อิตัลไทย เทรวี่ตุน Backlog กว่า 1,800 ลบ.
อิตัลไทย เทรวี่โชว์ Backlog มูลค่ากว่า 1,800 ลบ. คาดการณ์รายได้ปีนี้ 1,350 ลบ. มั่นใจปี 2563 งานล้นมือ ดันผลประกอบการพุ่ง 1,400 - 1,650 ลบ. พร้อมประกาศ 38 ปีแห่งความสำเร็จ ติดอันดับ 1 ใน 5 ธุรกิจฐานรากเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ในประเทศไทย
คุณเอกชัย พงษ์พัว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิตัลไทย เทรวี่ จำกัด
คุณเอกชัย พงษ์พัว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิตัลไทย เทรวี่ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้ หรือ Backlog มูลค่า 1,850 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากหลากหลายโครงการ อาทิ 1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงสัญญาที่ 3 หัวหมาก-คลองบ้านม้า โดยรับผิดชอบในส่วนงานใต้ดินเป็นหลัก เช่น งานเสาเข็มเจาะ และกำแพงกันดิน เป็นต้น ขณะนี้มีความคืบหน้ากว่า 80% โดยมีมูลค่างาน (เฉพาะค่าแรง) ประมาณ 780 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมส่งมอบงานให้แก่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ประมาณเดือนเมษายน 2563
2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โดยลักษณะงานประกอบด้วย งานเสาเข็มเจาะเหลี่ยม เสาเข็มเจาะกลม และงานปรับปรุงดิน มูลค่างาน (เฉพาะค่าแรง) ประมาณ 407 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้า 65% คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมส่งมอบงานให้แก่บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในเดือนมิถุนายน 2563
3. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง โดยรับผิดชอบดำเนินการบริเวณอุโมงค์ลอดใต้สะพาน ใกล้ๆ แยกพัฒนาการ มูลค่างาน (เฉพาะค่าแรง) ประมาณ 77 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าประมาณ 40% คาดจะแล้วเสร็จและพร้อมส่งมอบงานให้แก่บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในช่วงปลายปี 2563
4. โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-มาบกะเบา โดยบริษัทรับผิดชอบงาน 2 ส่วน ประกอบด้วย งานยูเทิร์น และงานทางยกระดับ มีมูลค่างานรวม (เฉพาะค่าแรง) ประมาณ 330 ล้านบาท โดยแล้วเสร็จเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา
ขณะที่ รายได้ในปี 2562 บริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 1,350 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มเฉลี่ย 8-15% ส่วนในปี 2563 คาดการณ์ว่ารายได้จะขยับเพิ่มเป็น 1,400-1,650 ล้านบาท โดยมีงานที่รอรับรู้รายได้หรือ Backlog ในปี 2563 เบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 1,125 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานที่รอประมูลอีกหลายโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้มีงานที่รอรับรู้รายได้หรือ Backlog เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการที่จะเริ่มดำเนินการในช่วงปลายปี 2562 และต่อเนื่องไปจนถึงในช่วงต้นปี 2563 อาทิ 1. โครงการทางยกระดับบนทางหลวง 35 สายธนบุรี-ปากท่อ (ถนนพระราม 2) ของกรมทางหลวง ช่วงสัญญาที่ 3 มูลค่า 227 ล้านบาท (เฉพาะค่าแรง) โดยปัจจุบันบริษัทได้เริ่มส่งเครื่องจักรเข้าไปในพื้นที่แล้ว
2. โครงการทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ช่วงสัญญาที่ 2 มูลค่าประมาณ 207 ล้านบาท (เฉพาะค่าแรง) คาดว่าประมาณปลายเดือนธันวาคม 2562 จะเริ่มดำเนินการได้ และ 3. โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา สัญญาที่ 4-5 บ้านโพ-พระแก้ว มูลค่า 625 ล้านบาท (เฉพาะค่าแรง) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2563
“ในปี 2563 คาดว่า งานเราล้นมืออย่างแน่นอน เนื่องจาก เรามีแนวโน้มที่จะได้รับงานอีกโครงการหนึ่งของรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ถึงแม้ว่างานจะล้นมือแต่เราก็ไม่กังวล เพราะจะมีการเชิญบริษัทพันธมิตรที่มีศักยภาพและมีคุณภาพเข้ามาร่วมทำงานด้วย” คุณเอกชัยกล่าว
คุณเอกชัย กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทดำเนินธุรกิจครบรอบ 38 ปี ซึ่งในช่วงแรกบริษัทมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ขยายเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 80 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของบริษัท ทั้งในแง่ของปริมาณงานและรายได้ต่อปี เนื่องจาก บริษัทมีการขยายทั้งเครื่องจักรและจำนวนบุคลากร
“ปัจจุบัน เรามีความพึงพอใจในการเติบโตของอิตัลไทย เทรวี่ในระดับหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้ต้องการที่จะเป็นที่ 1 ในธุรกิจ แต่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในโครงการที่ใหญ่ๆ ในหลายๆ โครงการ รวมทั้ง ต้องการให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของตลาด พร้อมทั้ง ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ที่ต้องปฏิบัติ ได้แก่ 1.ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง 2.ต้องเป็นที่รู้จักในตลาด และ 3.การดำเนินธุรกิจจะต้องมีกำไร” คุณเอกชัยกล่าว
ด้านจุดเด่นขององค์กรที่ทำให้ลูกค้าไว้วางใจและมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการคุณภาพต่างๆ มายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ประกอบด้วย บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และมีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศจากบริษัท เทรวี่ เอส.พี.เอ เข้ามาเป็นพันธมิตร ซึ่งจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องงานฐานรากโดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานที่ดี โดยมีบริษัทแม่ คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่มีความแข็งแกร่งในวงการรับเหมาก่อสร้างและได้ส่งมอบงานให้บริษัทดำเนินการมาอย่างเนื่อง
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน บริษัทยังติด 1 ใน 5 ของธุรกิจฐานรากเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย และได้ทำการพัฒนาปรับปรุงเครื่องจักรเป็นประจำ พร้อมทั้งขยายปริมาณเพิ่มเสมอมา ซึ่งในแต่ละปี บริษัทมีการลงทุนในเรื่องเครื่องจักรประมาณ 200-300 ล้าน จึงส่งผลให้สามารถรองรับงานได้มากขึ้น และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น