March 19, 2024
then
01Top_Surachai
Issue 034 Mar

Issue 034 Mar (7)

เฟอร์โร รับบีโอไอส่งเสริม  2 โปรเจค มูลค่ารวมกว่า 150 ลบ.  

          เฟอร์โร (ประเทศไทย) เดินหน้าขยายการลงทุนอย่างไม่หยุดยั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากบีโอไอ 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 153 ล้านบาท พร้อมประกาศบุกตลาดโดยเล็งลงทุนเพิ่มอีกหลายโปรดักส์ ล่าสุดส่งน้องใหม่ Ink Jet Printing  เขย่าตลาดตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการลวดลายที่สวยงาม คุณภาพสูงและนววัตกรรมการพิมพ์ในขั้นตอนการผลิตกระเบื้องผนังและปูพื้น สำหรับอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่ต้องการความทันสมัยและสวยงาม ไม่เหมือนใคร ออกแบบลวดลาย ตรงตามความต้องการของ อินทีเรีย ดีไซน์เนอร์ และเจ้าของบ้าน อาคารสำนักงาน หรือ โรงแรม

นายโยฮัน ฮาลิม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟอร์โร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทดำเนินธุรกิจผลิตสารเคลือบเซรามิกและปัจจุบันได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอต่อเนื่องจากปี 2555 ที่ผ่านมา 2 โครงการประกอบด้วย  Ceramic Glaze Powder (ผงเคลือบเซรามิก) มูลค่าการลงทุน 55 ล้านบาท  และ Ceramic Pigment (สีสำหรับเซรามิก) มูลค่าการลงทุน 98 ล้านบาท โดยวงเงินทั้งหมดรวมทั้งเงินทุนหมุนเวียน โดยประกอบด้วย 3 ส่วน คือ1.การตลาดทั้งในประเทศและการตลาดต่างประเทศ ในสัดส่วน 20: 80  2. เทคโนโลยีขั้นสูง เครื่องจักร การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์  3.วัตถุดิบ ทั้งในและจากต่างประเทศ

ส่วนเหตุผลที่บริษัทขอยื่นรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ เนื่องจากบริษัทผลิตสินค้าที่สามารถเพิ่มมูลค่าสูงให้กับประเทศไทยได้  โดยสินค้าของบริษัทเป็นวัตถุดิบที่สำคัญและจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมเซรามิกในประเทศไทย และในต่างประเทศ และมีลูกค้าหลักๆหลายราย ที่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีหากได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องยกเว้นภาษีนิติบุคคล และการลดหย่อนในเรื่องภาษีวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ผลิตเพื่อการส่งออก

ทั้งนี้บริษัทมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ในอุตสาหกรรมเซรามิก ในประเทศไทยมากว่า 20 ปี และเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่มประเทศเอ อี ซี มีความสะดวกในด้านการขนส่งไปยังต่างประเทศ มีต้นทุนในเรื่องโลจิสติกส์ที่ต่ำ เนื่องจากอยู่ใกล้กับโรงงานของลูกค้า  สามารถให้บริการหลังการขายและการสนับสนุนเทคนิคการผลิต ทดสอบ ให้สอดรับกับสายการผลิตของลูกค้าโดยเฉพาะรายเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำให้กลุ่มบริษัทเฟอร์โรมีผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ลูกค้ามีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเราและมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องพร้อมกับการส่งมอบที่ทันเวลา

“สิทธิประโยชน์ที่ได้รับประกอบด้วย 1. ได้รับการยกเว้น ภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี   2. ได้รับการยกเว้นภาษีการ นำเข้าวัตถุดิบที่ใช้สำหรับสินค้าเพื่อการส่งออก 3. ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร และจากการได้รับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวทำให้เราขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ผงเคลือบเซรามิกเพิ่มเป็น 4,500 เมตริกตัน/ปี และผลิตภัณฑ์สีสำหรับเซรามิกมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2,300 เมตริกตัน/ปี ทำให้บริษัทมีความมั่นคงในเรื่องการผลิตในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิค โดยเฉพาะอาเซียนเพื่อการส่งออกในระยะยาว ” นายโยฮันกล่าว

นายโยฮันกล่าวต่อถึงเป้าหมายธุรกิจในปี 2556-2557 ว่า หลังจากมีการสรุปผลประกอบการของปีที่ผ่านมา บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในอุตสาหกรรมภาชนะเซรามิก กระเบื้องหลังคา เซรามิกประเภทงานศิลปะ และสุขภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทำตลาดใหม่นี้ในช่วงปี 1-2 ปีนี้  ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนที่จะเพิ่มการผลิตมากขึ้นกว่า 10-20% เพื่อรองรับแผนงานดังกล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่มารองรับนวัตกรรมการผลิตแผ่นพื้นเซรามิกในยุคนี้คือ Ink Jet Printing  นวัตกรรมหมึกพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ภาพลงบนแผ่นกระเบื้องได้เสมือนจริง สวยงาม คงทนซึ่งสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่ต้องการออกแบบลวดลายต่างๆ บนผนังได้ตามความชอบ โดยเฉพาะการตกแต่งภายในอาคาร สำนักงานหรือ อาคารใหม่ที่ทันสมัย มากขึ้น

