กิฟต์แมนูแฟคตอรี่ อ้าแขนรับการเติบโตต่อเนื่อง มั่นใจธุรกิจสดใส ไม่มี Downtrend
กิฟต์แมนูแฟคตอรี่ ผู้นำธุรกิจจัดจำหน่ายของพรีเมี่ยมสำหรับลูกค้าองค์กร เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม พร้อมชู 4 Core Value สร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจ Branding, Design, Quality และ Service ปีนี้ลุยดันของพรีเมี่ยมรักษ์โลกตอบโจทย์เทรนด์ ESG พร้อมสนองความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง เชื่อ! ด้วยคุณภาพที่ดี ดีไซน์ที่สวยงาม ทันสมัย รักษ์โลก และใช้งานได้จริง จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับและส่งเสริมการรับรู้แบรนด์ของลูกค้าอย่างมีอิมแพคและยั่งยืน
คุณกิตติธัช อติยุทธกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟต์แมนูแฟคตอรี่ จำกัด
คุณกิตติธัช อติยุทธกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟต์แมนูแฟคตอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 บริษัทจะเน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ยังเข้าไม่ถึง ด้วยการสร้างการรับรู้ทางผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ไม่ว่าจะเป็น โปรโมทผ่านเว็บไซต์ การลงแอดโฆษณาในสื่อโซเชียล รวมไปถึงการหามองหาตลาดหรือคนที่เข้ากับเรา โดยบริษัทจะมีทีมงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการตลาด เข้าไปช่วยแนะนำสินค้าพรีเมี่ยมที่ตอบโจทย์การทำการตลาดของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ด้วยความที่เราให้ความสำคัญกับเรื่องของแบรนด์ ตอนเราเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทใหม่ ก็ต้องทำกับตัวเองด้วย ทั้งรูปแบบ ฟอนต์ หรือสีที่เราจะใช้ในทุกช่องทางการโฆษณาต่างๆ จะต้องมีสีอะไรบ้าง มีรหัสแพนโทนอะไร ทุกอย่าง ทุกช่องทางจะต้องเหมือนกันทั้งหมด เวลาลูกค้าเข้ามาเขาจะได้รู้สึกว่า บริษัทนี้เข้าใจเรื่อง Branding จริงๆ ส่วนในเรื่องของการโฆษณา เราก็มีการลงโปรโมทผ่านช่องทางอย่างยูทูบ โดยนำเสนอในเรื่องของเพนพอยต์ที่เราคิดว่าสำคัญ ทั้งไอเดีย หรือผลงานที่ผ่านมาของเรา ของที่ดูทันสมัย ตามเทรนด์ เราก็ลงทั้งในเว็บไซต์ของบริษัทเองและแอดโฆษณา” คุณกิตติธัชกล่าว
ขณะเดียวกันการดูแลฐานลูกค้าเก่าที่มีอยู่ให้ไว้วางใจในบริการ เพื่อกลับมาใช้ซ้ำทุกปี ก็เป็นเรื่องที่สำคัญและต้องมุ่งเน้นควบคู่กันไปกับการขยายฐานลูกค้า โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับ Core Value 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. Branding เพราะบริษัทเข้าใจดีว่าเรื่อง Corporate Identity หรือ CI เป็นสิ่งสำคัญของแต่ละองค์กร เราจึงมีทีมงานที่มีความรู้ ความเข้าใจด้านการตลาด เพื่อช่วยแนะนำของพรีเมี่ยมที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการตลาดของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Design แน่นอนว่าการทำของพรีเมี่ยม เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับได้นั้น การออกแบบต้องพิเศษ สวยงาม การจัดวางแพทเทิร์น โลโก้ สี ฟอนต์ อาร์ทเวิร์ก ต้องถูกต้องสวยงาม ซึ่งในแง่ของการออกแบบ บริษัทก็มีทีมบริการด้านดีไซน์ เพื่อช่วยให้สินค้ามีความโดดเด่น ทันสมัย มีสไตล์ และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับได้อย่างแท้จริง 3. Quality ไม่เพียงแค่ดีไซน์สวยเท่านั้น แต่คุณภาพของสินค้าต้องดี สามารถใช้งานได้จริง ที่ผ่านมาบริษัทมีนโยบายการตรวจเช็ค QC คุณภาพสินค้าพรีเมี่ยมอย่างเข้มงวดทุกชิ้นก่อนจัดส่งถึงมือลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด
