TEKA แจ้งข่าวดี คว้างานก่อสร้างโครงการนิว เมกา พลัส บางนา มูลค่า 955 ล้านบาท
TEKA เดินหน้าโค้งสุดท้ายของปี ลุยคว้างานก่อสร้างโครงการนิว เมกา พลัส บางนา มูลค่า 955 ล้านบาท หนุน Backlog ทะยานกว่า 2,479.34 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่น ในฐานะผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ยิ้มรับทิศทางตลาดคอนโดฯ กลับมาฟื้นสู่กราฟขาขึ้น ขณะที่ผลงานปีนี้คาดว่าเติบโตจากปีก่อน 30% ตามเป้า จากงานในมือปัจจุบันที่สูง และในอนาคตมีแนวโน้มจะได้งานอีกหลายโครงการทั้งจากภาครัฐ-เอกชน
นายวีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) (TEKA) เปิดเผยว่า TEKA ได้รับงานก่อสร้างใหม่ โครงการ นิว เมกา พลัส บางนา (NUE Mega Plus Bangna) คอนโด High Rise โครงการใหม่สูง 38 ชั้น ทำเลติดถนนบางนา-ตราด และห้าง Mega Bangna ของบริษัท คอนติเนนตัล ซิตี้ จำกัด (นิติบุคคลในเครือบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)) โดยลักษณะงานวิศวกรรมโครงสร้างพร้อมงานสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร มูลค่า 955,000,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง 26 เดือน จะเริ่มต้นก่อสร้างพฤศจิกายน 2565 นี้
การที่บริษัทฯ ได้รับงานใหม่ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และความไว้วางใจของคู่ค้าที่มีให้กับบริษัท สนับสนุนให้ TEKA มีมูลค่างานในมือ (Backlog) พุ่งแตะกว่า 2,479.34 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
พร้อมทั้ง เดินหน้าประมูลงานใหม่ ทั้งภาครัฐบาล และเอกชน รับภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายการลงทุนตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ทั้งงานอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ ขณะที่ แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมเข้าสู่กราฟขาขึ้น หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย มีการเร่งเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก นอกจากนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่คืบหน้ามากขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมตลาดก่อสร้างในช่วงโค้งสุดท้ายของปีคึกคัก และคาดจะดีต่อเนื่องในปีหน้า
นายวีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย TEKA มีความพร้อมในการดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งด้านการจัดการแรงงาน และการบริหารต้นทุนที่ดี เพื่อส่งมอบงานที่มีคุณภาพ ให้แก่ลูกค้าของเราตามกำหนดเวลาที่วางไว้ อีกทั้ง เงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) ในช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมา สนับสนุนให้เรามีความแข็งแกร่งในการรับงานโครงการขนาดใหญ่ และมั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้ จะเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่กว่า 1,600 ล้านบาท