 โดยบริษัทจะผลิตและจำหน่ายหมึกพิมพ์นี้ให้กับบริษัทลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตแผ่นพื้นเซรามิกต่างๆ และนำไปบริการให้กับผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง  โดยผ่านตัวแทนจำหน่าย และศูนย์กระจายสินค้า วัสดุก่อสร้าง ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โฮมโปร โฮมมาร์ท ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบสนองความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้สูงสุดเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่พิมพ์ด้วยระบบ Ink Jet จะมีประสิทธิภาพคงทนและมีคุณภาพสูงกว่าการใช้บล็อกพิมพ์สีปัจจุบันซึ่งเปลืองเวลาและมากขั้นตอน อีกทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตได้มากกว่า เพราะสามารถย่นขั้นตอนการผลิตและคุณภาพดี ลดการสูญเสียของการพิมพ์ลายหรือภาพได้เพราะทำเสร็จทุกสีภายในการพิมพ์ลงกระเบื้องในการพิมพ์ครั้งเดียว

นายโยฮันกล่าวต่อว่าปัจจุบัน บริษัทมีทั้งหมด 2 โรงงาน คือที่จังหวัดสระบุรีและที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ แต่ภายในเดือนมีนาคม 2556 บริษัทจะย้ายโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูมารวมกับโรงงานที่สระบุรี  เนื่องจากโรงงานที่สระบุรีมีพื้นที่กว้างขวางซึ่งง่ายต่อการประสานงานต่างๆ   โดยโรงงานที่สระบุรีประกอบด้วย 2 อาคารและอาคาร 2 ยังมีพื้นที่เหลือพอสำหรับการรองรับไลน์การผลิตที่จะย้ายมาจากโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูได้  และมีห้องปฎิบัติการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดในเรื่องสีที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิก ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รองจากประเทศสเปนที่เป็นต้นตำรับในด้านนี้

ในปีนี้ บริษัทจะเปิดสำนักงานกลางประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่ตึก Cyber World   นอกจากนี้ในเขตเศรษฐกิจอาเซียน บริษัทมีสำนักงานขายประจำที่อยู่ประเทศเวียดนามและประเทศมาเลเซียภายใต้การบริหารงานของสำนักงานใหญ่ที่ประเทศไทย  ด้านระบบการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าภายในประเทศและประเทศมาเลเซีย ขนส่งโดยใช้รถบรรทุก ส่วนลูกค้าต่างประเทศ บริษัทจะใช้ระบบขนย้ายสินค้าโดยรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนส่งสู่ท่าเรือที่คลองเตย 

ส่วนข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศมีดังนี้

 1.การปรับอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมให้ต่ำลง

 2. เสถียรภาพทางการเงินของเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป

 3. ขั้นตอนการคืนเงินภาษีโดยให้มีขั้นตอนที่ง่ายกว่าปัจจุบัน 

 4. ต้นทุนพลังงานที่ต่ำลง 5. มีขั้นตอนที่ง่ายๆในการข้อเอกสารรับรองและใบอนุญาตต่างๆ

     พี แอล อเวนิว เทงบ 300 ลบ. ผุด The Tree Community Mall

        พี แอล อเวนิว เนรมิต The Tree Community Mall แห่งแรกในจังหวัดปทุมธานี มูลค่าการลงทุน 300 ลบ. ชูจุดเด่นต้นไม้ปลอมขนาดใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นและเป็นธรรมชาติ เล็งจับกลุ่มเป้าหมาย C-A พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมษายนนี้

        คุณวันนิวัต  กิติเรียงลาภ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท  พี แอล อเวนิว จำกัด เจ้าของโครงการ The Tree Community Mall เปิดเผยรายละเอียดโครงการว่าเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปลายปี  2555   โดยโครงการตั้งอยู่ที่ ถ.ติวานนท์ - ปทุมธานี บางคูวัด จ.ปทุมธานี ใช้งบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างรวม  300  ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าที่ดิน  100  ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 200 ล้านบาทจะใช้ดำเนินการในส่วนของการก่อสร้าง

        โดยพร้อมเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2556  และวางแผน  Grand Opening  เดือนเมษายนนี้ทั้งนี้โครงการมีพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 6,000  ตารางเมตร ส่วนพื้นที่ 4,000  ตารางเมตรที่เหลือเป็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ  และมีพื้นที่จอดรถที่สามารถรองรับรถได้ 280 คัน  

        ด้านอุปสรรคที่พบในการดำเนินการก่อสร้างมีดังนี้ 1.ประสบปัญหาน้ำท่วมในขณะเริ่มก่อสร้างจึงระงับการก่อสร้างไว้ชั่วคราวและเริ่มตอกเสาเข็มเมื่อปี 2555  2.ปัญหาฝนตกผิดฤดู เนื่องจากจังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่โล่งจึงมีลมแรงมากจึงส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า  คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคมและจะเปิดให้บริการบางส่วน  ซึ่งจะสามารถเปิดให้บริการร้านค้าได้ 80% และส่วนกลางจะต้องให้แล้วเสร็จ 100%  เช่น ไฟ ห้องน้ำ สุขาภิบาล ประปา ที่จอดรถ รปภ. แม่บ้าน เป็นต้น 

