November 23, 2024

KTIS มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

KTIS มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ เผยปัจจัยหนุนเพียบ ทั้งด้านราคาและปริมาณ ทั้งสายธุรกิจน้ำตาล ชีวภาพ และธุรกิจใหม่

ผู้บริหารกลุ่ม KTIS มั่นใจผลการดำเนินงานปี 2566 จะเติบโตกว่าปี 2565 อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ ทั้งปริมาณและคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้น ผลิตน้ำตาลได้มากขึ้น ประกอบกับราคาน้ำตาลตลาดโลกก็อยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ส่วนสายธุรกิจชีวภาพ ทั้งเยื่อกระดาษชานอ้อย การจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าชีวมวล และเอทานอล ก็มีวัตถุดิบป้อนเข้าโรงงานมากขึ้น และราคาขายสูงขึ้น จึงคาดว่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นทุกสายธุรกิจ อีกทั้งจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% และโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เข้ามาช่วยเสริมอีกด้วย

นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2566 ว่า ในสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย จะได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณและคุณภาพอ้อยที่สูงกว่าปีก่อน อีกทั้งราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกก็ยังคงอยู่ในระดับสูง จึงมั่นใจว่ารายได้ในสายธุรกิจน้ำตาลจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“เราคาดว่าผลผลิตอ้อยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% แต่ด้วยคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้น ทำให้ได้ผลผลิตน้ำตาลทรายสูงขึ้นมากกว่า 10% เพราะปริมาณน้ำตาลทรายต่อตันอ้อยสูงขึ้น ประกอบกับราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกที่สูงกว่าปีก่อน และสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ก็ยิ่งทำให้สายธุรกิจน้ำตาลดูโดดเด่นในปีนี้” นายสมชายกล่าว  

สำหรับสายธุรกิจชีวภาพ ก็จะมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นจากปีก่อนเช่นกัน เพราะมีปริมาณวัตถุดิบเพิ่มขึ้น โดยที่ราคาขายไฟฟ้า เอทานอล และเยื่อกระดาษ ก็เป็นราคาที่ดีขึ้นด้วย โดยเห็นสัญญาณดีขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสแรก (ต.ค.-ธ.ค. 65) ซึ่งราคาขายเยื่อกระดาษชานอ้อยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้นจากตันละ 2,980 บาท เป็น 5,587 บาท ราคาขายเอทานอลเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้นจากลิตรละ 24.70 บาท เป็น 29.50 บาท และราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้นจากหน่วยละ 3.01 บาท เป็น 4.09 บาท

“การดูผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS หากดูเฉพาะไตรมาสแรก (ตุลาคม - ธันวาคม 2565) จะยังไม่ได้สะท้อนภาพรวมธุรกิจทั้งปี เพราะเป็นช่วงรอยต่อของฤดูหีบอ้อยปี 64/65 และ 65/66 โดยอ้อยเพิ่งเริ่มเข้าหีบในเดือนธันวาคม ดังนั้น ผลผลิตน้ำตาลยังอยู่ในกระบวนการผลิต อีกทั้งวัตถุดิบที่ป้อนให้กับธุรกิจต่อเนื่องคือโรงไฟฟ้า โรงงานผลิตเยื่อกระดาษ และโรงงานผลิตเอทานอล ก็ยังไม่เต็มที่ แต่ต้นทุนการผลิตรับรู้ไปก่อนแล้ว ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติของการรับรู้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไป จึงเชื่อว่า ผลการดำเนินงานทั้งปี 2566 จะสูงกว่าปี 2565 อย่างแน่นอน” นายสมชายกล่าว

ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า โครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ชาม กล่อง ถาดหลุม เป็นต้น ก็จะเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2566 เป็นต้นไป ซึ่งมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก นอกจากนี้ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และกลุ่ม ปตท. ก็จะทยอยสร้างรายได้ตามส่วนแบ่งของบริษัทฯ เข้ามาอีกด้วย

Page Visitor

012560832
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
14528
19290
122125
368623
432245
12560832
Your IP: 13.58.40.171
2024-11-23 20:41
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.