“ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์” รับรางวัลระดับอาเซียน
ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ได้รับรางวัล “ASEAN Energy Awards 2014” ด้านการจัดการพลังงานทดแทน ตอกย้ำความสำเร็จโครงการผลิตเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชน เร่งก่อสร้างโรงไฟฟ้า ขนาด 20 MW จำหน่ายไฟให้ กฟภ. ปลายปีนี้
คุณวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) หรือ TPIPL ผู้ผลิตปูนซิเมนต์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน (RDF Plant) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ TPIPL ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ระดับอาเซียน ด้านการจัดการพลังงานทดแทน ประเภทโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบสายไฟฟ้า (Off-Grid)
สำหรับการรับรางวัลในครั้งนี้ บริษัทได้เข้าร่วมการประกวดผลงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนระดับภูมิภาคอาเซียน หรือ ASEAN Energy Awards 2014 ครั้งที่ 32 ในโครงการผลิตเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชน ซึ่งได้รับรางวัลเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2557 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
“นอกจากรางวัลในระดับอาเซียนแล้ว ในปี 2556 ที่ผ่านมา เรายังได้รับรางวัลดีเด่นในระดับประเทศ จากการประกวด Thailand Energy Awards 2014 โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน อีกด้วย ซึ่งในขณะนั้นเราได้เข้าร่วมโครงการ Thailand Energy Awards 2014 และได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการพิจารณาให้เข้าร่วมประกวดในระดับอาเซียน ซึ่งทั้ง 2 รางวัล เราได้เข้าร่วมเป็นปีแรก
การเข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ เราไม่ได้มีการเตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากโครงการแปรรูปขยะเพื่อให้เกิดเป็นพลังงานทดแทนเป็นกระบวนการทำงานที่เราดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยนำพลังงานที่ได้นำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิตและภายในโรงงานปูนซิเมนต์ รวมทั้งยังสามารถช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เราจะต้องเสียอีกด้วย” คุณวรวิทย์กล่าว
คุณวรวิทย์ กล่าวต่อว่า บริษัทได้เริ่มดำเนินการโครงการผลิตเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชน เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา โดยโรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน (RDF Plant) สามารถรองรับขยะจากชุมชน ขยะจากบ่อเก่าและขยะอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นพิษได้ประมาณ 600-800 ตันต่อวัน ซึ่งจะรับขยะจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น สระบุรี, ลพบุรี, พระนครศรีอยุธยา, นครนายก และปทุมธานี เป็นต้น โดยสามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 15-18 เมกะวัตต์ต่อวัน
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของโครงการผลิตเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชนคือมุ่งหวังที่จะลดการใช้พลังงานและลดค่าใช้จ่ายในด้านพลังงาน โดยเฉพาะในโรงงานปูนซิเมนต์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใช้เชื้อเพลิงและพลังงานในอัตราที่สูงมาก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการสร้างสรรค์โครงการต่างๆ เพื่อเข้ามาช่วยแบ่งเบาและลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานในกระบวนการผลิต
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการมุ่งเน้นที่จะยกเลิกการจัดการขยะด้วยวิธีการฝังกลบแบบเก่า เพื่อลดปัญหาของขยะที่ล้นเมือง ปัญหาขยะตกค้าง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบพื้นที่บริเวณที่มีการฝังกลบขยะ โดยวิธีที่ดีสุดคือการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น สำหรับการดำเนินการดังกล่าวบริษัทได้รับการตอบรับจากชุมชนโดยรอบเป็นอย่างดี
“การแปรรูปขยะเป็นพลังงานในประเทศไทยยังไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก แต่ในต่างประเทศได้มีการดำเนินการมานานแล้วและมีวิธีการจัดการขยะที่ดี เพื่อไม่ก่อให้เกิดขยะตกค้าง ทั้งนี้ การจัดการขยะแบบฝังกลบยังก่อให้เกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในระยะยาว ซึ่งสิ่งที่จะสามารถลดขยะได้ดีที่สุดคือการแปรรูปและนำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” คุณวรวิทย์กล่าว
