‘AAI’ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โชว์ผลงานไตรมาส 3/65 ทำกำไรพุ่ง 49.9%
ชี้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตโดดเด่นตามเมกะเทรนด์โลก มั่นใจผลงานปี 65 รายได้โต 40%
‘บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ โชว์งบไตรมาส 3/2565 ทำรายได้รวม 1,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.4% และมีกำไรสุทธิ 195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดันผลงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,423 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 559 ล้านบาท รับผลดีจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตโดดเด่นตามเมกะเทรนด์โลก มั่นใจผลงานปี 65 รายได้โต 40% พร้อมเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 7,500 ตัน คาดเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชน์ได้ในปีหน้า
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,228 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มธุรกิจทูน่าที่เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีปริมาณขาย 11,492 ตัน เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 9,341 ตัน ซึ่งปริมาณขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของอุตสาหกรรม ขณะที่ปริมาณการขายสินค้าในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานในภาชนะปิดผนึกเพิ่มขึ้นมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ทูน่า ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2565 ทำได้ 195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท เป็นการเติบโตตามยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนของเงินทุนสูงขึ้นก็ตาม
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 3,644 ล้านบาท โดยมีปริมาณขายรวม 34,355 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำได้ 28,219 ตัน ซึ่งปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ตามอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้รายได้จากอาหารสัตว์เลี้ยงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 86% สำหรับกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 ทำได้ 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 438 ล้านบาท แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ AAI ยังสามารถบริหารจัดการและควบคุมราคาวัตถุดิบได้ดี และยังได้รับผลดีจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงถือเป็นธุรกิจสำคัญที่ช่วยผลักดันความสำเร็จของกลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากมีอัตรากำไรที่โดดเด่น และมีอัตราการเติบโตที่ดีตามเมกะเทรนด์โลก รายได้ส่วนใหญ่ในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นรายได้จากการรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำในระดับสากล ทำให้รายได้จากการรับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตขึ้น 51% จากการที่อุปสงค์ในอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารแมว ซึ่งตลาดสำคัญยังคงเป็นตลาดสหรัฐอเมริกา โดยมีสัดส่วนถึง 69% และตลาดยุโรปมีสัดส่วน 20% ขณะที่รายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 80% มาอยู่ที่ 115 ล้านบาท โดยได้รับผลดีหลังจากที่ AAI ได้ทำแผนการตลาดที่เข้มข้นขึ้นในประเทศไทย มีการเปิดตัวพรีเซนต์เตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ทำให้ยอดขายภายในประเทศของทั้งแบรนด์ “มองชู” และ “ฮาจิโกะ” ดีขึ้น
ด้านธุรกิจอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ทูน่า มีปริมาณการขายในงวด 9 เดือนปี 2565 จำนวน 4,947 ตัน เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดที่สำคัญยังคงเป็นตลาดตะวันออกกลาง ได้แก่ ประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจทูน่า
กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่รายได้จากการขายจะยังมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น จากเดิมที่มีการเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี แต่คาดว่าในปีนี้รายได้จะเติบโตมากกว่า 40% ตามการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก จากการที่อุปสงค์ทั่วโลกอยู่ในระดับสูง จึงคาดว่าจะเติบโตได้ 47-48% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 6,200 ล้านบาท ส่วนรายได้จากธุรกิจทูน่าคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 20% ตามความต้องการจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง แม้ต้นทุนราคาปลาทูน่ายังคงทรงตัวในระดับสูง แต่บริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 19 –20% ของรายได้จาการขายได้อย่างแน่นอน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบมีทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าต้นทุนค่าแรงจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี และต้นทุนค่าพลังงานยังคงผันผวน
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายกำลังการผลิตในไตรมาส 4/2565 ราว 7,500 ตัน โดยคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องจักรเพื่อเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปีหน้า รวมถึงไลน์การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบบรรจุถุงเพาซ์ (Pouch) ได้เริ่มเดินสายการผลิตตามแผน ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ AAI วางแผนเพิ่มช่องทางการการจัดจำหน่ายเพื่อผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยในปัจจุบัน การเติบโตของยอดขายภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ในประเทศไทยยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อแผนการเพิ่มของยอดขายของแบรนด์ ซึ่งตั้งเป้าให้มีสัดส่วนเป็น 10% ตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