        คุณวันนิวัตกล่าวต่อถึงวัตถุประสงค์การก่อสร้างโครงการดังกล่าวว่า “The Tree” นับเป็น Community Mall แห่งแรกในจังหวัดปทุมธานี เนื่องจากจังหวัดปทุมธานีไม่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นอกจากบิ๊กซีและโลตัส ซึ่งตนมองว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะสร้าง Community Mall ประกอบกับตนเป็นคนในพื้นที่ดังนั้นจึงได้เปรียบในเรื่องทำเล  

        รวมทั้งในอนาคตจะมีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยย้ายมาตั้งที่จังหวัดปทุมธานีซึ่งตั้งอยู่ใกล้ Community Mall จึงทำให้มีโอกาสที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนและช้อปปิ้งให้กับนักศึกษาในอนาคตและเป็นโอกาสที่ดีที่จะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมให้กับเยาวชนให้ได้มาแสดงความสามารถในด้านต่างๆ  เช่น การประกวดร้องเพลง เป็นต้น

        ส่วนกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ระดับ C-A  เช่น ลูกค้าหมู่บ้านซึ่งอยู่รอบๆ Community Mall ในบริเวณรัศมี 5-6 กิโลเมตรประมาณ 10 หมู่บ้าน โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีกำลังซื้อ ดังนั้น Community Mall  จึงเป็นสถานที่สามารถตอบโจทย์ของผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ Community Mall ได้เป็นอย่างดี

        “การสร้าง The Tree Community Malll ขึ้นมาเพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนและช้อปปิ้งใกล้บ้าน การเดินทางสะดวกสบาย ปลอดภัย โดยทุกคนสามารถเข้ามาเดินได้ราคาสินค้าไม่แพงมากจนเกินไปรวมทั้งสินค้ามีคุณภาพคุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าจ่ายไป”คุณวันนิวัติกล่าว

        สำหรับจุดเด่น The Tree Community Mall จะมีต้นไม้ปลอมต้นใหญ่ ขนาด 4 คนโอบรอบ สูงประมาณ 18 เมตร มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท  ตั้งอยู่ตรงกลาง Community Mall  ซึ่งจะตรงตามคอนเซปต์ The Tree   โดยได้แรงบันดาลจากสวนสนุกของประเทศเกาหลี  นอกจากนี้ในบริเวณจุดกึ่งกลางของCommunity Mall จะเป็นลานโล่งตรงกลาง และมีผ้าใบที่เพ้นท์เป็นรูปใบไม้และเมื่อแดดส่องจะมีเงารูปใบไม้แสดงบนพื้นให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ สอดรับกับต้นไม้ปลอมทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นสบายมากยิ่งขึ้น โดยจะเข้ากับธีมหลักของโครงการที่มีชื่อว่า The Tree   และมีน้ำพุร่วมด้วย 

        รวมทั้งจะโดดเด่นในเรื่องของทำเลด้วยซึ่งตั้งอยู่ติดกับสี่แยก ซึ่งจะอำนวยความสะดวกสบายด้านการคมนาคมให้แก่ประชาชนทั่วไปที่สัญจรไปมา โดยจะสามารถมองเห็น Community Mall  ได้ทุกด้าน  ด้วยสีสันสดใสสะดุดตา นอกจากนี้ The Tree   Community Mall จะยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1.70 ม. เนื่องจากต้องการป้องกันไม่ให้ระบบไฟฟ้าเกิดความขัดข้องเมื่อประสบปัญหาน้ำท่วม  โดยสามารถการันตีเรื่องความปลอดภัยจากน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี

        ส่วนผลประกอบการในปี 2556 คุณวันนิวัตกล่าวว่าตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 35-40 ล้านบาท โดยในปีแรกไม่ได้คาดหวังในผลกำไรเนื่องจากจะต้องทำการโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้าและให้ลูกค้ารู้จัก The Tree Community Mall มากยิ่งขึ้นจึงต้องทำการโปรโมทให้ดีที่สุดเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง   

        ด้านกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมายในปีแรก บริษัทมีแผนการตลาดในเรื่องโปรโมชั่น Community Mall  โดยการนำภาพของร้านค้าทั้งหมดซึ่งตกแต่งเรียบร้อยแล้วนำไปตีพิมพ์จัดทำเป็นโบชัวร์เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จัก The Tree Community Mall มากยิ่งขึ้น อาทิ หมู่บ้าน นิคมอุตสาหกรรม  โรงงานใกล้เคียง เป็นต้น

        นอกจากนี้โปรโมชั่นในช่วง 6  เดือนแรก บริษัทจะประสานงานกับรถสองแถวเพื่อให้บริการรับ-ส่งลูกค้าฟรี 4 จุด ดังนี้ 1.ถนนเส้นก่อนถึงสะพานนนทบุรีซึ่งเป็นย่านโรงงาน อาทิ เบียร์สิงห์ เสริมสุข เป็นต้น  2.บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านคือ เส้น 345  3.ตัวเมืองจังหวัดปทุมธานี  4.รอบ ๆ ตัวเมืองจังหวัดปทุมธานี  โดยจะรับส่ง 2 ช่วงเวลาคือช่วงเช้าและช่วงเย็น  นอกจากนี้จะมีการจัดขบวนรถกระบะแห่เพื่อประชาสัมพันธ์ในช่วง 2-3 อาทิตย์แรก  รวมทั้งจะเชิญดารามาร่วมโปรโมทประชาสัมพันธ์โดยจะเป็น The Voice  ซึ่งตนมองว่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับเยาวชน โดยใช้งบประมาณในการโปรโมทประชาสัมพันธ์ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท

ไตร พร็อพเพอตี้ปลื้ม “ZCAPE X2” แรงต่อเนื่อง

        ไตร พร็อพเพอตี้ ฟุ้ง “ZCAPE X2” แรงดีไม่ตก ลูกค้าให้การตอบรับดีด้วยยอดขาย 80% ณ ปัจจุบัน เตรียมเดินหน้าลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว มูลค่าเฉียด 2,000 ลบ. ลั่นลูกค้าไม่ต้องวิตกคอนโดฯ สร้างเสร็จ 100%  ตั้งเป้าโกยรายได้ปีนี้ 1,500 ลบ.