และ 4. Service เรามีการบริการอย่างมืออาชีพ พร้อมให้คำแนะนำและความช่วยเหลือตั้งแต่การนำเสนอสินค้าพรีเมี่ยมไปจนถึงบริการหลังการขาย เพราะบริษัทเราทำธุรกิจแบบ B2B เป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นเวลาที่ต้องนำเสนอ หรือทำความเข้าใจต่างๆ ในกระบวนการผลิต ความเป็นมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้บริษัทเข้าใจดีว่าการสร้างความประทับใจระหว่างองค์กรกับลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญ และของพรีเมี่ยมที่ทันสมัย ดีไซน์โดดเด่นแตกต่าง ดูดี และมีคุณภาพ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร และทำให้แบรนด์ของลูกค้าเป็นที่น่าจดจำ
สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ คุณกิตติธัช กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะเน้นการคัดเลือกสินค้าที่ตรงกับเมกะเทรนด์ที่องค์กรต่างๆ ให้ความสนใจ เช่น ของพรีเมี่ยมใหม่ๆ ที่ดีไซน์สวยงาม ทันสมัย รักษ์โลก ตอบโจทย์เรื่อง ESG ใช้งานได้จริง สร้างความประทับให้แก่ผู้รับ และส่งเสริมการรับรู้แบรนด์ของลูกค้าอย่างมีอิมแพคและยั่งยืน โดยในแง่ของรายได้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 60-70 ล้านบาท มากกว่าเป้าหมายปีที่ 2566 ที่มีรายได้ 50 ล้านบาท ซึ่งคงต้องรอดูช่วงปลายปีอีกที ว่าจะเป็นไปตามที่บริษัทวางไว้หรือไม่ เนื่องจากปลายปี ช่วงไตรมาสสุดท้ายเป็นช่วงที่พีคที่สุดของปี
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเทรนด์ตลาดในปัจจุบัน หลายองค์กร หรือคนทั่วไปกำลังให้ความสนใจไปที่เรื่องการรักษ์โลก หรือการปฏิบัติตามหลัก ESG ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเมกะเทรนด์ที่องค์กรต่างๆ ให้ความสนใจเท่านั้น แต่ยังถือเป็นความรับผิดชอบที่บริษัทไม่ควรมองข้าม ดังนั้นในปีนี้ เราจึงอยากมุ่งเน้นนำเสนอของพรีเมี่ยมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเน้นสินค้าที่มาจากการรีไซเคิลให้มากขึ้น อาทิ กระเป๋าผ้า RPET กระเป๋า Tarpaulin (วัสดุเดียวกับผ้าใบคลุมรถบรรทุก) เสื้อ และสมุดโน๊ตที่ทำจากจุกคอร์กปิดขวดไวน์ หรือสินค้าที่มาจากวัสดุรีไซเคิล วัสดุใช้ซ้ำ โดยยึดมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมระดับโลก เช่น FSC, Rainforest Alliance, REACH และ GMP บริษัทเชื่อว่านอกจากของพรีเมี่ยมรักษ์โลกเหล่านี้ จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมให้กับแบรนด์แล้ว ยังช่วยสนับสนุนความยั่งยืนในสายตาของผู้บริโภคอีกด้วย
ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ประกอบไปด้วย องค์กรขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมไปถึงองค์กรต่างชาติที่เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศไทยด้วย ซึ่งโดยปกติองค์กรที่ให้ความสำคัญเรื่องการทำ Branding มักต้องการที่จะใช้ของพรีเมี่ยมเป็นตัวช่วยผลักดัน เพื่อทำให้ Campaign การตลาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แม้ในปัจจุบัน Digital Marketing จะเป็นเรื่องที่หลายคนกำลังให้ความสนใจ แต่ของพรีเมี่ยมที่สามารถจับต้องได้ก็ยังคงเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการส่งเสริมการขาย, สร้าง Brand Loyalty, Brand Awareness, Brand Love และยังช่วยโปรโมทให้ลูกค้า Associate กับแบรนด์เวลาที่นำไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันด้วย
“อุตสาหกรรมของพรีเมี่ยมในปัจจุบัน แน่นอนว่ายังมีลูกค้าหรือสถานประกอบการที่ยังไม่รู้ว่า เขาสามารถทำการตลาดผ่านสินค้าของพรีเมี่ยมได้ และมันให้อะไรมากกว่าที่เขาคิด มากกว่าคิดในที่นี้ คือสามารถสร้างอิมแพค มากกว่าแค่การทำของแจก โดยเฉพาะบริษัทที่เป็น Traditional ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก บวกกับช่วงนี้เรื่องของดิจิทัลกำลังมาแรง หลายๆ บริษัทเขาก็คิดว่าแทนที่จะเอางบการตลาดมาทำของพวกนี้ อาจจะเอาไปโปรโมทในช่องทางดิจิทัลมากกว่า แต่ผมมองอีกด้าน คือคนสมัยนี้ชินกับช่องทางดิจิทัลไปแล้ว ฉะนั้นการที่เขาได้รับของที่จับต้องได้จริงอาจจะทำให้ผู้รับรู้สึกดีกว่า ประทับใจกว่า ส่วนตัวมองว่าของพรีเมี่ยมเหล่านี้สามารถสร้างอิมแพคให้กับองค์กรได้ดี” คุณกิตติธัชกล่าว
คุณกิตติธัช กล่าวต่อถึงปัจจัยลบและปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทด้วยว่า กิฟต์แมนูแฟคตอรี่เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ Covid-19 ได้เริ่มต้นขึ้น แน่นอนว่าช่วง Covid-19 ทุกบริษัทได้รับผลกระทบกันหมด แต่เนื่องจากบริษัทเราค่อนข้างที่จะ Asset-light จึงสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าอาจจะมีช่วงที่ยากบ้าง แต่เราสามารถผ่านพ้น และยังคงการเติบโตของบริษัทได้
ขณะที่ปัจจัยบวกในการทำธุรกิจ คงเป็นเรื่องการที่ Demand ของสินค้าของพรีเมี่ยมยังมีอยู่เรื่อยๆ ทุกปี ไม่ได้เป็นธุรกิจที่มี Downtrend หรือที่กำลังจะตกยุค ทำให้เราสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทุกปี บวกกับปีหลังๆ ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย คนทั่วไปกลับมาใช้จ่ายอย่างเป็นปรกติมากขึ้น ทำให้องค์กรต่างๆ หันกลับมาให้ความสนใจในการใช้ของพรีเมี่ยม เพื่อการกระตุ้นกำลังซื้อในวงกว้าง และไม่ได้รัดเข็มขัดมากเหมือนในช่วงยุค Covid-19 อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐสามารถช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนธุรกิจ SME ที่ตรงโจทย์ เช่นการส่งเสริมการลงทุน การหา Talent ใหม่ๆ, การพัฒนาแรงงานในประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น, การช่วยให้กระบวนการดำเนินการกับหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ มีความยืดหยุ่นปรับตัวตามสถานการณ์จริงมากขึ้น ไม่เข้มงวดเกินไปจนทำให้ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ก็จะเป็นอีกปัจจัยบวกหนึ่งที่สามารถสร้างการเติบโต และพัฒนาธุรกิจซึ่งไม่ใช่แค่กิฟต์แมนูแฟคตอรี่ แต่รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ให้ดำเนินต่อไปได้
คุณกิตติธัช กล่าวว่า หลักการบริหารงานที่จะส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จ คือเราต้องมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ เพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูง พร้อมกับให้ความสำคัญในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ใส่ใจเรื่องคุณภาพและการบริการ ใส่ใจในการคัดเลือกสินค้าใหม่ๆ ที่มีความทันสมัย รวมถึงการทำ Branding บริษัทให้เหมาะกับ Positioning ที่ทางบริษัทต้องการเป็น เพื่อให้ Match กับกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมกับเรา
“จุดเด่นของกิฟต์แมนูแฟคตอรี่ ที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ คือเรื่องความน่าเชื่อถือ, รายการสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า, การออกแบบลวดลายบนสินค้าให้ตรงกับ Corporate Identity/Branding ของลูกค้า, การบริการที่ Professional รวดเร็วทันใจ, สินค้า มีคุณภาพสูง ใช้งานได้จริง ทำให้ผู้รับประทับใจ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เรารักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้ และจะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าให้เราได้ด้วยเช่นเดียวกัน” คุณกิตติธัช กล่าวทิ้งท้าย
