อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานรายได้สะสมตั้งแต่ต้นปี
ทีมผู้บริหารยกระดับรูปแบบการดำเนินธุรกิจระดับโลกที่เป็นเอกลักษณ์ ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจมหภาค
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รายงานผลการดำเนินงานสะสมตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากทีมผู้บริหารได้ยกระดับรูปแบบการดำเนินธุรกิจระดับโลกที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทฯ ให้สามารถผลักดันรายได้ในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคที่มีความท้าทาย
สรุปผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2565
- Core EBITDA 12 เดือนล่าสุดเท่ากับ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เมื่อเทียบปีต่อปี
- Core EBITDA ต่อตันเท่ากับ 163 เหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และ 159 เหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ปี 2565
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานเท่ากับ 1,952 เหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบปีต่อปี
- กำไรหลักสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 10.34 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 8.14 พันล้านบาท
ไอวีแอลรายงาน Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 606 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่ส่งผลให้รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปี 2565 เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทีมผู้บริหารได้เพิ่มสรรพกำลังตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาผลกระทบจากศรษฐกิจโลกที่ผันผวนอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งยังได้รับผลจากสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงในยุโรปและการล็อกดาวน์ในประเทศจีน
การเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อย่าง Oxiteno กำลังหนุนการนำเสนอสินค้าและการดำเนินงานเชิงภูมิศาสตร์ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมรายได้ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจผันผวน ทั้งนี้ รายได้ในไตรมาสที่ 3 ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจาก Combined PET กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ มีปริมาณขายที่มั่นคงตลอดทั้งปี และการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ก็ส่งผลดีอย่างมาก อาทิ สารลดแรงตึงผิวในกลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) โดยกว่าร้อยละ 70 ของธุรกิจไอวีแอลใช้สำหรับผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นซึ่งมีความต้องการที่มั่นคง
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “เราพอใจกับผลการดำเนินงานของเราตลอดทั้งวงจรธุรกิจ ทีมผู้บริหารกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อดึงศักยภาพที่เรามีในแง่ความเป็นผู้นำเชิงภูมิศาสตร์ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และฐานลูกค้าที่ไม่มีที่เปรียบ ซึ่งได้แก่แบรนด์สินค้าในครัวเรือนระดับโลก เมื่อผนวกกับมุมมองความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการต้นทุน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรารับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจและสามารถมุ่งเน้นศักยภาพของเราในระยะยาวต่อไปได้”
กลุ่มธุรกิจ Combined PET (CPET) มี Core EBITDA สะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 1,192 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบปีต่อปี Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 327 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 24 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยธุรกิจยังมีความมั่นคงในเกือบทุกๆ พื้นที่ ยกเว้นยุโรปซึ่งราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นยังคงสร้างแรงกดดันต่อความต้องการและกำไร
กลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) รายงาน Core EBITDA สะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 604 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 137 เมื่อเทียบปีต่อปี จากผลดีของการบูรณาการกิจการ Oxiteno ที่เข้าซื้อเมื่อเดือนเมษายนและความต้องการที่แข็งแกร่งต่อผลิตภัณฑ์สารลดแรงตึงผิว กลุ่มธุรกิจมี Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 219 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากกำไรที่อ่อนตัวลงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Integrated Intermediates ท่ามกลางสถานการณ์ล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องและกำลังการผลิตส่วนเกินในประเทศจีน
กลุ่มธุรกิจ Fibers รายงาน Core EBITDA สะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 189 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบปีต่อปี และ Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ลดลงร้อนละ 11 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เท่ากับ 49 ล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Lifestyle ยังคงได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในประเทศจีน ขณะเดียวกันทีมผู้บริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene และ Mobility ในยุโรปก็กำลังบริหารต้นทุนพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