        คุณอดิศร   วิเวกานนท์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไตร พร็อพเพอตี้ จำกัด  เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการ “ZCAPE X2” ว่าหลังจากที่บริษัทได้เปิดพรีเซลล์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556  ที่ผ่านมาปัจจุบันยอดขายอยู่ที่ประมาณ  80%  แบ่งเป็นลูกค้าคนไทย  70%  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและชาวต่างชาติ   30% ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้ในช่วงหลังสงกรานต์อย่างแน่นอน โดยโครงการจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกันยายน ใช้งบประมาณในการดำเนินการ  400  ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณควอเตอร์  3  ของปี  2557 

        “เรามั่นใจว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ก่อนที่มีการก่อสร้างโครงการอย่างแน่นอน และไม่ได้กังวลกับอีก 20%  ที่เหลือจากการขาย ทั้งนี้หากปิดการแล้วยังมีส่วนที่เหลือ เราก็จะเก็บไว้ทำกำไรเองและจะไม่ปล่อยขาย เพราะปัจจุบันราคาเฉลี่ยทั้งโครงการจะอยู่ที่  2.1 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากราคาสูงสุดของโครงการ 1.95 ล้านบาทที่ได้มีการเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา” คุณอดิศรกล่าว

        สำหรับการทำตลาดโครงการนี้จะแตกต่างจากโครงการ ZCAPE Condominium ที่สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียง 3 สัปดาห์ ซึ่งบริษัทไม่ได้เร่งรีบที่จะขาย เพราะมั่นใจว่ามีลูกค้าต้องการซื้อจำนวนมาก เพราะโปรดักส์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีรูปแบบการอยู่อาศัยในมุมมองแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด Design ServingYour Desire หรือมิติการใช้ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว โดยผสมผสานไอเดียการใช้ชีวิตที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว อีกทั้งตัวอาคารยังได้รับการออกแบบให้ใส่ใจเรื่องของฟังก์ชั่นและการจัดพื้นที่รองรับกิจกรรมของผู้อยู่อาศัยในแต่ละวัน

        ประกอบกับบริษัทต้องการให้คนพื้นที่ภูเก็ตได้มีโอกาสซื้อมากกว่าคนจากพื้นที่อื่นและจำกัดให้ลูกค้า 1  ชื่อ สามารถซื้อได้เพียง 2  ยูนิตเท่านั้น โดยต้องการกระจายให้ทุกคนได้มีโอกาสซื้อโครงการดีๆ เมื่อทุกคนมีความสุขบริษัทก็มีความสุขด้วยเช่นกัน

        ด้านคุณชัยวัฒน์  ตันติวิวัฒน์  ประธานกรรมการบริหารด้านการเงินและการลงทุน บริษัท ไตร พร็อพเพอตี้ จำกัด กล่าวถึงแผนการลงทุนในปี 2556 ว่ามีแผนการลงทุนดังนี้ 1.โปรเจคในระยะใกล้ภายในเดือนสิงหาคม – กันยายน  ปี 2556  มูลค่าการลงทุนประมาณ  850 -900 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการสรุปว่าจะเป็นโครงการแบบใด       

        2.โปรเจคในระยะกลางคือในช่วงปลายปี  2556  มูลค่าการลงทุนประมาณ  1,000  ล้านบาท  โดยกำลังวิเคราะห์หาข้อสรุปว่าจะเป็นแบบใดซึ่งอาจจะเป็นโรงแรมหรือที่พักให้เช่า คาดว่าภายในปลายปีนี้น่าจะสรุปความชัดเจนได้ โดยทั้ง 2  โปรเจคจะตั้งอยู่ในจังหวัดภูเก็ตซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับไว้แล้ว โดยมูลค่าการลงทุนทั้ง 2  โปรเจครวมเกือบ  2,000  ล้านบาท

        3.โปรเจคในอนาคต  ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาพื้นที่ที่ดินในกรุงเทพฯ และตามจังหวัดหลักๆ  ของประเทศไทยที่มีผลในเชิงบวกสำหรับการเข้ามาของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ  AEC  รวมทั้งพิจารณาในด้านการคมนาคมที่รัฐบาลจะออกแผนผังการคมนาคมและปัจจัยอีกหลายๆ ด้านเพื่อหาข้อสรุป คาดว่าปี  2556 -2557 น่าจะมีโอกาสได้เห็นว่าจะเป็นโครงการแบบใด

        คุณชัยวัฒน์กล่าวต่อถึงแนวโน้มฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเป็นกระแสในขณะนี้ ตนมองว่าไม่น่ากลัวซึ่งมองในองค์รวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พบว่ายังดีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบริษัทก็ไม่ได้ประมาทโดยมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกด้านอยู่แล้วแต่ไม่ได้ตื่นกระแสจนเกินไป และคาดว่าในอนาคตในอีก 2-3 ข้างหน้าไม่น่าจะเกิดฟองสบู่เนื่องจากมีการเข้ามาของ AEC เข้ามาสนับสนุน

        “ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้เรามั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตกและลูกค้าก็ไม่ต้องกังวลว่าโครงการต่างๆ ของบริษัทที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่จะไม่แล้วเสร็จเพราะไม่มีเงินมาสนับสนุน ในส่วนนี้เรามีเงินที่สำรองจ่ายซึ่งเป็นเงินสดของบริษัทไว้รองรับอยู่แล้ว ขอให้ลูกค้าสบายใจในจุดนี้ เราการันตีว่าจะไม่มีทิ้งการก่อสร้างกลางคันอย่างแน่นอน ลูกค้าจะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดกลับไปจากเราแน่นอน” คุณชัยวัฒน์กล่าว

        สำหรับเป้าผลประกอบในปี 2556  ตั้งเป้ารายได้  1,500  ล้านบาท  และคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากมีกลยุทธ์ทางด้านการตลาดรองรับไว้เป็นอย่างดี ด้านอัตราการเติบโตบริษัทตั้งเป้าให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย  25-30%  ต่อเนื่องทุกปี โดยเป็นการเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อมๆ กับลูกค้า

KMC โชว์รางวัลเกียรติยศ “Thailand 5S Award  2012” 

คุณสุรพร  สิมะกุลธร ประธานกรรมการ บริษัท กุลธรแมททีเรียลส์แอนด์คอนโทรลส์ จำกัด หรือ KMC ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสได้รับรางวัล Thailand 5S  Award  2012 จากสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)  และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้

ครัวเจ๊ง้อกับความสำเร็จกว่า 1  ทศวรรษ

        คุณณชนก แซ่อึ้งหรือเจ๊ง้อ เจ้าของกิจการครัวเจ๊ง้อ ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัสในโอกาสครบรอบ 13  ปีแห่งความสำเร็จ และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้

บิส โฟกัส : ครัวเจ๊ง้อเปิดดำเนินกิจการครบรอบกี่ปีในปัจจุบันและมีสาขาทั้งหมดกี่สาขา  

เจ๊ง้อ : ปัจจุบันเราดำเนินกิจการครบรอบ 13  ปีและมีทั้งหมด9  สาขา ดังนี้  1.สาขาสี่พระยา  2.สาขาบางมด  3.สาขาสาทร  4.สาขานราธิวาสราชนครินทร์ 5.สาขาซอยสุขุมวิท 20   6.สาขาถนนกาญจนาภิเษก 7.สาขาบางนา-ตราด  8.สาขาถนนรัชดาภิเษก และ  9.สาขาเกษตร-นวมินทร์ โดยที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการ ลูกค้าให้การตอบรับด้วยดีเสมอมา นับเป็นความภาคภูมิใจของเรากับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในครั้งนี้

บิส โฟกัส : มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในปี 2556 นี้หรือไม่และสาขาใดสร้างรายได้มากที่สุด  

เจ๊ง้อ : ในปีนี้ยังไม่มีแผนขยายสาขาเพิ่ม เนื่องจากเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯ ก็มากแล้ว  ถ้าไปเปิดสาขาที่ต่างจังหวัดคงจะดูแลลำบากและอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง จึงอยากดูแลสาขาในกรุงเทพฯ ให้ดีที่สุดก่อน ส่วนรายได้ในแต่ละสาขาโดยเฉลี่ยจะพอๆ กัน โดยมีรายรับอยู่ที่ประมาณ 1-2  ล้านบาท/สาขา  แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลจะเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ โดยในช่วงระยะเวลาสองปีนี้ เศรษฐกิจมีแนวโน้มขึ้นๆ ลงๆ ดังนั้นในช่วงเวลานี้จะต้องระมัดระวัง ไม่เหมือนกับช่วงเปิดตัวแรกๆ ที่เศรษฐกิจยังดีอยู่

บิส โฟกัส : งบประมาณในการลงทุนแต่ละสาขา

เจ๊ง้อ :  10  ล้านบาท/สาขา เพราะต้องลงทุนเกือบทั้งหมด อาทิ ครัว ถ้วยชาม  เสื้อผ้าพนักงาน เป็นต้น เพราะอยากให้สิ่งที่ลงทุนทุกอย่างออกมาดี ลูกค้าเห็นแล้วสบายตาและสบายใจและทำให้ภาพลักษณ์ของครัวเจ๊ง้อดีตามไปด้วย

บิส โฟกัส : จุดเด่นของครัวเจ๊ง๊อรวมถึงการบริการ

เจ๊ง้อ :  จุดเด่นคือรสชาติอาหาร เรามีเมนูที่ลูกค้ายอมรับว่าอร่อย เช่น เส้นหมี่ผัดกระเฉด ปูผัดพริกไทยดำ เป็นต้น  ซึ่งราคาก็ไม่แพงมาก เราก็พยายามทำให้ลูกค้าประทับใจในเรื่องอาหารและการบริการที่ดีกลับไปให้มากที่สุด เราอยากให้ลูกค้าที่มารับประทานอาหารยิ้มกลับไปเมื่อมารับประทานอาหารครัวเจ๊ง้อ

