“เมดิเซเลส” เปิดกลยุทธ์ธุรกิจปี 65 เดินหน้าเจาะตลาดความงามในไทย
บริษัท เมดิเซเลส จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ความงามจากเกาหลี เตรียมรับเทรนฟิลเลอร์มาแรง ส่ง Neuramis 2 ซีรี่ส์ ตีตลาดความงามในไทย ผู้บริหารเจนใหม่ คุณอารียา วูวงศ์ เผยกลยุทธ์หลักเน้นทำตลาดกับคนไข้ เสริมช่องทางออนไลน์ พร้อมชูวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ มั่นใจ! ปี 2565 โตได้ 100% ตามเป้า และครองที่ 1 มาร์เก็ตแชร์ด้านฟิลเลอร์ในประเทศต่อเนื่อง
คุณอารียา วูวงศ์ Chief Operating Officer บริษัท เมดิเซเลส จำกัด
คุณอารียา วูวงศ์ Chief Operating Officer บริษัท เมดิเซเลส จำกัด กล่าวว่า เมดิเซเลสก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 จากการร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซเลส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท Medytox Inc. ประเทศเกาหลีใต้ ผู้ผลิตฟิลเลอร์ และโบทูไลนุ่ม ท็อกซิน มาตรฐานสูงอันดับ 1 จากประเทศเกาหลี และอันดับ 3 ของโลก เพื่อนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Medytox แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งสินค้าหลักที่บริษัทนำเข้าจะเป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มบริสุทธิ์หรือฟิลเลอร์ ภายใต้แบรนด์นิวรามิส (Neuramis) ที่เป็นฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลีแบรนด์แรกในไทย และกลุ่มที่เกี่ยวกับความงามทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปรับรูปหน้า ลดไขมัน และอื่นๆ
สำหรับฟิลเลอร์นิวรามิส ก่อนหน้านี้บริษัทได้นำเข้ามาจำหน่ายอยู่แล้ว 1 ซีรี่ส์ และล่าสุดเมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวนำเข้าอีก 2 ซีรี่ส์ใหม่ ได้แก่ Neuramis DEEP Lidocaine และ Neuramis VOLUME Lidocaine เพื่อให้แพทย์และคนไข้มีตัวเลือกมากขึ้น สำหรับการปรับรูปหน้า เสริมเติมร่องลึกได้อย่างเหมาะสม ซึ่งทั้ง 2 ซีรี่ส์นี้จะพิเศษกว่าซีรี่ส์แรกตรงที่มียาชา ทำให้ลดอาการปวดจากการฉีดได้ดี แต่สิ่งต่างกันคือเนื้อไฮยาลูโรนิค แอซิด หรือ HA ที่มีความเข้มข้นต่างกัน ตัว Neuramis VOLUME จะมีความเข้มข้นมากกว่า เหมาะกับการฉีดที่ต้องการปริมาณเยอะ สำหรับผู้ที่มีแก้ม ขมับตอบมากๆ หรือมีร่องลึกบนใบหน้า ส่วน Neuramis DEEP Lidocaine จะเข้มข้นน้อยกว่า เหมาะกับการฉีดที่ไม่ใช้ปริมาณมาก อย่างบริเวณปาก หรือการเติมร่องเล็กน้อย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าคนไข้เหมาะฟิลเลอร์ซีรี่ส์ไหน
“การนำเข้าฟิลเลอร์ 2 ซีรี่ส์ใหม่ ต้องบอกเลยว่ากระแสตอบรับดีมากๆ ด้วยความต่างจากซีรี่ส์แรกตรงที่มียาชา และมีการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ทำให้ฉีดได้ง่าย เป็นธรรมชาติ เจ็บน้อยลง และอยู่ได้นาน ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในราคาที่จับต้องได้ เพราะเมื่อก่อนเราจะคิดว่าคนที่มีเงินหรือมีอายุเท่านั้น ที่จะเข้าถึงฟิลเลอร์ได้ แต่ตอนนี้ยุคมันเปลี่ยนไปแล้ว เด็กอายุ 18-19 ก็สามารถเข้าถึงฟิลเลอร์ได้แล้ว ฉะนั้นแนวทางที่เรายึดถือเลยคือคุณภาพ ความปลอดภัย และราคาที่จับต้องได้ ทุกคนเข้าถึงง่ายขึ้น นี่คือเป้าหมายของเรา อย่างไรก็ตาม บริษัทมีฐานลูกค้าครอบคลุมคลินิกความงามกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ โดยเราเป็นอันดับหนึ่งด้านฟิลเลอร์ของเมืองไทย ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 60% ของตลาด ซึ่งการที่เรานำเข้าฟิลเลอร์ 2 ซีรี่ส์เพิ่มในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถครองอันดับในตลาดต่อไปได้ แต่จะสามารถเติบโตขึ้นอย่างน้อย 100%” คุณอารียากล่าว