ส่วนขยะที่บริษัทได้นำมาแปรรูปประกอบด้วยขยะประเภท, พลาสติก, กระดาษ และผ้า เป็นต้น ซึ่งสามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิง และมีเครื่องจักรคัดแยกขยะเพื่อเข้าสู่กระบวนการแปรรูป สำหรับขยะที่ไม่สามารถนำมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงได้ อาทิ กากอินทรีย์, เศษหินดินทราย เป็นต้น โดยกากอินทรีย์ บริษัทจะมีการจัดการโดยนำมาหมักทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนเศษหินดินทราย บริษัทจะมีการจัดการโดยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปูนซิเมนต์
{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_022/tpipl/Photo{/gallery}
ด้านกระแสตอบรับจากการดำเนินการโครงการนี้ บริษัทมองว่าที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้ตั้งไว้ และได้มีการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรที่ดีต่อชุมชนโดยรอบโครงการ อีกทั้งบริษัทยังได้รับกระแสตอบรับจากชุมชนรอบโรงงานเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรอบพื้นที่โรงงาน
รวมทั้ง ยังได้รับความสนใจและได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในการเข้ามาเยี่ยมชมกระบวนการจัดการขยะเพื่อแปรรูปเป็นพลังงาน โดยถือว่าเป็นการเผยแพร่กระบวนการทำงาน ประสบการณ์ และวิธีการดำเนินการจัดการขยะที่ดีของบริษัทให้สาธารณชนได้รับทราบและสามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ได้อีกด้วย
คุณวรวิทย์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโครงการผลิตเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชน นอกจากจะนำพลังงานไฟฟ้าเพื่อมาใช้ภายในโรงงานแล้ว บริษัทยังมีทำสัญญาจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. โดยในขณะนี้ โรงไฟฟ้า ขนาด 20 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่องจักร คาดว่าจะจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟภ.ได้ภายในปลายปีนี้
ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าขนาด 20 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเตรียมส่งขายให้กับ กฟภ. ในช่วงสิ้นปีนี้ นอกจากโครงการนี้แล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ขนาด 60 เมกะวัตต์ โดยใช้งบลงทุนกว่า 3,500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นการติดตั้งเครื่องจักร 2,000 ล้านบาทและที่เหลืออีกกว่า 1,500 ล้านบาท จะเป็นงบลงทุนในการก่อสร้างและการวางระบบต่างๆ
ล่าสุด มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วกว่า 60% คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตและจำหน่ายให้กับ กฟภ. ได้ในช่วงเดือนมีนาคม 2558 และทั้งสองโครงการนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการคืนทุนประมาณ 5 ปี โดยการคืนทุนจะขึ้นอยู่ปัจจัยของปริมาณในการผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้และปริมาณขยะที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“นอกจากนี้ เรายังอยู่ระหว่างการเตรียมก่อสร้างโรงไฟฟ้า ขนาด 90 เมกะวัตต์ ซึ่งจะใช้เชื้อเพลิงหลักจากขยะและความร้อนทิ้ง โดยได้ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแล้ว ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเจรจาและคัดเลือกซัพพลายเออร์เครื่องจักรและสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าอีกประมาณ 3 ปีจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้” คุณวรวิทย์กล่าว
คุณวรวิทย์กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น บริษัทยังมีโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากการติดตั้งสายพานลำเลียงวัตถุดิบจากหน้าเหมือง โดยสายพานมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งได้ดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2557 ที่ผ่านมา
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองเดินเครื่องจักร คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 นอกจากนี้ บริษัทยังได้ดำเนินการติดตั้งสายพานเพิ่มในเหมืองอีกแห่งหนึ่ง โดยมีความยาวของสายพานประมาณ 5 กิโลเมตร คาดว่าจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในช่วงกลางปี 2558
“การดำเนินการโครงการนี้ เราเรียกว่า Downhill Conveyor ซึ่งเป็นการขนหินลงมาจากที่สูงผ่านสายพานและนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้สามารถนำมาปั่นไฟและผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกประมาณวันละ 20,000 หน่วยหรือปีละประมาณ 6 ล้านหน่วย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งด้วยรถบรรทุก ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เราเป็นบริษัทแรกที่ใช้เทคโนโลยีสายพานลำเลียงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศไทย และเรามั่นใจว่าเรามีขนาดกำลังการผลิตที่มากที่สุดในเอเชียอีกด้วย” คุณวรวิทย์กล่าว