NEO โตเกินโบรกคาด กำไรสุทธิ 1Q/2567 จำนวน 272 ล้านบาท พุ่ง 49.5% YoY โชว์แกร่งหุ้น defensive with growth เติบโตแม้เศรษฐกิจฝืด
พร้อมยันเป้ายอดขายทั้งปีโตแบบ double digits ด้วยสินค้านวัตกรรมที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพเทียบเท่าสากล
‘บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)’ (“บริษัทฯ” หรือ “NEO”) ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศไทย อาทิ แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) ดีนี่ (D-nee) และบีไนซ์ (BeNice) โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 272 ล้านบาท เติบโต 49.5% จากปีก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายรวม 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อนหน้า ตอกย้ำความแข็งแกร่งของหุ้น defensive with growth
พร้อมเผยเป้าการเติบโตของยอดขายปี 2567 ที่เลขสองหลัก ผ่านการนำเสนอสินค้านวัตกรรมที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพเทียบเท่าสากล ผ่านการวิจัยตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
NEO เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ด้วยรายได้จากการขายรวม 2,472 ล้านบาท เติบโต 194 ล้านบาท หรือ 8.5% จากปีก่อนหน้า โดยการเติบโตของรายได้จากการขายมาจากสินค้าหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กและผู้ใหญ่ ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำเด็กและผู้ใหญ่ และผลิตภัณฑ์โรลออน ซึ่งเป็นไปตามการวางกลยุทธ์เพื่อมุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ต้นทุนจากการขายลดลง 3.9% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นอยูที่ 1,136 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 27.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 46.0% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 39.0% ในปีก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ สามารถรับรู้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ 272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท หรือ 49.5% จากปีก่อนหน้า โดยมีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 11.0% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 8.0% ในปีก่อนหน้า
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและมีคุณภาพระดับสากล บริษัทฯ ได้นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นหลายรายการในช่วงต้นปีทีผ่านมา อาทิ ไฟน์ไลน์เอ็กซ์ตร้า เฟรช ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ซึ่งมาพร้อมกับ Malodor Control เทคโนโลยีกระจายกลิ่นหอม เมื่อเจออากาศร้อน เหงื่อและความชื้น จึงตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนได้อย่างดี นอกจากนี้ การบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้”
ภาพรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 (อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย) ตามแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มรายได้ระดับกลาง-บนซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ดี และจากสภาพอากาศในฤดูร้อนย่างสู่ฤดูฝน ผู้บริโภคมีความต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ โคโลญ แป้ง และโรลออน คาดว่าการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะมีความคึกคัก นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามลำดับจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคเติบโตอย่างต่อเนื่อง และด้วยการวางกลยุทธ์การตลาดอย่างแข็งแกร่ง บริษัทฯ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2567 จะสามารถเติบโต Double Digits ได้ตามเป้าหมาย
นายสุทธิเดช เสริมต่อว่า “ตลอดปี 2567 นี้ NEO จะมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเอาความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่ยึดหลักผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Consumer Centric) และความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึก (Consumer Insights) ผ่านการทำวิจัยตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นอีก 50 - 100 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ นอกจากนี้ เรายังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตจากตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 เราได้บรรลุข้อตกลงกับผู้จัดจำหน่ายสินค้าเพิ่มเติมอีก 2-3 ประเทศ จากเดิม 16 ประเทศ และมีแผนโรดโชว์งานแสดงสินค้านานาชาติในอีกหลายประเทศ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ NEO หลังจากที่เราไม่สามารถออกเดินทางไปต่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
อนึ่ง NEO ได้แตกไลน์แบรนด์ดีนี่ (D-nee) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงวัย (Silver Age) ภายใต้ซับแบรนด์ ดีนี่ ดีลักซ์ (D-nee Deluxe) โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้า และครีมบำรุงผิว ที่มีเทคโนโลยีระงับกลิ่นเฉพาะตัวของผู้สูงวัยแต่ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยน ทั้งนี้ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เจาะกลุ่มผู้สูงวัย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 29 ในปี 2580 หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12% ของเศรษฐกิจไทยในอีก 7 ปีข้างหน้า จากการเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% และคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้สูงวัยจะกลายมาเป็นกลุ่มที่่มีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ (ข้อมูลจากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS)