“อาร์เอส” กางแผนงานปี 67 เดินหน้าต่อยอดธุรกิจเต็มร้อย
อาร์เอสเผยแผนการดำเนินงานปี 2567 มุ่งต่อยอดภาพรวมธุรกิจ 3 ด้านหลัก เพิ่มการออกแบบ และติดตั้ง มุ่งสู่การเป็น One Stop Service, เพิ่มศักยภาพสินค้า สต็อกในไทย และสร้างแบรนด์ RS Pro ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสินค้าคุณภาพ ในราคาย่อมเยา บวกตั้งเป้าการเติบโตปีนี้ที่ 2 Digit พร้อมชูจุดเด่นทักษะของพนักงานที่พร้อมตอบโจทย์ความหลากหลายของลูกค้า บวกตอกย้ำผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซที่อยู่ในตลาดมาเป็นเวลานานถึง 19 ปี การันตีความไว้วางใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
คุณกัญทร โพธิ์กลัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส คอมโพเน็นส์ จำกัด
คุณกัญทร โพธิ์กลัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส คอมโพเน็นส์ จำกัด กล่าวถึงแผนการดำเนินงานปี 2567 ว่า อาร์เอสมุ่งเน้นต่อยอดภาพรวมของธุรกิจใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. เพิ่มการออกแบบ และติดตั้งในกลุ่มสินค้าบางประเภท จากเดิมที่เน้นจำหน่ายเพียงอย่างเดียว โดยจะเพิ่มการบริการมากยิ่งขึ้น และได้ร่วมกับบริษัท ดอมนิค (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นบริษัทลูกของอาร์เอส ซึ่งมีทั้งทีม Service และทีม Project จึงทำให้อาร์เอสสามารถขยายศักยภาพในส่วนนี้ได้ พร้อมมุ่งสู่การเป็น One Stop Service เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม
2. เพิ่มศักยภาพสินค้า เนื่องจากสินค้าทุกประเภทของอาร์เอสจะนำเข้าทั้งหมด 100% แต่ปัจจุบันอาร์เอสได้เริ่มสต็อกสินค้าบางส่วนในประเทศไทย เพื่อชูโรงเรื่อง Fast Delivery สามารถจัดส่งให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 1-2 วัน ขณะที่ การนำเข้าสินค้าอาจจะใช้เวลา 4-6 วัน โดยจะเลือกจากกลุ่มสินค้าที่ขายดี มีคนใช้จำนวนมาก โดยได้มีการทำงานกับลูกค้าบางกลุ่มที่ต้องสต็อกสินค้าไว้ให้เป็นประจำ ส่วนนี้จะช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องไปสต็อกสินค้าเอง เพราะอาร์เอสมีให้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาสามารถนำส่งให้ได้ตามที่ต้องการ
3. สร้างแบรนด์ “RS PRO” โดยเป็นกลุ่มสินค้าแบรนด์ของบริษัทเอง ซึ่งอาร์เอสเป็นบริษัทมาจากประเทศอังกฤษ ดังนั้นสินค้าต่างๆ รับประกันคุณภาพอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในด้านการผลิตบริษัทจะใช้โรงงานผลิตจากประเทศใกล้เคียง เช่น ประเทศไต้หวันซึ่งเป็นในรูปแบบ OEM โดยคุณภาพของสินค้าจะผ่านการ QA (Quality Assurance) จากบริษัทแม่
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลด Cost ในการผลิต เพราะสินค้าแบรนด์ RS PRO จำหน่ายในราคาถูกกว่าสินค้าทั่วไปประมาณ 30% ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้จะเหมาะกับลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อน้อยแต่ต้องการได้สินค้าที่มีคุณภาพสูง โดยอาร์เอสได้นำเสนอเพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น อีกทั้ง สินค้ากลุ่มนี้จะมีเวลาการรับประกันค่อนข้างนาน เพื่อเป็นการการันตีคุณภาพของผลิตภัณฑ์
“เราเริ่มเปิด Warehouse ในประเทศไทยเป็นปีแรก ซึ่งก่อนหน้านั้นมีลูกค้าหลายรายที่เรียกร้องเข้ามาอยากให้เราเก็บสต็อกสินค้าให้ เนื่องจากเรามี System ที่คอยช่วยเหลือลูกค้าว่าเขาใช้งานสินค้าประเภทใดบ่อยที่สุด และลูกค้าจะแจ้งความต้องการเข้ามาว่าอยากเก็บสินค้าใดไว้บ้าง ดังนั้นการสต็อกสินค้าในประเทศไทยจึงได้รับผลตอบรับค่อนข้างเป็นไปในทิศทางที่ดี สำหรับแบรนด์ RS PRO เราจะมีกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่ากลุ่มพรีเมียร์ ซึ่งกลุ่มนี้เมื่อเราทำ Data ทำ Track Record ออกไป RS PRO จะเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่เขาลองซื้อไปใช้ เพราะทุกคนอยากรู้ว่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นยังไง ซึ่งเมื่อได้ซื้อและลองใช้แล้วก็จะเกิดการซื้อซ้ำ
ขณะที่ กลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ จะมีการส่งโปรโมชันหรือรายละเอียดต่างๆ ผ่านช่องทาง E-mail เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ขณะเดียวกัน ยังได้จัดอีเวนท์ต่างๆ โดยชูสินค้าแบรนด์ RS PRO ให้ลูกค้าได้มาลองสัมผัส ลองใช้ ซึ่งผลลัพธ์ของทั้ง 3 โปรเจค ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีสำหรับการเริ่มต้น โดยเราจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และอาจจะมีกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต” คุณกัญทร กล่าว
ด้านเป้าหมายการเติบโตในปี 2567 อาร์เอสตั้งเป้าไว้ที่ 2 Digit เนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาร์เอสเติบโตประมาณ 20-30% แต่เมื่อการแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายอัตราการเติบโตจึงเริ่มชะลอตัวลดลง ทั้งนี้ จาก 2 ไตรมาสที่ผ่านมามีการเติบโตประมาณ 8% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ไม่ได้ไกลจากที่คาดเอาไว้มากจึงจะพยายามทำให้ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายยังคงต้องดูปัจจัยภายนอกอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ ภาครัฐ และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในประเทศ เป็นต้น
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของอาร์เอสจะยังคงเน้นที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Automation & Control ซึ่งนับเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทมาโดยตลอด เนื่องจากสินค้าของอาร์เอสส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่ม Spare Part ที่ใช้ในงานซ่อมบำรุง ดังนั้นจึงตอบโจทย์กับลูกค้าในกลุ่มนี้ที่มีการใช้งานเครื่องจักรเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีในแง่ของการ Turnaround และมีโปรเจคใหม่ๆ หรือเข้าไปยกเครื่องใหม่ด้วยเช่นกัน
คุณกัญทร กล่าวต่อว่า อาร์เอสเปิดทำการในประเทศไทยปัจจุบันนับเป็นปีที่ 19 ซึ่งธุรกิจหลัก คือ จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม ในกลุ่มงาน Maintenance / Spare Part ที่ใช้ในงานซ่อมบำรุง อีกทั้ง การมีบริษัทแม่จากประเทศอังกฤษ จึงทำให้ธุรกิจมีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ข้อดีของอาร์เอส คือ การเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซ โดยมีเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย
ปัจจุบันมีสินค้าประมาณ 2,500 แบรนด์ จำนวนกว่า 750,000 รายการ อยู่ในหน้าเว็บไซต์ โดยเป็นสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งบางรายการไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่ที่เว็บไซต์ของอาร์เอสมีจำหน่าย ขณะที่ สินค้าบางตัวเลิกผลิตไปแล้ว แต่อาร์เอสสามารถหาสินค้าตัวอื่นเพื่อทดแทนแก่ลูกค้าได้ ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าหลายท่านเล็งเห็นศักยภาพของอาร์เอส และถือเป็นอีกทางเลือกที่สำคัญของลูกค้า
