December 22, 2024
01Top_Nine-Plus

Biz Focus Industry Issue 115, August 2022

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive
 

“วาย.เอส.เอส.” กางแผนปี 65 ผุดศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร

วาย.เอส.เอส. เดินหน้าก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร คาดแล้วเสร็จกลางปี 66 พร้อมเตรียมย้ายสนง.ใหญ่ เพิ่มพื้นที่รง. หนุนอัพกำลังการผลิตเพิ่ม 30% บวกนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,200 ลบ. เติบโต 10% แย้มปี 66 เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) มุ่งขับเคลื่อนองค์กรส่งต่อสู่ความยั่งยืน

คุณภิญโญ พานิชเกษม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด

          คุณภิญโญ พานิชเกษม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายโช้คอัพแบรนด์ไทย “YSS” ทั้งในไทยและส่งออกต่างประเทศครอบคลุมทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยบริษัทมีศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ

ปัจจุบัน แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ โดยมีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร หรือ YSS Distribution & Service Center บนพื้นที่ขนาด 9 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยโดยรวมประมาณ 11,000 ตารางเมตร โดยใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท

ทั้งนี้ ภายในศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร หรือ YSS Distribution & Service Center ประกอบไปด้วย 3 อาคารหลัก ครอบคลุมทั้งการขายส่ง ขายปลีก และการบริการติดตั้ง รวมถึง พื้นที่ในการทดสอบ และยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้ง ในอนาคตจะมีระบบ e-Commerce ด้วยเช่นกัน

          สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร หรือ YSS Distribution & Service Center เนื่องจาก สถานที่ตั้งโรงงานผลิต และสำนักงานใหญ่ในปัจจุบันมีพื้นที่ใช้สอยไม่เพียงพอ อีกทั้ง การมีโรงงานผลิตหลายแห่ง ทำให้การบริการจัดการค่อนข้างยาก ดังนั้น จึงได้เล็งหาพื้นที่ใหม่ในการดำเนินการดังกล่าว

โดยบริษัทได้วางแผนก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2564 ปัจจุบันได้ดำเนินการตอกเสาเข็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานได้ 100% ภายในช่วงเดือนเมษายน 2566 หลังจากนั้น บริษัทจะทำการย้ายสำนักงานใหญ่มายังศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร หรือ YSS Distribution & Service Center ขณะเดียวกัน จะนำพื้นที่แวร์เฮาส์บริเวณสำนักงานใหญ่เดิมมาปรับปรุงเป็นไลน์ผลิต ซึ่งถือเป็นอีกส่วนในแผนการขยายกำลังการผลิตโดยรวมของบริษัท ซึ่งคาดว่าอีกประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้นจึงจะสามารถเดินเครื่องไลน์ผลิตได้

ส่วนประโยชน์ที่ได้รับหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะส่งผลดีต่อบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม โดยทางตรง คือ คาดว่าจะช่วยให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตของบริษัทโดยรวมกว่า 30% จากเดิมที่ผลิตได้ประมาณ 150,000 ชิ้นต่อเดือน ขณะที่ทางอ้อม จะช่วยให้บริษัทมีพื้นที่ไว้สำหรับโชว์ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่เข้ามาดู รวมทั้ง ยังได้จัดโชว์ประวัติรถที่ได้แชมป์โลก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ของ YSS ในการแข่งขัน

          นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าในแต่ละประเทศ  โดยในปีนี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์รถยนต์เป็นหลัก และผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับรถจักรยานยนต์ในบางประเภท รวมถึง จะดำเนินการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เคยผลิตมาก่อน

ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันมีกระแสเรื่องเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งในส่วนนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากรถอีวียังต้องมีการใช้โช้คอัพเป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับรถยนต์ทั่วไป โดยบริษัทได้มีการศึกษา และวางแผนเพื่อดำเนินการปรับเทคโนโลยีบางอย่าง พร้อมทั้ง เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อให้สามารถตอบโจทย์รถอีวี และพร้อมที่จะเปิดตัวได้ในอนาคต

          คุณภิญโญ กล่าวต่อว่า ในปี 2566 บริษัทมีแผนที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์สู่ตลาดโลกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผลิตภัณฑ์สำหรับรถจักรยานยนต์ บริษัทได้ผลิตและส่งออกไปทั่วโลกแล้ว แต่ในส่วนของรถยนต์ยังไม่มีการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ เพราะเราต้องผลิตสินค้าให้เหมาะกับสภาพของถนนในแต่ละประเทศ รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ เราต้องทดสอบจนมั่นใจก่อนว่าผลิตภัณฑ์ของ YSS ตอบโจทย์ของผู้ใช้งานจริงๆ ขณะนี้ ได้เริ่มส่งไปยังประเทศที่บริษัทมีศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิ ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น เพื่อทดสอบและปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ

“เราจะมีประโยคหนึ่งที่ติดไว้ทุกที่ในบริษัท คือ “We Must Produce The Most Value Product For Our Family” เพื่อตอกย้ำกับพนักงานอยู่เสมอว่า “เราต้องผลิตผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อครอบครัวของเรา” ซึ่งหมายถึงว่าลูกค้าทั่วโลก คือ ครอบครัวของวาย.เอส.เอส. ดังนั้น จึงต้องผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีที่สุด หรือหากเกิดข้อผิดพลาดเราพร้อมที่จะรับผิดชอบและนำกลับมาแก้ไขให้อย่างเร็วที่สุด ซึ่งเราได้ให้การดูแลลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมทั้ง ยังพยายามตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด” คุณภิญโญกล่าว

