32 ปี “สแกน อินเตอร์” เดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
สแกน อินเตอร์ ประกาศศักยภาพความสำเร็จดำเนินธุรกิจครบรอบ 32 ปีแห่งคุณภาพ เดินหน้าก้าวสู่การเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจหลายด้าน พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปี 1,900 ลบ.
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน)
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทดำเนินธุรกิจครบรอบ 32 ปี โดยในระยะเริ่มแรก บริษัทดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมุ่งเน้นเฉพาะโครงการด้านพลังงานเท่านั้น อาทิ สร้างคลังเก็บน้ำมัน, สร้างสถานีบริการก๊าซและน้ำมัน เป็นต้น ต่อจากนั้นจึงได้ก่อตั้งสแกน อินเตอร์ เพื่อรับงานก่อสร้างโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันโดยเฉพาะ
ต่อมาบริษัทได้เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคของการเป็นผู้ผลิต โดยเริ่มจากการซื้อที่ดินเพื่อสร้างเป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับสถานี NGV อย่างครอบคลุม อาทิ โรงงานผลิตคอมเพรสเซอร์ โรงงานผลิตวาล์วสำหรับใช้กับคอมเพรสเซอร์ และโรงงานผลิตตู้จ่ายก๊าซ NGV เป็นต้น จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้เป็นผู้ก่อสร้างสถานี NGV ทั่วทั้งประเทศ จากนั้น เริ่มดำเนินธุรกิจไปสู่ยุคที่เป็นผู้รับสัมปทาน ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมก๊าซ NGV ถือว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก บริษัทจึงได้รับสัมปทานในการผลิตก๊าซ NGV ให้แก่ ปตท.ประมาณ 350,000 กิโลกรัมต่อวัน
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับพลังงานด้านอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อเป็นการสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องให้แก่องค์กร จากนั้นจึงได้เริ่มจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558
“ปัจจุบันสแกน อินเตอร์กำลังจะก้าวเข้าสู่จุดที่เราได้คาดหวังเอาไว้ คือ การเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำธุรกิจหลายด้าน ซึ่งสิ่งที่สะท้อนความยิ่งใหญ่แบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องของเรา โดยการมีธุรกิจครอบคลุมทางด้านก๊าซธรรมชาติ ทุกแขนงตามแนวคิดเรื่องความมั่นคงของธุรกิจ (Sustainable Business) ซึ่งเป็นการมองภาพการลงทุนที่ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปข้างหน้าและข้างหลังอย่างครบวงจร
นอกจากนี้ เรายังยึดมั่นในจุดยืนของบริษัทมาโดยตลอด โดยมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาดเป็นสำคัญ เพราะสามารถทำให้เราแข่งขันได้ ดังนั้น จึงไม่หยุดที่จะเดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต รวมถึง การเป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน” ดร.ฤทธีกล่าว
ดร.ฤทธี กล่าวต่อถึงภาพรวมการดำเนินงานในปี 2563 ว่า เนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในบางส่วน บริษัทจึงมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม (iCNG) และธุรกิจใหม่อย่าง iLNG นอกจากนั้น ยังเล็งเห็นโอกาสลงทุนในโครงการโซล่าร์รูฟ โดยได้จับมือกับพันธมิตร บริษัท สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ จำกัด หรือ SAP ซึ่งเน้นไปที่ธุรกิจโรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม และโรงพยาบาล เพื่อพัฒนาการผลิตพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
รวมถึง ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทได้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา มีกำลังการผลิตรวม 220 เมกะวัตต์ โดยได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ (COD) แล้วเป็นที่เรียบร้อย
ด้านธุรกิจยานยนต์บริษัทมีการวางแผนที่จะร่วมทุนกับประเทศจีนในการนำเข้ารถมินิบัส (Minibus) มาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อเป็นการขานรับนโยบายภาครัฐในการปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสาร มาเป็นรถมินิบัสเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงทำให้ประสบปัญหาในด้านการขนส่งหรือการนำเข้า ดังนั้นจึงส่งผลกระทบให้โครงการต้องเลื่อนออกไป คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง
ดร.ฤทธี กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปีอยู่ที่ 1,900 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันจะมาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 65%, ธุรกิจยานยนต์ 5%, ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 20% และธุรกิจโลจิสติกส์และอื่นๆ 10% แต่ในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายว่าผลประกอบการจะมีการปรับสัดส่วน เป็นดังนี้ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 30%, ธุรกิจยานยนต์ 30%, ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 30% และธุรกิจโลจิสติกส์และอื่นๆ 10%