บิส โฟกัส : พนักงานประจำของครัวเจ๊ง๊อมีประมาณกี่คน

เจ๊ง้อ :  ขึ้นอยู่กับพื้นที่ทำเลด้วย ถ้าสาขาใหญ่ พนักงานก็จะมากด้วยเช่นกันแต่ถ้าเป็นตึกแถวจะมีประมาณกว่า 20 คน เฉลี่ยแล้วรวมทุกสาขามีพนักงานประจำประมาณ 100 คน  มีทั้งฟูลไทม์และพาร์ทไทม์ ด้านการทำงานจะใช้หลักกการทำงานเหมือนพี่เหมือนน้อง ไม่คิดว่าเป็นลูกจ้าง ถ้าเราเลี้ยงเขาดี เขาก็จะดีกับเรา ร่วมงานกันด้วยใจ เข้าใจกัน เราซื้อใจกันด้วยใจมากกว่าเงิน

บิส โฟกัส : ภาพรวมของธุรกิจอาหารในปี 2556 นี้

เจ๊ง้อ :  ธุรกิจร้านอาหารมีความไม่แน่นอนทั้งค่าใช้จ่าย ราคาค่าครองชีพ เราต้องอดทน พยายามอย่าให้ขาดทุน เพราะไม่รู้นะว่าราคาของจะขึ้นเมื่อใด อย่างเช่นในปัจจุบัน ค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มเป็น 300 ไม่ว่าจะทำงานเป็นหรือไม่เป็นก็ตาม แต่เราก็พยายามไม่ให้ให้ขาดทุนให้พอทรงตัวอยู่ได้ ส่วนคู่แข่ง ตนมองว่าไม่ได้แข่งขันกันดุเดือดและในปีนี้มีต่างชาติเข้ามาเยอะ ส่งผลทำให้ธุรกิจอาหารในประเทศดีขึ้นตามด้วย

บิส โฟกัส : มีทัวร์ชาวต่างชาติมาลงมากไหม

 เจ๊ง้อ :  ค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นทัวร์เอเชียหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง  ญี่ปุ่น สิงคโปร์  เป็นต้น และตั้งแต่ช่วงต้นปี 2556 จะมากันเยอะ เพราะมีเทศกาลทั้งปีใหม่ไทยและตรุษจีน

บิส โฟกัส : รายละเอียดโรงเรียนสอนทำอาหาร

เจ๊ง้อ :  ปัจจุบันเราเปิดโรงเรียนทำอาหารของครัวเจ๊ง๊อทุกเมนู ตั้งอยู่ที่สี่พระยา ตรงข้ามกับครัวเจ๊ง๊อสาขาหนึ่ง มีนักเรียนทั้งชาวไทยและต่างชาติ และในช่วงนี้ชาวต่างชาติมาเรียนเป็นส่วนใหญ่ เช่น อังกฤษ อเมริกา เป็นต้น  ถ้าเป็นคนไทยก็มักจะเป็นคุณหญิง คุณนาย โดยคอร์ทหนึ่งสอนทำอาหาร 4-5 เมนูในราคา 9,000 บาท ในปีนี้มีนักเรียนมาเรียนราวๆ 50-60 คน แต่ยังไม่นับว่าเยอะมาก ส่วนการสอนชาวต่างชาติเรามีพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ รวมทั้งแปลหนังสือออกมาจำหน่ายด้วย

        ด้านกระแสตอบรับนับว่าดีต่อเนื่องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพราะขณะนี้มีนักเรียนไม่มาก แต่เราทำแล้วมีความสุข ยังไม่ได้พูดถึงกำไร เราก็อายุ 75 แล้ว เราจะเก็บความรู้นี้ไว้ทำไม คิดว่าเปิดโรงเรียนสอนให้นักเรียนไปทำมาหากิน ซึ่งเป็นคอร์ทระยะสั้นสอนเสร็จภายในวันเดียว บางครั้งครึ่งวันก็จบแล้วแต่ก็ไม่ได้มีทุกวัน ขึ้นอยู่กับนักเรียนว่าสะดวกวันใหนส่วนมากจะเป็นวันเสาร์และอาทิตย์

     ซิมโฟนี่  อัดงบ 600 ลบ. เร่งสปีดเพิ่มโครงข่ายทั่วประเทศรับปีมะเส็ง

        ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น ทุ่มงบ 600 ลบ. เพิ่มการลงทุนปี 2556  เสริมแกร่งองค์กรเร่งขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่การบริการ เล็งเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ในทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่อง

        คุณกรัณย์พล   อัศวสุวรรณ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) ดำเนินกิจการเป็นผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สองประเภทมีโครงข่ายเป็นของตนเอง จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ภายใต้แบรนด์ “SYMPHONY” เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในปี 2556 ว่าจะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนของบริษัทให้มีขอบเขตกว้างมากยิ่งขึ้นรองรับการเติบโตของบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับการบริการที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้านอย่างเต็มที่

         โดยแบ่งการลงทุนเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1.ใช้งบประมาณในการดำเนินการ 300 ล้านบาท สำหรับการขยายโครงข่ายให้มีความพร้อมในการรองรับลูกค้าในต่างจังหวัด นอกเหนือจากจังหวัดหลักๆ ที่บริษัทให้การบริการอยู่แล้วเพื่อให้การบริการครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต 2.งบลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท สำหรับการบริการลูกค้าเพื่อเป็นการรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามแผนการขยายพื้นที่ให้บริการของเรา

