December 25, 2024
01Top_Nine-Plus

“ออมรอน เฮลธแคร์” ขับเคลื่อนโครงการรณรงค์วัดความดันโลหิต

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive
 

“ออมรอน เฮลธแคร์” ขับเคลื่อนโครงการรณรงค์วัดความดันโลหิต พร้อมส่งมอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย

หวังสร้างความตระหนักและร่วมรณรงค์เติมความรู้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง

          “ออมรอน เฮลธแคร์” เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการรณรงค์วัดความดันโลหิต ซึ่งเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ภายใต้แคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินการโดย International Society of Hypertension  พร้อมส่งมอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี และร่วมรณรงค์ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง

ทางสมาคมฯ เผยตัวเลขอัตราผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 ข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุขระบุประเทศไทยมีผู้ป่วยจากโรคความดันโลหิตสูงรายใหม่ จำนวน 507,104 คน ซึ่งมีปัจจัยทั้งภาวะความเครียดสูงจากการทำงาน การดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม “ออมรอน เฮลธแคร์” หวังสร้างความตระหนักและร่วมรณรงค์เติมความรู้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง

          นายยูซุเกะ กาโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออมรอน เฮลธแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจากประเทศญี่ปุ่นและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิตที่บ้าน กล่าวว่า เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ซึ่งเป็นแคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตระดับโลกที่ดำเนินการโดย International Society of Hypertension เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี ทางออมรอนจึงได้จัดทำโครงการฯ โดยได้บริจาคเครื่องวัดความดันโลหิตให้กับสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4  เพื่อรณรงค์และช่วยให้คนไทยเข้าถึงการตรวจวัดความดันที่ถูกต้อง แม่นยำและอยากเน้นให้คนไทยได้ #วัดความดันทุกวันเพื่อรู้ทันโรคร้าย รวมทั้งเก็บข้อมูลผลการสำรวจนำมาวางแผนการดูแลสุขภาพของคนไทย  

            “ออมรอน เฮลธแคร์ มีเป้าหมายสนับสนุนโครงการฯ หวังเป็นหนึ่งกระบอกเสียงเพื่อช่วยผลักดันให้คนไทยได้ตระหนักต่อภัยใกล้ตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังคิดว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ในยุคปัจจุบันจากวิถีการดำเนินชีวิต การทำงานที่เร่งรีบ ความเครียดที่มากขึ้นส่งผลให้คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น และมีแนวโน้มของกลุ่มเสี่ยงมีอายุที่ลดลงกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นในฐานะผู้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิต ขอร่วมรณรงค์ให้คนไทยตรวจวัดความดันด้วยตัวเอง เพราะจะช่วยให้ติดตามสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด เช่น โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเสื่อม การตรวจความดันโลหิตด้วยตัวเองเป็นประจำ ช่วยให้คุณทราบถึงระดับความดันโลหิตและแจ้งเตือนสัญญาณอันตรายได้เร็ว อีกทั้งการตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตัวเอง ช่วยให้ติดตามผลการรักษาและประสิทธิภาพของยา ช่วยให้แพทย์ผู้รักษาสามารถปรับยาและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นคนไทยควรวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ เพื่อรู้ทันโรคร้าย” นายยูซุเกะ กาโตะ กล่าว

          รศ. พญ. วีรนุช รอบสันติสุข หัวหน้าสาขาวิชาความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและกรรมการสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ทางสมาคมฯ ขอขอบคุณทางออมรอน เฮลธแคร์ ที่ได้จัดทำโครงการฯ ซึ่งประเทศไทยดำเนินการมาเป็นปีที่ 4 แล้วโดยครั้งแรกจัดทำขึ้นเมื่อปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด19 สมาคมฯ ได้ข้อมูลต่างๆ นำมาวางแผนเชิงระบบเพื่อให้การรักษาให้ครอบคลุมและพัฒนาจากที่ผ่านมา โดยพัฒนาการบริการให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบให้บริการทางไกลสำหรับคนไข้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่ำโดยมีพยาบาลหรือเภสัชกรให้คำปรึกษาเบื้องต้น เพื่อลดความถี่ในการพบแพทย์

          ปัจจุบันการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตที่ได้มาตรฐานสำหรับใช้วัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านและวัดให้สมาชิกในครอบครัวด้วยหลักการสำคัญ คือ ประชาชนทุกคนควรทราบระดับความดันโลหิตของตนเองและทราบว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา หากผลการวัดพบว่าความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม. ปรอทถือว่ามีความดันโลหิตสูงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและติดตามรับการรักษาอย่างเหมาะสม ในยุคปัจจุบันสถานพยาบาลมีการปรับกระบวนการให้ง่ายและเร็วขึ้น