ขณะเดียวกัน อาร์เอสมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ ทักษะของพนักงาน เนื่องจากการมีฐานลูกค้าเป็นจำนวนมากและมีความหลากหลาย ทักษะของพนักงานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยพนักงานของอาร์เอสมีบทบาททั้งในแง่ของการปฏิบัติงาน และคุณภาพการบริการ อาร์เอสมีทีม Sale และ After Sale Service ที่ค่อนข้างแข็งแรง โดยพนักงานทุกคนจะผ่านการฝึกและหลอมรวมให้เข้าใจในเรื่องของงานบริการ รวมทั้ง ยังมี Passion ในการทำงาน และมองเป้าหมายเดียวกัน อีกทั้ง ยังมีการสื่อสารกันในองค์กรค่อนข้างถี่ในเรื่องของเป้าหมาย เมื่อทุกคนในองค์กรมีเป้าหายเหมือนกัน จึงส่งผลให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากบริษัทอยู่ในตลาดมาเป็นเวลานานถึง 19 ปี นับเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าไว้วางใจในอาร์เอส เพราะแน่นอนว่าลูกค้าจะต้องมองเห็นว่าบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการอะไรให้เขาได้บ้าง ขณะเดียวกัน เมื่อบริษัทมีธุรกิจใหม่ๆ ก็จะไปนำเสนอแก่ลูกค้า ซึ่งด้วยความไว้วางใจที่อยู่กันมาเป็นเวลานาน การที่อาร์เอสมีงานที่เป็น Project หรือ Service เข้ามา ส่วนนี้จะช่วยให้ลูกค้ากล้าที่จะทำงานร่วมกันกับบริษัทมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ วิสัยทัศน์ในการบริหารงานที่ทำให้อาร์เอสเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน คือ ค่านิยมขององค์กร เนื่องจากอาร์เอสมีบริษัทอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก การที่จะทำให้ทุกที่ทำงานแบบเดียวกัน มองเป้าหมายเดียวกัน จึงต้องยึดค่านิยมองค์กรแบบเดียวกันที่มาจากบริษัทแม่ โดยผู้บริหารระดับสูงสื่อสารแก่ผู้บริหารระดับล่างให้เข้าใจ จากนั้นจึงส่งต่อแก่พนักงานเพื่อให้เกิดการเข้าใจที่ตรงกัน มีความรู้ความเข้าใจเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ทีมเวิร์ค การดูแลลูกค้า การทำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่องค์กรและลูกค้า รวมถึง ทำให้ทุกวันเป็นวันที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทุกอย่างจะเชื่อมโยงกัน ดังนั้นจึงต้องสื่อสารกับพนักงานให้เข้าใจในค่านิยมขององค์กรอย่างถ่องแท้
ขณะเดียวกัน ตนมองว่าการบริหารงานของอาร์เอสในประเทศไทยจะเป็นในรูปแบบครอบครัว ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 30 คน โดยสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พนักงานมี Passion คือ ต้องรับฟังและสื่อสารกันให้เข้าใจ เนื่องจากมีหลายครั้งที่เกิดข้อผิดพลาดจากการสื่อสารในองค์กร เมื่อเข้าใจไม่ตรงกันพฤติกรรมที่แสดงออกมาก็แตกต่างกันออกไป โดยผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญและเข้าไปดูแลในส่วนนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงทำให้พนักงานของอาร์เอสในปัจจุบันอยู่ด้วยกันค่อนข้างนาน และมีอัตราการลาออกต่ำ
คุณกัญทร กล่าวถึงสิ่งที่อยากฝากกับลูกค้าว่า การทำธุรกิจในไทยเรารู้ว่าเราต้องดูแลคนไทย ดังนั้นจึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อดูแลกัน อีกทั้ง อาร์เอสพร้อมที่จะรับฟังเสียงของทุกท่าน เพราะตนเชื่อว่าคนในพื้นที่จะต้องรู้จักคนในพื้นที่ดีที่สุด ดังนั้นอาร์เอสจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความไว้วางใจแก่ลูกค้าเป็นอย่างดีในรูปแบบ Human Touch แม้เราจะเป็นผู้นำทางด้านการจัดจำหน่ายสินค้าในช่องทางออนไลน์ แต่เรายังคงมีพนักงานประจำออฟฟิศคอยให้บริการแก่ลูกค้าเพื่อติดต่อเข้ามาพูดคุยอยู่เสมอ และพร้อมให้การซัพพอร์ตอย่างเต็มที่
อีกทั้ง ยังมี Sale ที่คอยเข้าหาลูกค้าในหลายทีม ตนจึงอยากฝากว่าในบางครั้งที่ลูกค้ารู้จักอาร์เอสในประเทศไทยผ่านทางเว็บไซต์อาจจะยังไม่ครอบคลุม ดังนั้นจึงอยากขอโอกาส ซึ่งขณะนี้อาร์เอสพยายามมุ่งเข้าหาลูกค้าในกลุ่มต่างๆ มากขึ้น เพื่อนำเสนอและทำให้เขารู้จักอาร์เอสในประเทศไทยยิ่งกว่าเดิม และที่สำคัญอาร์เอสพร้อมจะปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อที่จะตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครอบคลุม