CIVIL โชว์งบ 9 เดือน รายได้ 4,629 ล้านบาท
CIVIL เผยผลประกอบการ 9 เดือน ปี 65 รายได้รวม 4,629 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2 ล้านบาท ทิศทางธุรกิจไตรมาส 4/65 เดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพบริหารโครงการต่อเนื่อง จัดการต้นทุนท่ามกลางวิกฤติอุตสาหกรรมก่อสร้าง ชูจุดเด่นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสรับงานเอกชนและโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่ เชื่อมั่นผลประกอบการปี 65 โตตามเป้าหมาย 6,000 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรในระดับดี
นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL ผู้นำด้านวิศวกรรมโยธาที่ใช้เทคโนโลยีก่อสร้างแบบครบวงจรชั้นนำของไทย เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 4,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,736 ล้านบาท จำนวน 893 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 170 ล้านบาท จำนวน 168 ล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 1,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,326 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 69 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้งวด 9 เดือน เพิ่มขึ้นจากความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการประเภทงานก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง รวมถึงงานถนน ประกอบไปด้วยโครงการก่อสร้างทางหลวง ทางต่างระดับ และ ทางพิเศษ อาทิ กรมทางหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ปรับตัวลดลง เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนการก่อสร้างตามวิกฤติเศรษฐกิจโลก และผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 อาทิ ราคาเหล็ก, วัสดุก่อสร้าง, ซัพพลายเชน และ แรงงาน รวมถึงค่าดำเนินงานก่อสร้างในโครงการภาครัฐที่บริษัทได้รับการขยายอายุสัญญา
สำหรับทิศทางการดำเนินงานช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อบริหารโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา รวมถึงมองหาโอกาสเข้ารับงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งการบริหารต้นทุนรวมถึงการดำเนินงานก่อสร้างของบริษัทจะถูกปรับใช้ให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันที่สุด
“งานก่อสร้างเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤติที่ส่งผลต่อเนื่องกับทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก ถือเป็นความท้าทายอย่างมากในการบริหารงานของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงบริหารจัดการโครงการก่อสร้างได้อย่างดี เดินหน้าพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อีกทั้ง บริษัทมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมสำหรับการเข้ารับงานก่อสร้างในอนาคตท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ประกอบกับที่รัฐบาลเข้ามาส่งเสริมงานโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าว เชื่อว่าในปี 2565 บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท และรักษาอัตราการทำกำไรให้อยู่ในระดับดี” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว