November 23, 2024

SJWD รุกเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ‘คลังห้องเย็น – ออโตโมทีฟ’

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

SJWD วางกลยุทธ์ปี 67 ขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์ทางบก น้ำ อากาศ ระดับภูมิภาค

รุกเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ‘คลังห้องเย็น – ออโตโมทีฟ’ เตรียมถือหุ้น ‘เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม’ วางเป้าหมาย Net Zero Carbon ปี 2593 ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน

          บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ หรือ SJWD เปิดแผนธุรกิจปี 2567 วางกลยุทธ์ขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์ทางบก น้ำ และอากาศ ในระดับภูมิภาค เพื่อขยายธุรกิจ Freight Forwarder หลังเข้าถือหุ้น “SINO – ANI – SWIFT” และเตรียมเข้าลงทุนใน “เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม” เพื่อรับรู้รายได้จากการให้บริการโลจิสติกส์แก่โครงการปิโตรเคมีครบวงจร

พร้อมมุ่งเพิ่มศักยภาพและยกระดับธุรกิจห้องเย็นและออโตโมทีฟ และสร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ ได้แก่ คลังสินค้า Built-to-Suite, บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยา และธุรกิจพื้นที่เก็บของให้เช่า วางเป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero Carbon ในปี 2593 เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปี 2567 ของ 5 ประเทศหลักในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย มีแนวโน้มเติบโตได้ดี สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของ 5 ประเทศดังกล่าว ที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 4.2% ในปีนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่รุกขยายธุรกิจตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า (Frieght Forwarder) และการเติบโตในอาเซียน

          โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์หลัก 3 ส่วนในปีนี้ ได้แก่ (1) ขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับภูมิภาค (Regional Connectivity & Expansion) (2) เพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับธุรกิจ “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “ออโตโมทีฟ” (Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative) และ (3) สร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ (New Business Opportunities) ภายใต้งบลงทุนรวมในปีนี้กว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้เติบโต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 23,979 ล้านบาท และวางเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เป็น 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570

          กลยุทธ์แรก Regional Connectivity & Expansion” บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ในปี 2570 โดยนับจากปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight) และเข้าลงทุนในบริษัทให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและจีน

          ได้แก่ (1) เข้าถือหุ้น 4.2% ใน บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจรรายใหญ่ โดย SINO มีปริมาณขนส่งสินค้าทุกเส้นทางรวม 46,985 ตู้ในปีที่ผ่านมา และมีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ในไทยและอันดับ 6 ของโลก (2) เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20.12% ใน บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้ประกอบการรายใหญ่ 1 ใน 3 ของเอเชียในธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าแก่สายการบินต่าง ๆ (General Sales Agent หรือ GSA) กว่า 20 สายการบิน ครอบคลุม 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, จีน และฮ่องกง โดย ANI มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายเครือข่ายให้บริการในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ยุโรป, ออสเตรเลีย เป็นต้น

ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ANI ประมาณ 185 ล้านบาทในปีนี้ และ (3) เข้าซื้อหุ้น 20.44% ในบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งทางรถและเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถเทรลเลอร์ (รถหัวลาก) รายใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนในเส้นทางไทย - มาเลเซีย - สิงคโปร์ แก่ SJWD คาดว่าบริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน SWIFT ประมาณ 55 ล้านบาทในปีนี้ โดยทั้ง 3 บริษัทดังกล่าว มีรายได้รวมกันในปีที่ผ่านมา มากกว่า 10,000 ล้านบาท

          ขณะที่แผนการลงทุนต่อจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จากบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม ของ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) ภายในไตรมาส 2/2567 นี้

          นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ขณะที่กลยุทธ์ที่ 2 Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative” บริษัทฯ จะใช้จุดแข็งด้านความสามารถการให้บริการ “คลังสินค้าห้องเย็น” อย่างครบวงจรแบบ End-to-End และการให้บริการโลจิสติกส์แก่ผลิตภัณฑ์ยาครอบคลุมทั่วประเทศในการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นที่เปิดบริการแล้ว 6 ทำเล ได้แก่ สมุทรสาคร, บางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 17, 19, 22, สุวินทวงศ์ และสระบุรี รองรับสินค้าได้ 135,000 ตัน มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 74% และวางแผนขยายคลังสินค้าห้องเย็นอีก 5 ทำเล รองรับสินค้าได้อีก 34,000 ตัน ได้แก่ (1) DC คลังสินค้าห้องเย็น ย่านรังสิต 2 หลัง รองรับสินค้าได้ 23,000 ตัน (2) สาขาเชียงใหม่ จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน และ (3) สาขาขอนแก่น จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน (4) คลังห้องเย็นสระบุรีเฟส 2 จัดเก็บสินค้าได้ 8,000 ตัน นอกจากนี้จะรวมเครือข่าย FUZE POST ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เพื่อตอบสนองดีมานด์ตลาด B2B2C

          ขณะที่ธุรกิจ “ออโตโมทีฟ” (บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์) วางเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ในปีนี้ สอดคล้องกับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยม สะท้อนจากสถิติเดือนมกราคม 2566 - มกราคม 2567 ที่มีสถิตินำเข้าและจดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยรวม 63,250 คัน โดยปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันรายใหญ่ในไทย ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30-35% มีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 870,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นการให้บริการในพื้นที่ของบริษัทฯ 400,000 ตารางเมตร และให้บริการแบบออนไซต์ในพื้นที่ของลูกค้าอีกกว่า 472,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯ จะนำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้จากการให้บริการแบบ End-to-End solution แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายรวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ มีแผนนำโมเดลธุรกิจออโตโมทีฟรุกให้บริการในประเทศเวียดนาม

          ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 New Business Opportunities” จะโฟกัส 3 ธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ก่อสร้างตามความต้องการของผู้เช่า ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ซึ่ง SJWD ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนารวม 9 ทำเล คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร รวมถึงมีแผนนำคลังสินค้าจัดตั้งกองรีทส์ในปีนี้

          ขณะเดียวกัน จะขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเตรียมคลังสินค้าในย่านบางนา กม.22 พื้นที่กว่า 28,000 ตารางเมตรไว้รองรับ โดยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และยา และต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ด้านการให้บริการคลังสินค้าห้องเย็น คาดว่าจะสร้างรายได้แก่บริษัทฯ 70 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ ได้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าภายใต้แบรนด์ “MeSpace Self Storage” 112 ล้านบาท เติบโต 53% จากปีก่อน โดยใช้ศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าอันดับหนึ่งที่มีจำนวน 10 สาขา เช่น สยาม, ลาดพร้าว, พระราม 9, ศรีกรีฑา, พัทยา, ภูเก็ต เป็นต้น พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร มากที่สุดในประเทศไทย สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่เก็บของเพิ่มเติม โดยมี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งร่วมกันขยายธุรกิจ

          นายบรรณ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มีนโยบายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสโคป 1 และ 2 ที่  10% ในปีนี้ และมุ่งสู่ Net Zero Carbon ในปี 2593  ซึ่งกิจกรรมหลักที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2567 ประกอบไปด้วย (1) Multi ModalTransportation หรือการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ ระหว่างการขนส่งทางรถ รางและเรือเข้าด้วยกัน (2) Backhaul Matching หรือการบริหารรอบรถบรรทุกสินค้าเที่ยวไปและกลับ (3) การใช้รถขนส่งเชื้อเพลิงทางเลือก โดยปัจจุบันได้นำรถขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเข้ามาทดแทนรถขนส่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง (4) การใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยได้ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป ที่อาคารคลังสินค้า (5) การใช้เทคโนโลยีจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) โดยนำมาใช้กับคลังสินค้าห้องเย็นตั้งแต่ปี 2562 สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและทดแทนการใช้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

          และแผนในปี 2568 – 2570  คือการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรในระดับสากลที่ดำเนินการด้าน GHG ในกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เช่น Smart Freight Center และ Global Logistics Emissions Council (GLEC) การเข้ารับการประเมิน CSA (Corporate Sustainability Assessment) เพื่อเป็นสมาชิก S&P Global  และการเข้ารับการประเมิน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Transport and Transport Infrastructure เพื่อมุ่งสู่การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนของ SCGJWD

 

Page Visitor

012556607
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
10303
19290
117900
364398
432245
12556607
Your IP: 3.145.93.227
2024-11-23 12:52
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.