       คุณกรัณย์พลกล่าวต่อถึงแผนระยะยาวที่บริษัทวางไว้ว่าบริษัทจะไม่ได้ดำเนินการขยายตลาดแค่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่บริษัทมีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนซึ่งประกอบด้วยหลายประเทศ อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศพื้นที่เป้าหมายของบริษัท เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในด้านการสื่อสารรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 3 ปีข้างหน้า

       “การเปิดประเทศของพม่าทำให้มีการตื่นตัวค่อนข้างมาก ทุกคนก็อยากจะไปลงทุนที่ประเทศพม่าเพราะเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งเปิด ซึ่งประเทศสิงคโปร์และประเทศมาเลเซียก็อยากจะไปลงทุนที่ประเทศพม่าเช่นเดียวกัน  แต่ในด้านการสื่อสารจะต้องผ่านประเทศไทย ดังนั้นเราจะเป็นตัวกลางในการดำเนินการ แต่ก็เป็นแผนระยะยาวของเรา รวมทั้งจะต้องได้รับความร่วมมือที่ดีจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยจึงจะดำเนินการไปอย่างราบรื่นเพื่อทำให้โครงข่ายมีความพร้อมในการติดต่อการค้าในภูมิภาคนี้” คุณกรัณย์พลกล่าว

        ด้านเป้าผลประกอบการคุณกรัณย์พลกล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ยเพิ่มปีละ 15% ทุกๆ ปี และคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  เนื่องจากมีกลยุทธ์รองรับเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายคือการขยายพื้นที่บริการลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ให้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้สามารถทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายและเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต

        ส่วนจุดเด่นของบริษัทคือเรื่องการให้บริการ ซึ่งบริษัทจะเน้นคุณภาพการบริการของบุคลากร โดยจะมีการอบรมพนักงานเป็นอย่างดี โดยจะมีการทดสอบเรื่อง Service Mind ก่อนมาสมัครงานและจะต้องผ่านการทดสอบก่อน บริษัทจึงจะรับเข้าทำงาน เนื่องจากเราต้องการให้ลูกค้าประทับใจในทุกครั้งที่มาติดต่อกับบริษัท รวมทั้งต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างรวดเร็วและผลงานออกมาอย่างมีประสิทธิผลและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

        คุณกรัณย์พลกล่าวต่อถึงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ว่าบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมไว้เป็นอย่างดี โดยได้มีการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่สามารถให้บริษัทได้เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้ 4 ประเทศประกอบด้วย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย พม่า และปัจจุบันบริษัทได้เชื่อมต่อการสื่อสารกับ กัมพูชา มาเลเซีย และลาว จะเหลือเพียงแค่ประเทศพม่าซึ่งมีแผนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปีนี้

        ด้านคุณภาพมาตรฐานบริษัทได้รับผลประเมินการสำรวจรายงานการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2555 ในระดับ “ดีเลิศ” (เพิ่มสูงจากผลการประเมินในปีที่แล้วในระดับ “ดีมาก”)และอยู่ใน Top Quartile ของกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าตลาด 3,000 – 9,999 ล้านบาท

        นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการประเมินคุณภาพการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2555 โดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ในระดับ “ดีเยี่ยม”

        สำหรับศักยภาพระดับประเทศในเวทีโลกบริษัทได้รับรางวัล “MEF Award”  ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจอีกหนึ่งก้าวที่บริษัทได้รับ ถือเป็นสิ่งที่รับประกันความน่าเชื่อถือและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า ลูกค้า ผู้ถือหุ้นและผู้ใช้บริการ โดยเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมประกวด MEF Carrier Ethernet Service Provider of The Year (APAC) และได้รับคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายมาเป็นเวลา 4 ปีซ้อน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทเป็นผู้ให้บริการ Ethernet ที่มีศักยภาพสามารถเทียบชั้นกับผู้ให้บริการรายอื่นๆ ในระดับโลกได้

        ทั้งนี้รางวัลที่ได้รับจากที่ผ่านมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งในความสำเร็จที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพและศักยภาพที่บริษัทพร้อมจะเป็นผู้นำในหารให้บริการ รวมทั้งยังเป็นรากฐานที่มั่นคงซึ่งช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการบริการระดับพรีเมี่ยมเพื่อพัฒนาคุณภาพของการบริการให้ดียิ่งขึ้นไปในอนาคต

ส.ขอนแก่นฟู้ดส์  เสริมแกร่งแบรนด์

ออกสินค้าใหม่ขยายตลาด ดันยอดขายโต 15%

        ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ เผยแผนธุรกิจปี 2556  ชูกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง กลุ่มอาหารขบเคี้ยว และร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ‘แซบ เอ็กซ์เพรส’ เป็นพระเอกลุยตลาด รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ พร้อมรุกปั้นแบรนด์ขนมไทยภายใต้ชื่อ “ทวีต” และ “ข้าวขาหมูยูนนาน” เล็งเพิ่มศักยภาพด้านการทำตลาดหนุนยอดขายปีนี้โต 15%

        คุณเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์  จำกัด(มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกร เปิดเผยแผนดำเนินธุรกิจและวิสัยทัศน์ปี 2013 ว่า ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จะชูกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยว และร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ภายใต้ชื่อ ‘แซบ เอ็กซ์เพรส’ เป็นหัวหอกในการผลักดันธุรกิจในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ และสอดรับกับวิสัยทัศน์ ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อหมูและอาหารทะเลแปรรูป เพื่อต่อยอดไปสู่การสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโดยรวม

        สำหรับแผนการทำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งนั้น บริษัทมีแผนพัฒนาสินค้าที่มีแบรนด์เป็นของตัวเองให้มากขึ้นจากเดิมที่เป็นรูปแบบการรับจ้างผลิตให้กับลูกค้า (OEM) โดยได้เปิดตัวแบรนด์ “ทวีต” (Tweet)  ซึ่งเป็นเมนูขนมไทย ได้แก่ บัวลอย ทับทิมกรอบ บัวลอยน้ำขิง ขณะเดียวกัน ยังได้เปิดร้านข้าวขาหมู ‘ยูนนาน’ ในฟู้ดส์คอร์ท ตามห้างสรรพสินค้ารวมถึงเปิดเป็นร้านสแตนด์ อโลนในสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับการเสนอพื้นที่ให้เปิดจำหน่ายแล้วประมาณ 40 แห่ง  นอกจากนี้ยังขยายจุดจำหน่ายไปยังลูกค้าโรงแรม ภัตตาคาร และกลุ่มจัดเลี้ยง หรือ HoReCa ซึ่งเป็นตลาดที่มีการขยายตัวสูงอีกด้วย โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างแน่นอน

        คุณเจริญกล่าวต่อว่าสำหรับกลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ภายใต้ร้าน ‘แซบ เอ็กซ์เพรส’ สามารถทำยอดขายเติบโตมากกว่าเท่าตัวในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการที่จำนวนลูกค้าและยอดค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อคนเพิ่มขึ้นจาก 150 บาท/คน/ครั้ง เป็น 170 บาท/คน/ครั้ง  โดยปีนี้บริษัทจะพัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ พร้อมทั้งตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 12 สาขา จากเดิมที่มี 6 สาขา หลังจากได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ชื่นชอบรสชาติอาหาร โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทเตรียมเปิด “แซบ เอ็กซ์เพรส” สาขาใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าโซโห (โบ๊เบ๊ ทาวเวอร์) พร้อมกันนี้ยังจะเร่งวางระบบบริหารแฟรนไชส์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเติบโตในธุรกิจนี้อย่างยั่งยืน

        ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์ ‘อองเทร่’ และ ‘มูชิ’ ถือเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดเช่นกัน  เนื่องจากบริษัทนับเป็นผู้บุกเบิกตลาดผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวด้วยการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด  โดยใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกร มาต่อยอดพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวสินค้ารองรับกับความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดเพื่อผลักดันยอดขายสินค้าในกลุ่มนี้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

        “ยุทธศาสตร์ของ ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ ในปีนี้ เราจะตอกย้ำในการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวสินค้า โดยใช้ฐานการผลิตอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกรและอาหารทะเลแปรรูปที่มีศักยภาพ มาช่วยสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจและต่อยอดความสำเร็จให้กลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวและร้านอาหารบริการด่วนแซบ เอ็กซ์เพรส ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายและทำกำไรต่อหน่วยจากการขายสินค้าให้สูงขึ้นอีกด้วย” คุณเจริญกล่าว

        สำหรับสินค้าอาหารพื้นเมืองที่แปรรูปจากเนื้อสุกรและอาหารแปรรูปจากทะเลที่นำไปผลิตลูกชิ้นปลา คุณเจริญกล่าวว่าเป็นธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 80% จากยอดขายรวมนั้น บริษัท มีแผนที่จะผลักดันทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าวให้เติบโตสูงขึ้น โดยจะพัฒนาสินค้าใหม่ที่เน้นคุณค่าทางโภชนาการสูงเพื่อเจาะกลุ่มเด็กและกลุ่มคนรักสุขภาพและทำตลาดผ่านช่องทางขายร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านสะดวกซื้อและร้านโชห่วยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

        ด้านอาหารทะเลแปรรูปในกลุ่มลูกชิ้นปลาซึ่งในปีนี้บริษัทมีความพร้อมด้านการผลิตมากขึ้น หลังจากเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13,000 ตัน  โดยเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ภายในปีนี้และจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการขยายตลาดลูกชิ้นปลาทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทอยู่ระหว่างขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน (AEC) เช่น เวียดนาม กัมพูชา พม่า ลาว รวมทั้งประเทศในตะวันออกกลาง

        “ถึงแม้ว่าเราจะรุกตลาดผู้บริโภครุ่นใหม่ด้วยการผลักดันสินค้าที่รองรับกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ แต่ ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ ก็ยังมีความแข็งแกร่งด้านสินค้าอาหารพื้นเมืองและลูกชิ้นปลาที่เป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย ทำให้เราสามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ ซึ่งจากพื้นฐานของธุรกิจเดิมที่แข็งแกร่ง ผนวกกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่บริษัทเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงการขยายช่องทางการตลาดที่มีความหลากหลายเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายทำให้มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันยอดขายรวมปีนี้เติบโต 15% ได้ตามเป้าที่วางไว้” คุณเจริญกล่าว

Page Visitor

010443159
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
288
3285
6793
75551
159167
10443159
Your IP: 54.166.234.171
2024-03-19 02:26
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.