Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
ไทยยูเนี่ยน เปิดศักราชใหม่ ลุยแผนธุรกิจปี 64 ย้ำความแกร่งผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลก
ไทยยูเนี่ยน (TU) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารทะเลระดับโลก ประกาศแผนการดำเนินธุรกิจปี 2564 ยังต่อเนื่องจากปีก่อน (2563) หลังรับอานิสงส์โควิด-19 ทำยอดขายพุ่ง ธีรพงศ์ จันศิริ CEO ผู้ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก เตรียมทุ่มงบ รุดหน้าลงทุนธุรกิจกลุ่ม Ingredients ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่หลากหลายในอนาคต
คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU
คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU กล่าวว่า ปี 2563 เป็นปีที่ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทางที่ดี โดยการเติบโตในรอบ 9 เดือน บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 98,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2562 เนื่องจากยอดขายฝั่งอเมริกาเพิ่มขึ้น 27% และยุโรปเพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ยอดขายในประเทศไทยลดลงเหลือ 10% จากเดิม 12% ส่วนกำไรขั้นต้นหรือ Gross Profit ของ 9 เดือนแรกอยู่ที่ 17,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.4% และมี Gross Margin อยู่ที่ 17.6%
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 3/2563 ถือเป็นปีที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 2,056 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนหน้า 49.7% โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้แบ่งเป็น ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขาย 16,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.7% อยู่ที่ 13,370 ล้านบาท และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 12% อยู่ที่ 5,155 ล้านบาท
“กำไรของเราเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ปีนี้จึงถือเป็นปีที่ดีทีเดียว เพราะในรอบ 5 ปีมานี้เราแทบจะไม่โตเลย ต้องบอกว่าในแง่ของความต้องการสินค้า สถานการณ์โควิด-19 ก็ช่วยให้เกิดความต้องการที่มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋อง เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม เกิดเทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ผู้บริโภคหันมาทำอาหารทานที่บ้าน และมีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และอาหารที่เก็บได้นาน รวมถึงในอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากผู้คนทั่วโลกใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าเดิม ทำให้หันมาสนใจสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัขและแมวมากขึ้น จึงส่งผลให้ยอดขายประจำไตรมาสที่ 3/2563 เพิ่มสูงขึ้นด้วย” คุณธีรพงศ์กล่าว
คุณธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 ยังคงอยู่ระดับเดียวกันกับ 9 เดือนแรกในปี 2563 เพียงแต่ในแง่ของซีซั่นอาจเป็นไตรมาสที่ต่ำสุด เนื่องจากฝั่งอเมริกาและยุโรป การขายอาจจะชะลอ ในขณะที่การส่งออกประเทศไทยจะเป็นไตรมาสที่แข็งแรง ดังนั้นในไตรมาส 4/2563 ยังเป็นการเติบโตต่อเนื่อง และยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี
นอกจากนี้ ในแผนการดำเนินงานที่บริษัทพยายามทำมาอย่างต่อเนื่องคือเรื่องของการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยี เครื่องออโตเมชั่นต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการดูเรื่องของกระแสเงินสด การจัดการ Supply Chain เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี ทั้งยังมีการดูแลและจัดการในธุรกิจที่ไม่ทำกำไรของบริษัทให้ลดลงด้วย โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการของไทยยูเนี่ยนดีขึ้นเช่นกัน
คุณธีรพงศ์ กล่าวว่า ในปี 2564 นี้ บริษัทมองว่าสถานการณ์โควิด-19 ยังคงอยู่ในปีนี้ทั้งปี ฉะนั้นแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะเป็นการนำแผนกลยุทธ์ของปี 2563 มาใช้ต่อเนื่อง โดยจะระมัดระวังในเรื่องของการลงทุน การใช้จ่ายให้ต่ำที่สุด ซึ่งจะเป็นการเน้นในเรื่องของกระแสเงินสดเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งการลงทุนในเรื่องธุรกิจหลัก ออโตเมชั่น การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย
สำหรับการลงทุนใหม่ บริษัทจะลงทุนในธุรกิจที่เราให้ความสำคัญ และความสนใจ คือในเรื่องของ Ingredients ที่ปัจจุบันได้ดำเนินการผลิตในเรื่องของทูน่าออย ซึ่งก่อนนี้ได้มีการจัดตั้งโรงงานสกัดน้ำมันในประเทศไทย และโรงงานกลั่นบริสุทธิ์ที่ประเทศเยอรมัน สำหรับโครงการใหม่ในปี 2564 นี้ จะเป็นการต่อยอดหลังจากการลงทุนในทูน่าออย คือการเปิดโรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเซท ซึ่งจะนำไปสู่ผลิตภัณฑ์อย่างคอลลาเจนเปปไทด์
โดยบริษัทได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหาร ในการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเซทที่ประเทศไทย ในวงเงินการลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงจะมีการลงทุนในส่วนของการผลิตอาหารสำเร็จรูป ในวงเงิน 1 พันล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ จะเป็นการลงทุนที่นอกเหนือจากงบลงทุนปกติ เนื่องจากบริษัทต้องการที่จะสนับสนุนมาตรการและนโยบายของภาครัฐ นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการอนุมัติการสร้างห้องเย็นใหม่เพิ่มขึ้น ที่ประเทศกานา วงเงินประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย
“งบลงทุนในปัจจุบัน โดยปกติแล้วเราจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 4.2-4.5 พันล้านบาท แต่หลังจากปี 2563 เราได้มีการตัดงบลงไปอยู่ที่ระดับ 3.7 พันล้านบาท จากตอนแรกที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะลงทุนที่ 4.9 พันล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของโควิด-19 ในหลายประเทศ ทำให้เดินทางไม่ได้ แต่ในปี 2564 บริษัทจะกลับมาลงทุนอย่างเต็มที่ โดยได้ตั้งงบลงทุนรวมไว้กว่า 6 พันล้าน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาแล้ว เพราะว่าที่ผ่านมา เราเน้นในเรื่องการจัดการภายในมากกว่า แต่ ณ วันนี้ เราคิดว่าไทยยูเนี่ยนมีความพร้อมที่จะดูในเรื่องการลงทุนใหม่ๆ แล้ว” คุณธีรพงศ์กล่าว
คุณธีรพงศ์ กล่าวว่า ในปี 2564 นี้ ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทคาดว่าจะยังเป็นบวก ซึ่งบริษัทไม่ได้หวังการเติบโตด้าน Top Line แต่บริษัทมีมุมมองที่ต้องการเน้นความสามารถในการทำกำไรให้เติบโตในระดับ Single Digit หรือเทียบเท่ากับปี 2563 ประมาณ 5% เพราะคาดว่าสถานการณ์โควิด-19 นั้น ยังเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญในปีนี้ โดยไทยยูเนี่ยนเองได้มีมาตรการต่างๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก ซึ่งบริษัทรู้สึกยินดีที่ผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นและให้การตอบรับแบรนด์ต่างๆ ของเราที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
คุณธีรพงศ์ กล่าวถึงการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยว่า นวัตกรรมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากต่อทุกธุรกิจ รวมถึงธุรกิจของไทยยูเนี่ยน ที่บริษัทมีความตั้งใจที่จะนำเอาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้มากขึ้น โดยเราได้มีการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมของของไทยยูเนี่ยน เพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และพัฒนากระบวนการผลิต ให้นำไปสู่สินค้าใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการพัฒนาในเรื่องของทูน่าออย โดยการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังนำนวัตกรรมให้มีบทบาทสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนด้วย อย่างการใช้ภาชนะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับวิสัยทัศน์ในการบริหารธุรกิจสู่ความสำเร็จ คุณธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทต้องการที่จะเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งเรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คือต้องการดูแลและปฏิบัติต่อพนักงาน หรือแรงงานอย่างถูกต้อง รวมถึงดูแลทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ให้มีความยั่งยืนต่อเนื่องไปสู่ลูกหลานในอนาคต และด้วยวิสัยทัศน์ดังกล่าวนี้ ทำให้บริษัทมีมาตรการต่างๆ ที่ออกมาค่อนข้างชัดเจน และเป็นรูปธรรมในเรื่องของการปฏิบัติต่อแรงงาน พนักงงาน ซึ่งไม่เพียงเฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ประกอบการหรือคู่ค้า ที่ต้องปฏิบัติด้านนี้อย่างถูกต้อง
ส่วนความยั่งยืน บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการดูแลทรัพยากร ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ในโลกจะอยู่อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุดิบ การทำประมงที่ถูกต้อง การปฏิบัติต่อแรงงาน และรวมถึงเรื่องของสภาวะโลกร้อนด้วย
“สุดท้ายนี้ ในการดำเนินธุรกิจผมคิดว่าผู้ประกอบการปัจจุบัน จะต้องตระหนักถึงความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น และต้องตระหนักถึงเรื่องของความเสี่ยงในทุกๆ มิติ ผู้ประกอบการทุกคนจะต้องพยายามเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของบริษัทให้พร้อมเสมอ เพื่อรองรับวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของสถานะการเงิน ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ ซึ่งสำหรับไทยยูเนี่ยนก็จะคงดำเนินธุรกิจโดยรักษาระดับกระแสเงินสดไว้เช่นกัน โดยจะพิจารณาโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา และบริหารจัดการสายการผลิตของเราโดยเน้นย้ำเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อที่จะสามารถผลิตสินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง” คุณธีรพงศ์กล่าวทิ้งทาย
Selfies labore, leggings cupidatat sunt taxidermy umami fanny pack typewriter hoodie art party voluptate. Listicle meditation paleo, drinking vinegar sint direct trade.
www.themewinter.comMake sure you enter all the required information, indicated by an asterisk (*). HTML code is not allowed.