นอกเหนือจากการนำเข้าฟิลเลอร์หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ในปี 2565 นี้ แผนหลักๆ บริษัทจะมุ่งผลักดันในเรื่องการตลาดกับคนไข้ให้มากขึ้น เนื่องจากเมื่อก่อนเราทำการตลาดกับแพทย์ค่อนข้างเยอะ ทั้งการเวิร์คช็อป จัดสอนฉีดต่างๆ แต่ปีนี้ เราจะเน้นการตลาดในส่วนของกลุ่มคนไข้ โดยการให้ความรู้ในเรื่องการดูยาจริงยาปลอม จุดฉีดฟิลเลอร์ วิธีการเช็คแพทย์ว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่ เพื่อให้คนไข้มั่นใจและปลอดภัย รวมถึงเน้นทำการตลาดในส่วนของออนไลน์มากขึ้น อย่างเช่น การทำบทความต่างๆ เพื่อให้ความรู้ตามช่องทาง Website, Facebook, IG และ Line Official ที่คนไข้สามารถมาติดตามได้
สำหรับเป้าหมายการเติบโต คุณอารียา เผยว่า ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจจนถึงปัจจุบัน เราถือว่าบริษัทมีการเติบโตมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในปีนี้สิ่งหนึ่งที่บริษัทแพลนไว้คือทีมการตลาดของเราต้องแข็งแกร่งขึ้น และมีทีมการตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองกับ Growth ที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะฟิลเลอร์ที่มีเป้าหมายจะโต 100% ในปีนี้ จากเทรนฟิลเลอร์ที่กำลังมาแรง และอาจจะยาวไปอีก 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากเทรนมันเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มมีแนวคิดด้านความสวยในแบบที่เหมาะกับตัวเอง มากกว่าการที่ต้องมีใบหน้าเล็ก เรียววีแบบสาวเกาหลี โดยมาสนใจในเรื่องของใบหน้าดูสุขภาพดี อิ่มเอิบ ฉ่ำน้ำ ตามหลัก Golden Ratio หรือโหงวเฮ้ง ซึ่งฟิลเลอร์เป็นไฮยาลูโรนิค แอซิดโมเลกุลน้ำที่ตอบโจทย์ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี
ส่วนโปรดักต์อื่นๆ นอกจากฟิลเลอร์ เรายังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ฉีดเพื่อปรับรูปหน้า ลดไขมัน ภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า Sisi ที่เป็น Lipolytic Solution ช่วยเรื่องการปรับรูปหน้ากับร่างกาย ซึ่งแม้ตอนนี้ในตลาด ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะมีแบรนด์คู่แข่งค่อนข้างเยอะ แต่ในระยะเพียงแค่ 2 ปีหลังจากที่บริษัทได้นำ Sisi เข้ามา เราสามารถก้าวขึ้นมาครองอันดับ 3 จากส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทย ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าเป้าหมายต่อไปของเราคือต้องขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดให้ได้
ทั้งนี้ การเติบโตในภาพรวม เรามั่นใจว่าอุตสาหกรรมความงามยังเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี แม้ยังต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 หรือสถานการณ์อื่นๆ เนื่องจากเทรนด์ในปัจจุบันผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับตนเอง การดูแลตนเอง และให้ความมั่นใจกับตนเองมากขึ้น และหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยกับเรื่องการเสริมความงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำง่ายและเห็นผลเร็วที่สุด โดยจากนี้ไปอีก 5-10 ปี เรื่องของความงามยังสามารถไปต่อได้ดีแน่นอน
“อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา เราค่อนข้างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เพราะธุรกิจความงามเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ต้องปิดจากมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้เมดิเซเลสเราเติบโตได้เพียง 30% แต่ทั้งนี้ในวิกฤตก็ยังมีโอกาส เนื่องจากเราได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อก่อนคนที่มีรายได้มากหน่อย เขาจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์อเมริกา ยุโรป ที่ราคาสูง พอมีโควิดทุกคนได้รับผลกระทบ รายได้ก็ลดลง ในขณะที่ความสวยมันหยุดไม่ได้ ก็ทำให้คนเปิดใจให้แบรนด์เกาหลีมากขึ้น ด้วยราคาที่จับต้องได้และคุณภาพไม่ต่างจากของอเมริกา ซึ่งเมื่อคนไข้ใช้ของเรามากขึ้น สิ่งที่เราได้รับคือความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย เพราะเราไม่เจอเอฟเฟกต์หรือผลกระทบอะไรเลย คนไข้ก็เชื่อมั่นมากขึ้น กระแสตอบรับต่างๆ ก็ดีขึ้น” คุณอารียากล่าว
คุณอารียา กล่าวถึงความแข็งแกร่งของบริษัทด้วยว่า เมดิเซเลสถือเป็น Top 3 ของกลุ่มอุตสาหกรรมความงามในด้านของฟิลเลอร์และโบทูไลนุม ท็อกซิน ซึ่งหากนับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจก่อนจะมีการ Joint Venture กับ Medytox เราอยู่ในวงการนี้มาแล้วเกือบ 20 ปี ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทล้วนมีความสามารถ และมีเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในด้านการคิดค้นและผลิตยาโดยตรง เพราะฉะนั้นโปรดมั่นใจได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนำเข้ามีความปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดี อีกทั้งเรายังมีทีมผู้แทนยาที่แข็งแกร่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งทุกคนผ่านการอบรมมาอย่างเข้มข้น ในเรื่องความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ วิธีการแนะนำคนไข้หรือแพทย์
คุณอารียา วูวงศ์ Chief Operating Officer (ซ้าย) คุณวิภารัตน์ วูวงศ์ Chief Executive Officer (CEO) (ขวา) บริษัท เมดิเซเลส จำกัด
สำหรับการดำเนินงานภายในบริษัท พนักงานของเราจะทำงานร่วมกันระหว่าง 2 เจเนอเรชั่น ซึ่งจะมีทั้งเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นเภสัชกร นักวิทยาศาสตร์ และคนที่เก่งเรื่องการตลาดออนไลน์ ซึ่งเด็กเจเนอเรชั่นนี้มักจะมีแนวคิดใหม่ๆ รวมทั้งสามารถตีโจทย์ให้คนไข้เข้าใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากขึ้น และเมื่อมาคอมบายรวมกับคนอีกเจเนอเรชั่นหนึ่งที่สามารถให้คำแนะนำจากประสบการณ์การทำงานต่างๆ ที่ผ่านมา ก็ทำให้เมดิเซเลส เราสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดความงามของประเทศไทย
“เมดิเซเลส เราทำงานกันแบบ Discussion โดยรับฟังความคิดเห็นของทุกคนทุกฝ่าย ไม่ได้ทำงานกันแบบ Top Down ที่ผู้บริหารต้องสั่งให้คนในองค์กรทำ แต่ทุกอาทิตย์เราจะมีการประชุมให้ผู้บริหาร และพนักงานมาพูดคุยกัน เพราะเราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ไม่ใช่รุ่นที่เราต้องสั่งให้เขาทำ แต่ต้องเป็นการให้เกิดการพัฒนา และกล้าออกความคิดเห็นด้วย เราก็ยอมรับว่าบางโปรเจกต์อาจจะไม่ประสบผลเท่าที่ควร แต่ทุกอย่างถือเป็นการเรียนรู้ ฉะนั้นการทำงานของบริษัทจะเปิดรับความคิดเห็นเป็นหลัก การทำงานกับคนรุ่นใหม่มันต้องมีการ Discussion ถึงจะได้งานที่ดีออกมา และนอกจากนี้เราไม่ได้ให้พนักงานคนหนึ่งทำงานอย่างเดียว แต่เขาสามารถทำงานได้หลายอย่าง เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าได้พัฒนาตัวเองในหลายๆ มุม และได้ค้นพบตัวเอง ถ้าเขารู้สึกชอบและทำได้ดีในด้านไหน เราค่อยพุชเขาไปตรงนั้น เราจะไม่ปิดกันเลย และพยายามให้โอกาสพนักงานทุกคนในการที่ Rotate งานข้างในได้ตามความสนใจ ทุกคนก็เปิดใจมากกับการทำงานแบบมิกซ์จ็อบ” คุณอารียากล่าว