เดลต้า ประเทศไทย ติดอันดับ Fortune Asia Future 30 บริษัทชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก โชว์ศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน
บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) บริษัทในเครือของเดลต้า กรุ๊ป เป็นบริษัทเดียวจากประเทศไทยที่ติดอันดับใน Fortune Asia Future 30 ซึ่งนิตยสารฟอร์จูน (Fortune) ได้ร่วมมือกับบอสตัน คอสซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group หรือ BCG) ในการจัดอันดับดังกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อรวบรวมรายชื่อบริษัทจากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวน 30 แห่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนา โดยฟอร์จูนระบุว่าเดลต้า ประเทศไทย เป็นผู้ขับเคลื่อนสองกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจด้านศูนย์ข้อมูลและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมทั้งเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของประเทศไทย ณ เวลาที่ได้ทำการประเมิน
นิโคลัส กอร์ดอน บรรณาธิการเอเชียของนิตยสารฟอร์จูน กล่าวว่า “เอเชียเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน และวิกฤตการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อาจทำให้ภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามธุรกิจในเอเชียกำลังวางรากฐานสำหรับการขยายตัวอย่างยั่งยืน จีนแสดงตัวอีกครั้งว่าเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจเอเชีย เนื่องจากการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวและรถยนต์ไฟฟ้าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตามบริษัทที่อยู่นอกประเทศจีน รวมถึงบริษัทจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่แสดงสัญญาณแห่งความสำเร็จในอนาคตก็น่าสนใจไม่แพ้กัน”
นายแจ็คกี้ จาง ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเดลต้า ประเทศไทย กล่าวในการเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลที่งาน Fortune Innovation Forum ว่า “เดลต้าให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเป็นอันดับต้น ๆ และในฐานะกลุ่มบริษัทระดับโลก เราลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเกือบ 8% ของรายได้ต่อปี การได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Asia Future 30 ครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเติบโตตลอด 35 ปีของเดลต้า ประเทศไทย ซึ่งเราได้ผลิตพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าให้กับลูกค้าทั่วโลกมานานกว่าทศวรรษ ปัจจุบันเรากำลังลงทุนจำนวนมากในการวิจัยและพัฒนาและการผลิตในท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว เรายังใช้การวิจัยและพัฒนาระดับชั้นนำในด้านพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานเซิร์ฟเวอร์ AI โซลูชันระบายความร้อน ศูนย์ข้อมูล พลังงานสำหรับโทรคมนาคม และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะอีกด้วย”
บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน Fortune Asia Future 30 ซึ่งเป็นการจัดอันดับครั้งใหม่นี้มีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะด้านรายได้เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยใช้ศักยภาพการเติบโต (Vitality) ของบริษัทมาประเมิน ซึ่งจะวัดศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวของบริษัทต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่บริษัทเอเชียที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมถึงบริษัทที่โดดเด่นที่สุด 20 อันดับแรกจากประเทศจีน และ 10 อันดับแรกจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ทั้งนี้ นอกเหนือจากประเทศจีน ยังมีอีกหลายประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตมากเช่นเดียวกัน อาทิ เกาหลีใต้ อินเดีย และญี่ปุ่น โดยเดลต้า ประเทศไทย เป็นบริษัทเดียวที่มีสำนักงานใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในการคัดเลือก Asia Future 30 สถาบันบีซีจี เฮนเดอร์สัน (BCG Henderson) ได้พิจารณาบริษัทประมาณ 700 แห่งที่มีการซื้อขายหุ้นสาธารณะทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริษัทเหล่านี้จะต้องมีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสิ้นสุดปี 2565 หรือมีรายได้ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนถึงปี 2565 รวมถึงถูกประเมินศักยภาพทางการตลาดโดยพิจารณาจากศักยภาพในการเติบโตในอนาคตตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อีกหนึ่งประการที่บริษัทจะถูกพิจารณาคือความสามารถของแต่ละบริษัทในการบรรลุการเติบโตตามศักยภาพโดยอิงจากปัจจัย 19 อย่าง ซึ่งจะถูกประเมินด้วยอัลกอริธึมการเรียนรู้ของระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อคาดการณ์ว่าบริษัทจะเติบโตได้มากเพียงใดในอีกห้าปีข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่ประเภทหลัก ได้แก่ กลยุทธ์ เทคโนโลยีและการลงทุน บุคลากร และโครงสร้าง
ฟอร์จูนเป็นองค์กรสื่อระดับโลกที่สนับสนุนงานเขียนที่ได้รับรางวัลและการรายงานที่เชื่อถือได้สำหรับผู้บริหารที่ต้องการพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยฟอร์จูนวัดผลการดำเนินงานขององค์กรผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่เคร่งครัด และกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ มีความรับผิดชอบ นอกจากนี้ฟอร์จูนยังมีรายการ กิจกรรม และการประชุมที่ทรงพลังและมีชื่อเสียงอีกมากมาย เช่น งานฟอร์จูนโกลบอล 500 (Fortune 500) โครงการริเริ่มประธานกรรมการบริหาร (CEO Initiative) และงานสตรีผู้ทรงอิทธิพล (Most Powerful Women) โดยการที่เดลต้า ประเทศไทย ติดอัดดับใน Fortune Asia Future 30 อันทรงเกียรตินี้ ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงผลงานที่โดดเด่นและนวัตกรรมของบริษัทในการตอบรับเทรนด์ของอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดโลก