือดำเนินการต่อ เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้บ้านง่ายขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของมาตรการขอลดหย่อนภาษี และดอกเบี้ยของธนาคาร ซึ่งสมาคมฯ มีแนวคิดว่าจะหารือร่วมกับสถาบันการเงินในประเทศไทย แยกสินเชื่อสำหรับบ้านสร้างเอง ออกจากสินเชื่อโครงการบ้าน ซึ่งหากทำได้จะช่วยเร่งการตัดสินใจของผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านเองให้ตัดสินใจสั่งสร้างบ้านได้ง่ายขึ้น และจะเป็นการกระตุ้นตลาดรับสร้างบ้าน รวมถึงส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศโดยรวมเติบโตตามไปด้วย
นอกจากภาคของผู้บริโภคแล้ว ในภาคของสมาชิกสมาคมฯ สิ่งที่เรายังให้ความสำคัญคือเรื่องมาตรฐานงานก่อสร้าง โดยในทุกๆ ปีเราจะมีการจัดอบรมสมาชิกในด้านต่างๆ ทั้งงานก่อสร้างและงานภายในองค์กร รวมทั้งมุ่งเน้นการขยายฐานสมาชิกอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละปีเป้าหมายของการเพิ่มฐานสมาชิกอยู่ที่ 10% สมาคมฯ มองว่าการมีสมาชิกเยอะขึ้น กิจกรรมของสมาคมฯ จะมากขึ้น และการสร้างมาตรฐานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วย ซึ่งปัจจุบันสมาคมฯ พยายามสื่อสารผ่านทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ถึงกิจกรรมต่างๆ ของเรา และสร้างความมั่นในใจศักยภาพและคุณภาพของสมาชิกเรา
ปัจจุบันสมาชิกของสมาคมฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับสามัญ ,วิสามัญ ก, วิสามัญ ข และระดับสมทบที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ทำธุรกิจรับเหมาเข้ามาเป็นธุรกิจรับสร้างบ้าน อย่างไรก็ตามข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตลาดบ้านสร้างเองหรือรับสร้างบ้านทั่วประเทศ มีมูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ขณะที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้จัดเก็บตัวเลขยอดเซ็นสัญญาสร้างบ้านจากสมาชิก พบว่ามูลค่ารวมอยู่ที่ 10,000 กว่าล้านบาท คิดเป็น 5% ของมูลค่าตลาดเท่านั้น ซึ่งหากสมาคมฯ มีสมาชิกเพิ่มขึ้น มูลค่าการเซ็นสัญญาของสมาคมฯ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องปรับแก้ในเรื่องของการรับสมาชิกคือ การตั้งเงื่อนไขการเป็นสมาชิกที่สูงเกินไป โดยก่อนหน้านี้บริษัทรับสร้างบ้านที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมฯ ต้องเป็นนิติบุคคล ที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างน้อย 3 ปี จึงทำให้บริษัทรับสร้างบ้านที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ไม่สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกของเราได้ สมาคมฯ จึงมีการปรับลดเงื่อนไขลงคือหากผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทำธุรกิจมาแล้ว 1 ปี ก็สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกสมทบกับสมาคมฯ ได้
“ในวาระการดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ผมมีนโยบายในเรื่องการขยายฐานสมาชิกให้มากขึ้น ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านสมาคมฯ สามารถเพิ่มสมาชิกได้เกินเป้า ปัจจุบันเรามีสมาชิกเพิ่มมาเป็น 75 บริษัท ซึ่งในวาระการทำงานของผม ก็ตั้งเป้าที่จะให้ครบ 100 บริษัทให้ได้ ทั้งนี้ใน 75 บริษัทที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่อยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เราจึงอยากขยายไปต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นที่รู้จัก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั่วประเทศ โชคดีที่ยุคสมัยนี้การติดต่อสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้น จึงทำให้เราเข้าถึงผู้ประกอบการรับสร้างบ้านได้ง่าย แม้บางกิจกรรมสมาชิกต่างจังหวัด อาจมีข้อจํากัดในการมาร่วม แต่สมาคมฯ ก็พยายามจะหาแนวทางปรับแก้ตรงนี้อยู่ เพื่อให้สมาชิกมีส่วนร่วมกับทุกกิจกรรมของสมาคมฯ และเพื่อให้มีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมาสมัครสมาชิกกับเรามากขึ้น” คุณโอฬารกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้สมาคมฯ จะมีการปรับลดเงื่อนไขการเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมฯ ลง แต่ผู้บริโภคมั่นใจได้เลยว่าสมาชิกทุกบริษัทที่อยู่ในสมาคมธุรกิจรับสร้าง มีความเข้มแข็งอย่างมากทั้งคุณภาพ และมาตรฐาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่งานสถาปัตยกรรมหรือวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังมีคุณภาพทุกส่วนงาน เนื่องจากการเข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมฯ ต้องได้รับการตรวจรับคุณภาพด้านต่างๆ โดยประเมินจากเงื่อนไขที่สมาคมฯ กำหนด และความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อบริษัทนั้นๆ ซึ่งต้องมากถึง 80% ยิ่งไปกว่านั้นในทุกปี สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านยังมีจัดอบรม Home Builder Expert ขึ้น ซึ่งปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 7 เพื่อเพิ่มศักยภาพสมาชิกที่เป็นธุรกิจรับสร้างบ้านน้องใหม่ หรือผู้ที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจสร้างบ้านและยังไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมฯ และเพื่อไปสู่เป้าหมายของการได้ยอดหรือส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น โดยการจัดอมรบดังกล่าวจะจัดในช่วงวันที่ 18-19 และ 25-26 ตุลาคมนี้ ณ Grand Center Point Surawong
“สิ่งสำคัญที่สมาคมฯ ต้องทำ คือจะประชาสัมพันธ์อย่างไรให้ผู้บริโภครู้ว่ามีสมาชิกสมาคมฯ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานอยู่ เพราะปัจจุบันสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก หากอ้างอิงจากจำนวนการรับสร้างบ้านในแต่ละปีเฉลี่ยปีละ 10,000 กว่าหลังเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเราจะพยายามทำให้คนที่มาสร้างบ้านกับเรา 10,000 กว่าหลังนี้ จดจำเราและบอกต่อคนอื่นว่าเรามีคุณภาพมาตรฐานจริงๆ ทั้งนี้ในด้านของราคา แม้จะสูงกว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไปนิดหน่อย แต่สามารถการันตีได้ถึงการรับประกันผลงาน ความรับผิดชอบ และการจัดการด้านต่างๆ โดยเฉพาะในแง่ของสัญญาที่สมาชิกของสมาคมฯ มี ก็ถูกควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ซึ่งถือว่าเป็นกลางในการใช้กับผู้บริโภค เราก็พยายามจะประชาสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ เพื่อสื่อสารให้กับผู้บริโภคได้เข้าใจมากขึ้น ว่ารับสร้างบ้านคือรับสร้างบ้านนะ ผู้รับเหมาคือผู้รับเหมา รับสร้างบ้านเรามีมาตรฐาน มีเกณฑ์มากกว่า ฉะนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคเสียไปมันแลกมากับมาตรฐานและคุณค่าและความคุ้มค่าที่ตอบโจทย์มากกว่า” คุณโอฬารกล่าว
สำหรับเป้าหมายของสมาคมฯ ในปีนี้ คุณโอฬาร กล่าวว่า ในปี 2567 สมาคมฯ ได้ตั้งเป้ามูลค่ารวมยอดเซ็นสัญญาของสมาชิกสมาคมฯ อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล 65% ต่างจังหวัด 35% และยอดจองสร้างบ้านในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2024 อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหลักการเติบโตของสมาคมฯ เรายืนยันจะเดินหน้าตามโร้ดแมปมิติด้านความยั่งยืนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่มีรูปแบบการทำกิจกรรมทุกคลัสเตอร์ อันจะเป็นแบบแผนที่สมาคมฯ จะดำเนินงานต่อไปทุกๆ ปีในการสร้างความยั่งยืน ขณะเดียวกันเรื่องของการขยายฐานสมาชิกที่เป็นเป้าหมายต่อเนื่อง คือการเพิ่มสมาชิกปีละ 5% พร้อมสนับสนุนการอบรมมาตรฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับสมาชิกในสมาคมฯ เราเชื่อว่าเมื่อสมาชิกเยอะขึ้น มีความเข้มแข็ง มีคุณภาพมาตรฐานมากขึ้น ผู้บริโภคจะยิ่งเชื่อมั่นไว้วางใจสมาคมฯ และสุดท้ายธุรกิจรับสร้างบ้านก็จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ในปี 2567 เป็นปีที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านดำเนินงานมาจนครบรอบ 20 ปี ซึ่งก้าวต่อไปสำหรับแผนการดำเนินงานต่างๆ ของสมาคมฯ จะถูกขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แนวคิดใหม่ “HBA Sustainable Model” ทั้งการสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ด้วยการจัดทำคู่มือมาตรฐานงานก่อสร้างบ้าน การตรวจรับสมาชิกคัดกรองคุณภาพ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมสร้างความร่วมมือเชื่อมโยงกับภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มพันธมิตร เพื่อยกระดับตลาดรับสร้างบ้านในภาพรวม ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรในสายวิชาชีพ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ
“เรื่องของความยั่งยืน จริงๆ แล้วก็มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การที่ผู้บริโภคจะมาสร้างบ้านกับเราเรื่อยๆ ก็ต้องย้อนกลับมาที่การดำเนินงานของเรา การควบคุมคุณภาพมาตรฐานของสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งนอกจากการมีมาตรฐานที่ดีแล้วสมาชิกเองก็ต้องเข้มแข็ง พยายามเพิ่มความรู้ เพิ่มศักยภาพทีมงานทุกภาคส่วน รวมถึงตามเทรนด์ของสังคมหรือโลกให้ทันด้วย อย่างปัจจุบันคนให้ความสำคัญกับเรื่องของ ESG โลก หรือสิ่งแวดล้อม สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านอาจจะต้องมาดูเรื่องของบ้านสีเขียว บ้านประหยัดพลังงานเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม นอกจากการปลูกฝังเรื่องความยั่งยืนให้กับสมาชิกแล้ว สมาคมฯ ยังมีการร่วมมือทำ MOU กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ อย่างเช่น การให้นิสิตนักศึกษาที่เรียนด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมได้เข้ามาศึกษาดูงานในสมาคมฯ หรือการให้ทุนการศึกษาให้เด็กทวิภาคี วิทยาลัยก่อสร้างดุสิตได้เรียนฟรี และยังมีการไปจัดกิจกรรมต่างๆ กับโรงเรียนที่ขาดแคลนในต่างจังหวัด ซึ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องทุกปี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถือเป็นการสร้างการรับรู้ของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เมื่อเด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นมาเขาจะรู้จักสมาคมฯ เราและสามารถบอกต่อได้ นี่ก็นับเป็นการสร้างความยั่งยืนที่ดีต่อธุรกิจรับสร้างบ้านในอนาคตด้วย” คุณโอฬาร กล่าวทิ้งท้าย