JWD ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นรวมกิจการกับ SCGL ผนึกกำลังติดปีกธุรกิจ
ยกระดับเป็นผู้นำบริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน
บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (“JWD”) ได้รับไฟเขียวจากผู้ถือหุ้นเข้ารวมกิจการกับ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (“SCGL”) คาดดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2566 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ ใช้ตัวย่อใหม่ “SJWD” ในการซื้อขายหลักทรัพย์ มั่นใจผสานความแข็งแกร่งยกระดับเป็นผู้นำด้านบริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน นำเสนอบริการครอบคลุมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ตอบสนองความต้องการแก่ลูกค้าได้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งสินค้าหลากหลายรูปแบบ และเกิดประโยชน์ต่อการลดต้นทุนในด้านต่างๆ
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 ให้เข้ารวมกิจการกับบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SCGL) ด้วยวิธีการแลกหุ้น (Share Swap) โดยการลดทุนและเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เป็น 905,510,153.00 บาท จากเดิม 509,999,971.50 บาท ซึ่งขั้นตอนต่อไปบริษัทฯ จะดำเนินการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 791,020,363 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อจัดสรรและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement หรือ PP) แก่ผู้ถือหุ้นของ SCGL ที่ราคาหุ้นละ 24.02 บาท สำหรับเป็นค่าตอบแทนการรับโอนหุ้นสามัญของ SCGL แทนการชำระด้วยเงินสด โดยภายหลังทำธุรกรรมแลกหุ้นแล้วเสร็จ กลุ่ม SCG Group จะเข้าถือหุ้นใน JWD คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.9 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ JWD ภายหลังการทำธุรกรรมครั้งนี้
การทำธุรกรรมรวมกิจการดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2566 หลังจากนั้นบริษัทฯ จะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ใช้ตัวย่อ “SJWD” ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจะเริ่มรวมงบการเงินของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนโครงสร้างการบริหารในบริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยมี นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ตัวแทนจาก JWD และ นายบรรณ เกษมทรัพย์ ตัวแทนจากกลุ่ม SCGL ร่วมกันบริหารงานในตำแหน่ง Co-CEO (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม) และจะดำเนินการปรับโครงสร้างภายในเพิ่มเติม จากนั้นคาดว่าบริษัทฯ จะรับโอนกิจการทั้งหมด Entire Business Transfer (EBT) ของ SCGL เสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/2566
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า การรวมกิจการกับ SCGL จะเกิดการผนึกกำลังและผสานความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทด้วยกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจสู่ “ผู้นำด้านการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน” โดย JWD มีความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแก่สินค้าเฉพาะทาง เช่น คลังห้องเย็น, คลังสินค้าอันตราย, รับฝากและบริหารยานยนต์ เป็นต้น ส่วน SCGL มีความถนัดให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เหล็กและวัสดุก่อสร้าง, กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เมื่อผนึกกำลังกันแล้วก็จะสามารถนำเสนอบริการแบบครบวงจร ตั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ (End-to-End) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multi-modal Transportation) ทั้งทางรถ ทางเรือและทางรถไฟ ตลอดจนสามารถนำเสนอบริการเพิ่มเติมแก่ฐานลูกค้าเดิมของทั้ง 2 ฝ่ายในรูปแบบ Cross-Sale และ Up-Sale เพื่อเพิ่มรายได้แก่บริษัทฯ เช่น บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ, คลังห้องเย็น, บริการขนส่งสินค้าด้วยเรือลำเลียง
ขณะเดียวกันจะเกิดประโยชน์ต่อการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนและใช้งบลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทสามารถใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า อาทิ คลังสินค้า รถขนส่ง เทคโนโลยีไอที ฯลฯ ซึ่งสามารถใช้จุดเด่นด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและบริหารจัดการต้นทุน เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น มีต้นทุนด้านการให้บริการลดลงจากการมีฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและต้นทุนทางการเงินลดลง
“การร่วมกิจการเป็น บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ ในครั้งนี้ จะสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคอาเซียนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งการลงทุนขยายธุรกิจแบบ M&A ในบริษัทที่มีศักยภาพ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นบริหารงานและขยายธุรกิจเชิงรุก เพื่อนำบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน” นายชวนินทร์ กล่าว