ด้านผลประกอบการในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าเติบโตเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 10% หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยในภาพรวมจะแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็นภายในประเทศ 50% และส่งออกต่างประเทศ 50% ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น การระบาดของโควิด-19 รวมไปถึง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบกับบริษัท เนื่องจากอยู่ใกล้กับประเทศเยอรมนีที่เป็นลูกค้าหลัก อีกทั้ง บริษัทยังมีลูกค้าบางส่วนอยู่ในประเทศรัสเซีย และโปแลนด์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้ไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงมากนัก ดังนั้น ในปี 2565 จึงมั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทจะได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน

“ปี 2564 ที่ผ่านมาแม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เราสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ ปัจจุบันตัวเลขรายได้ในแต่ละเดือนถือเป็นที่น่าพึงพอใจ ดังนั้นสิ้นปี 2565 เราจึงคาดว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายที่เราได้ตั้งไว้ โดยผลประกอบการของบริษัทในแต่ละปีนั้นไม่ได้หวือหวามากนัก ซึ่งหมายถึงว่า ถ้าเศรษฐกิจดีตัวเลขจะขยับดีขึ้นในระดับหนึ่ง ค่อนข้างมีความเสถียรคล้ายกับเรือที่วิ่งไปในน่านน้ำเรื่อยๆ

ถึงแม้เราจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ไม่ได้เร่งรัดเพื่อที่จะกระจายผลิตภัณฑ์ในจำนวนมาก เพราะเราต้องทดลองตลาดแต่ละตลาดให้มีความมั่นใจก่อนที่จะจำหน่าย อีกทั้ง ยังต้องการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน” คุณภิญโญกล่าว

          คุณภิญโญ กล่าวต่อว่า บริษัทยังมีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประมาณกลางปี 2566 โดยจะได้รับประโยชน์จากเงินที่ระดมทุนได้เพื่อนำมาใช้ลงทุนในด้านต่างๆ  อีกทั้ง ยังส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจร่วมกับคู่ค้า ซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทมีความน่าเชื่อถือ มั่นคง ทำให้เกิดความน่าสนใจในการเข้ามาร่วมลงทุนมากยิ่งขึ้น

พร้อมทั้ง บริษัทยังต้องการคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานมากขึ้น ซึ่งการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้การค้นหาบุคลากรเข้ามาร่วมงานง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากหลายคนมีความต้องการทำงานในบริษัทมหาชนที่มีระบบการบริหารงานที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และเป็นองค์กรที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การที่รับคนรุ่นใหม่เข้ามาในองค์กร เนื่องจากบริษัทต้องการแนวความคิดใหม่ที่จะนำพาองค์กรไปยังทิศทางที่ควรจะเป็นในอนาคตข้างหน้า และส่งผลให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

“การนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นบันไดอีกขั้นที่เราจะต้องก้าวต่อไป เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะรุกขยายไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้นการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงถือเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่ง ปัจจุบันประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์อยู่ประมาณ 18 ล้านคัน เวียดนามมีอยู่ประมาณ 50 ล้านคัน และอินโดนีเซียมีอยู่ประมาณ 100 ล้านคัน แต่ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านรถจักรยานยนต์ของ YSS ในประเทศไทยมีมากกว่าเวียดนามถึง 10 เท่า และมากกว่าอินโดนีเซีย 8 เท่า

โดยในประเทศไทย เราทำตลาดเอง แต่ในต่างประเทศได้ทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายจึงทำได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ถ้าในอนาคตเราขยายธุรกิจและเข้าไปทำตลาดในหลายๆ ประเทศโดยตรงจะช่วยให้สามารถกระจายผลิตภัณฑ์ของ YSS ได้มากขึ้น และอีกส่วน คือ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ YSS เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แต่ในบางประเทศเราไปส่งให้ตัวแทนจำหน่ายโดยตรงไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงมองว่าถ้าเราเข้าไปทำเองจะคุ้มค่ามากกว่า” คุณภิญโญกล่าว

          คุณภิญโญ กล่าวต่อถึงเรื่องที่อยากฝากกับลูกค้าว่า เรื่องแรก คือ อย่าใช้ผลิตภัณฑ์โช้คอัพของปลอมทั้งในส่วนของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ เนื่องจากปัจจุบันมีของปลอมวางจำหน่ายเป็นจำนวนมาก โดยมีสติ๊กเกอร์ YSS แต่ไม่มีความปลอดภัย เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

ส่วนเรื่องที่สอง คือ บริษัททำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา เพื่อให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งได้ลงทุนในด้าน R&D เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของ YSS มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน โดยมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อให้เกิดการใช้งานจริง ดังนั้นลูกค้าสามารถเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ YSS ได้อย่างแน่นอน อีกทั้ง บริษัทยังมี Service Center เพื่อให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด

พร้อมทั้ง อยากฝากถึงภาครัฐว่า ควรจะมองในมุมของความเป็นจริง ต้องเขียนกฎเกณฑ์จากความเป็นจริงและสามารถปฏิบัติได้จริง เพราะปัจจุบันกฎเกณฑ์บางข้อที่เขียนออกมาแล้ว แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้ หรืออาจจะทำได้แต่มีความยาก รวมถึง ภาครัฐควรกำหนดนโยบายต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น ในเรื่องของรถอีวี ปัจจุบันต้องขยายจุดชาร์จให้มีมากขึ้น เป็นต้น

www.yss.co.th

Page Visitor

013012956
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
6611
14397
113491
315470
505277
13012956
Your IP: 18.116.89.70
2024-12-22 11:22
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.