‘บริทาเนีย หรือ BRI’ โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือนแตะ 1,059 ล้านบาท โตแรง 134% ทำผลงานแซงทั้งปีของปีก่อน
พร้อมก้าวเป็น Top 5 ธุรกิจบ้านจัดสรร
“บริทาเนีย หรือ BRI” เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ของปี 2565 สามารถทำกำไรสุทธิร่วม 331 ล้านบาท เติบโตแรงกว่าเท่าตัวที่ 101% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนผลงาน 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,059 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 134% ทำผลงานแจ่มกวาดกำไรสุทธิแซงกำไรทั้งปีของปีก่อน พร้อมแต่งตั้ง คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นกรรมการบริษัทฯ ขับเคลื่อนกลยุทธ์ขยายธุรกิจบ้านจัดสรร เพื่อก้าวเป็น Top 5 ของอุตสาหกรรมในปี 2566 นี้
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถทำผลประกอบการได้อย่างก้าวกระโดดจากการดำเนินตามแผนกลยุทธ์ ‘Growth Together’ ที่มุ่งสร้างการเติบโตต่อเนื่องไปด้วยกัน โดยสะท้อนได้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทอสังหาแนวราบฯ ที่น่าจับตามอง และได้รับความสนใจจากพันธมิตรต่างชาติ (JV) ร่วมทุนพัฒนาโครงการในไตรมาสที่ 3 เพิ่มอีก 1 โครงการ คือ แกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.35 มูลค่าโครงการ 2,500.0 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 3 และสะสม 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 1,420.6 ล้านบาท และ 4,555.5 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.6 และ 62.2 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอีกทั้งยังวางแผนรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
จึงสามารถควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 และสะสม 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 330.6 ล้านบาท และ 1,059.4 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 100.8 และ 134.2 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน การเติบโตดังกล่าวมาจากการขยายตลาดสู่ทําเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และพื้นที่ที่ได้รับอานิสงส์จากการค้าและลงทุน อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังจากเปิดประเทศ จะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI ยังกล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมาภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับความท้าทาย และปัจจัยที่ส่งผลต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนกระทั่งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น สภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่, อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง, ต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับร้อยละ 1.00 ต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้จากประกาศไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) อาจส่งผลกระทบกับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) อีกทั้งยังเป็นโอกาสทองและการกระตุ้นของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสริมกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ การร่วมมือกับธนาคารชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นพันธมิตรเพื่อนำเสนอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ภายใต้เงื่อนไขที่ดีที่สุดและมีความเหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละบุคคล อีกทั้งการเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน โดยมีการเสนอขายหุ้นกู้เป็นครั้งแรก จำนวน 2 ชุด อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00 - 4.70% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 17 – 18 และ 21 พฤศจิกายน 2565 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายทำเลการพัฒนาโครงการใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียทุกมิติ