130 ปี สภากาชาดไทย องค์กรที่เป็นมากกว่าผู้บริการด้านโลหิต
สภากาชาดไทย ลุยแผนปี 2566 มุ่งเพิ่มศักยภาพด้านการรักษา เข้าถึงผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว พร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในศตวรรษที่ 21 ด้วยการดำเนินงานแบบ New Normal ตอกย้ำ 130 ปีการเป็นองค์กรแห่งการช่วยเหลือประชาชนและผู้ด้อยโอกาสให้มีสุขภาวะที่ดีตามหลักมนุษยธรรมด้วยจิตสาธารณะ
ดร.เตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทยเป็นองค์กรที่ก่อตั้งมานาน โดยจะครบรอบ 130 ปี ในวันที่ 26 เมษายน 2566 นี้ ที่ผ่านมาองค์กรสามารถยืนหยัดบนภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตามหลักมนุษยธรรม โดยจะเห็นภาพของกาชาดอยู่ในด่านหน้าในการเข้าถึงผู้ประสบภัย ผู้ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพราะมีหน่วยงานด้านต่างๆ ทั้งด้านการแพทย์ การบริจาคโลหิต ดวงตาและอวัยวะ การผลิตชีววัตถุ การบรรเทาทุกข์ เครือข่ายของเหล่ากาชาดและอาสาสมัครที่ครอบคลุมทุกจังหวัด ซึ่งทำการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน เมื่อต้องการความช่วยเหลือ
สำหรับแผนการดำเนินงานปีนี้ สภากาชาดไทยมีแผนการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถการเข้าถึงผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีแผนการบริหารองค์กรเพื่อให้มีความพร้อมในการปรับตัวแบบ New Normal ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และเข้ากับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยในส่วนของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เรามีการขยายบริการตามโครงการเพิ่มการบริการผู้ป่วยนอก (Extended OPD) เพื่อเพิ่มจำนวนผู้รับบริการ และเปิดคลินิกระบบบริการพิเศษที่อาคารนวัตบริบาล ขณะเดียวกันโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ก็มีแผนงานเปิดให้บริการอาคารศรีสวรินทิรานุสรณ์ 150 ปี เพื่อครอบคลุมบริการทุกด้านสำหรับประชาชนให้เต็มศักยภาพ พร้อมปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคอุบัติใหม่ แบบ One Stop Service ด้วย
ในด้านการจัดหาโลหิต สภากาชาดไทยได้มีการเพิ่มศักยภาพด้านความปลอดภัยของผู้ป่วยในการรับโลหิต เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาโรคทางพันธุกรรม และโรคทางโลหิตวิทยา เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือด ด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต โดยสภากาชาดไทยมีการรณรงค์จัดหาอาสาสมัครบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตได้แล้วถึง 250,000 ราย ทำให้มีจำนวนคนไทยได้รับการรักษาโรคมากขึ้น อันเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
นอกจากนี้ สภากาชาดไทยกำลังดำเนินการปรับปรุงศักยภาพทางการผลิตชีววัตถุที่โรงงานปัจจุบันของสถานเสาวภา และมีแผนเตรียมความพร้อมในโครงการสร้างโรงงานผลิตวัคซีนใหม่เพื่อขยายผลผลิต และสนับสนุนนวัตกรรมการผลิตวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า, อิมมูนบีซีจี (รักษามะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ) และ mRNA ใหม่ๆ รวมทั้งมีการรณรงค์การบริจาคอวัยวะและดวงตา โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลสมาชิกปรับปรุงกระบวนการทำงาน สรรหาคณะแพทย์เพื่อเดินทางไปผ่าตัด เพื่อลดระยะเวลาการรอคอยของผู้รับบริจาคอวัยวะและดวงตา ด้วยเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะให้มากขึ้น 20%