          ที่ผ่านมาผลสำรวจผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย ช่วงปี 2547 และ 2552 จะอยู่ที่ 21 เปอร์เซนต์ ด้วยลักษณะสังคมเปลี่ยนสู่สังคมเมืองส่งผลให้เกิดความเครียดสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็ม ประชาชนมีภาวะอ้วนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มประชาชนเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น โดยช่วงปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ และปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 25.4 เปอร์เซ็น แม้ตัวเลขสถิติผู้ป่วยฯ จะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่หากเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมด การเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับประชากรป่วยเป็นโรคความดันโลหิตเพิ่มขึ้นราว 100,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมามีคนไทยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงถึง 10 ล้าน และปัจจุบันมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็น 14 ล้านคน สะท้อนแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี

          อย่างไรก็ตามข้อน่ากังวลวันนี้ คือ ประชาชนขาดความตระหนักถึงความสำคัญของการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองเป็นประจำทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วย จากผลสำรวจผู้ป่วยที่กล่าวมาข้างต้นจำนวน 13 ล้านคน จะมีผู้ที่รู้ตัวว่าป่วยเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามีเพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมค่าความดันได้ตามเป้า หากละเลยจะทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากการรักษาโรคความดันโลหิตสูงแพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยทุก 4-6 เดือนเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยต้องลางานไปพบแพทย์ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและประชาชนมีค่าใช้จ่ายในระหว่างการรักษาทั้งค่ายา ค่าเดินทาง และอื่นๆ เกิดภาวะเครียดจากการอาการป่วย เป็นต้น

          โรคความดันโลหิตสูงจะเป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด มีเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่รักษาหายขาด โรคความดันโลหิตสูงแม้จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้เกิดหลอดเลือดตีบเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มีผลต่อหลอดเลือดหัวใจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหัวใจวายเป็นหลักและส่งผลให้เกิดภาวะไตวาย สุดท้ายเมื่ออวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเสียหมดผู้ป่วยจะเสียชีวิต หรือในกรณีผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนการรักษาจะยากขึ้น และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชากรลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ”

          นอกจากนี้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณะสุขและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2550-2562 ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่เกิดจากภาวะไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะเลือดออกในสมอง มีจำนวนเพิ่มขึ้น บางสาเหตุเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็น สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงและภาวะเลือดออกในสมองจากประมาณ 30 รายเพิ่มขึ้นเป็น 50 ราย ต่อประชาชน 100,000 ราย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูง ทำให้ภาพรวมเกี่ยวกับสถานการณ์โรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยไม่ดีนัก

         อย่างไรกดีทางสมาคมฯ ได้ทำงานเชิงรุกในภาคประชาชนโดยการทำงานร่วมกับภาคเอกชน มีการจัดทำเฟซบุ๊คเพจ “เพราะความดันต้องใส่ใจ #BecauseIsayso” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงทำให้ประชาชนสามารถศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง  มีการให้สัมภาษณ์หรือเขียนบทความให้ความรู้แก่ประชาชน  รวมถึงการจัดงานวันความดันโลหิตสูงโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี มีการจัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้แก่ประชาชนในโรงพยาบาลต่างๆ และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงในแง่มุมต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนและแพทย์ได้รับฟัง  

          โดยโครงการตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง (May Measurement Month) ซึ่งสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยร่วมมือกับสมาพันธ์ความดันโลหิตโลกทำงานรณรงค์ร่วมกันทุกปีในเดือนพฤษภาคม ปีนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ทางสมาคมฯ ขอความร่วมมือสำหรับผู้ที่มีเครื่องวัดความดันโลหิตอยู่ที่บ้าน หากมีความยินดีและสนใจให้ความร่วมมือกับทางสมาคมฯ เพื่อเก็บข้อมูลความดันโลหิตนำไปใช้ในการวิจัย สามารถ scan QR code เพื่อร่วมตอบแบบสอบถามสั้นๆ และรายงานผลความดันโลหิตของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งหากท่านใดวัดความดันโลหิต 3 ครั้งมีค่าเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าท่านอยู่ในเกณฑ์ความดันโลหิตสูง ขอแนะนำให้ท่านเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลที่ท่านสะดวก

          นอกจากนี้ยังขอส่งมอบความรู้และคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็จะแนะนำเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแนะนำเข้าสู่กระบวนการรักษาติดตามที่เหมาะสมต่อไป

Page Visitor

013079320
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
15015
21461
72975
381834
505277
13079320
Your IP: 3.144.98.43
2024-12-25 14:55
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.