ลินเด้ (ประเทศไทย) ตั้งเป้ารายได้เติบโต 2 หลัก
ลินเด้ (ประเทศไทย) วางเป้ารายได้ปี 65 เติบโตด้วยตัวเลขสองหลัก สานต่อความสำเร็จจากปี 64 ที่มีผลการดำเนินงานพุ่งกว่า 10% ไม่หวั่นความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด-19 เดินหน้าพัฒนาสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแตกต่าง สร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า พร้อมมุ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊าซอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ค่านิยมหลัก 5 ประการ บวกเดินหน้ากิจกรรม CSR หนุนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
คุณวิภา จินดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
คุณวิภา จินดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยตัวเลขสองหลัก เนื่องจากปี 2564 มีผลการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 10% โดยการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังถือได้ว่าค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างมาก ทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ รวมถึง ภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในปัจจุบัน อย่างไรตาม บริษัทยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และหวังว่าจะทำได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งผลประกอบการในปัจจุบันถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ในปีนี้ถือได้ว่ามีความท้าทายด้านยอดขายหลักเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ รวมทั้ง ความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การทำสงคราม ที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน หรือเชื้อเพลิงที่นับว่าเป็นต้นทุนและวัตถุดิบหลักของเรา
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่บริษัทเราเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งราคาน้ำมัน และราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนด้วยเช่นกัน เป็นผลให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีความท้าทายแต่ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยาก โดยการตั้งเป้าหมายเติบโตสองหลักของปีนี้ นับว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราจะใช้เป็นแรงขับเคลื่อน และเป็นแรงผลักดันให้เกิดแนวคิดดีๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้น” คุณวิภากล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง มุ่งสร้างความแตกต่าง พร้อมทั้ง สร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นในประสบการณ์ของลูกค้าให้ได้ เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายภายใต้ความท้าทายในปัจจุบัน รวมทั้ง ยังคงเดินหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตให้ก้าวกระโดด ดังนั้นจึงต้องหาแนวคิดที่หลากหลายในการเพิ่มผลผลิต หรือ Productivity Saving อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง เน้นใช้แนวทางด้านดิจิทัลมาปรับปรุงกระบวนการทำงาน และกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อีกส่วนสำคัญ คือ การควบรวมกิจการระหว่างบริษัทแม่ลินเด้ เอจี และแพรกซ์แอร์ อิงค์ ในระดับโลกสู่การเป็นบริษัทหนึ่งเดียวกันภายใต้ลินเด้ กรุ๊ป ส่งผลให้บริษัทมีแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) หรือมีประสบการณ์แห่งความสำเร็จ (Success Story) ของทั้ง 2 บริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของการเร่งกระบวนการ และรับประกันว่าบริษัทมีความรู้ ความสามารถ มีเทคโนโลยีที่เกิดจากการควบรวม
พร้อมทั้ง ได้นำสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาเร่งพัฒนาเพื่อหาแนวทางที่เป็นคุณค่าให้แก่ลูกค้า และสร้างความแตกต่างให้บริษัทเป็นอย่างมากในการที่จะนำเสนอก๊าซอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์ในตลาด โดย นำจุดแข็งจากการควบรวมกิจการมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในด้านการดำเนินธุรกิจให้ยั่งยืน
ด้านกำลังการผลิตของบริษัทในปัจจุบันยังคงเพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นผลจากการควบรวมกิจการที่ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งด้านกำลังการผลิตเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยเพิ่มความแข็งแกร่งในการเป็นผู้ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มีกำลังการผลิตที่สูงมาก ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการขาดแคลนสินค้า หรือ Business Interruption รวมทั้ง ยังส่งผลให้บริษัทขึ้นแท่นอันดับต้นๆ ของโลก ในด้านกำลังการผลิตก๊าซอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน บริษัทมีโครงการที่ชนะการประมูลจากปี 2564 ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทยอยเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น ถังบรรจุ, อุปกรณ์จ่ายลิควิด และจ่ายก๊าซต่างๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้รับงานมาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ ต้องไม่ยึดติดกับโครงการเดิมที่มีอยู่ โดยบริษัทมี Strategy ที่ทำให้เกิดเป็น Proactive Organization ซึ่งเน้นที่การมองไปข้างหน้า และต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง
คุณวิภา กล่าวต่อถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารธุรกิจ ว่า ตนอยากให้ลินเด้ (ประเทศไทย) เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊าซอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดในประเทศไทย โดยคำว่าดีที่สุด หมายถึง เป็นบริษัทที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด มีการดำเนินงานที่ไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิต หรืออุบัติเหตุร้ายแรงแก่พนักงาน คู่ค้า และลูกค้า โดยมีเป้าหมายดังกล่าวให้เป็นศูนย์ ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่า ความปลอดภัยมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้บริษัทดำเนินธุรกิจให้มีการเจริญเติบโตทั้งยอดขายและกำไรอย่างยั่งยืน
รวมทั้ง คุณภาพของสินค้า ซึ่งต้องมีคุณภาพที่ดีที่สุด โดยบริษัทได้ลงทุนในห้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าห้องปฏิบัติการดังกล่าวสามารถทดสอบก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้คุณภาพต่อการนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์ก๊าซที่ได้คุณภาพของเรา ได้แก่ ออกซิเจน ไนโตรเจน อาร์กอน ก๊าซทางการแพทย์ รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ฮีเลียม ก๊าซอิเล็กทรอนิกส์ อะเซทิลีน ก๊าซผสมหรือก๊าซพิเศษอื่นๆ ทั้งนี้ บริษัทมีก๊าซผสม หรือก๊าซพิเศษที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุดที่สามารถผลิตได้ในประเทศไทย
อีกทั้ง ยังได้ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพต่างๆ เช่น ISO 9001, ISO 14001, ISO 17000, ISO22000 รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัย เช่น HACCP, GHP, Halal, มอก. และอื่นๆ อีกด้วย นอกเหนือจากด้านความปลอดภัย และด้านคุณภาพของสินค้าแล้ว บริษัทยังมุ่งเน้นคุณภาพในด้านการบริการ โดยจะต้องทำให้โรงงานผลิตของบริษัทมีกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง มีความสามารถในการผลิตสูง โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตไว้ที่ 100%
ขณะเดียวกัน เพื่อให้บรรลุการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊าซอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าเติบโตไปกับลูกค้าอย่างยั่งยืน บริษัทจึงได้มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้ค่านิยมหลัก 5 ประการ ได้แก่ ความปลอดภัย (Safety), รับผิดชอบต่อชุมชน (Community), จริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ (Integrity), ความหลากหลาย (Diversity and Inclusion) และความรับผิดชอบ (Accountability)
นอกเหนือจากวิสัยทัศน์ และค่านิยมที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น บริษัทยังมุ่งดำเนินโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) หรือ CSR อย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาซึ่งมีการแพร่ระบาดหนักของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า และก๊าซออกซิเจน (O2) ทางการแพทย์มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วยวิกฤตที่เชื้อลงปอด ซึ่งอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว ดังนั้น บริษัทในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายก๊าซออกซิเจน (O2) ทางการแพทย์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้ระดมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งการผลิตและการจัดส่งเพื่อให้มีก๊าซออกซิเจน (O2) ทางการแพทย์เพียงพอภายใต้ความต้องการที่สูงมาก และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้ป่วยมีก๊าซออกซิเจน (O2) ใช้เพื่อรักษาอย่างทันท่วงที
รวมทั้ง การบริจาคเงินให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อสบทบทุนในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม พร้อมทั้ง ได้ดำเนินการติดตั้งถัง และอุปกรณ์จ่ายก๊าซออกซิเจน (O2) ทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลสนามหลายแห่งทั่วทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยบริษัทได้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อไม่ให้การผลิตและการจัดส่งก๊าซออกซิเจน (O2) หยุดชะงักในช่วงเวลานั้น
“เมื่อเราได้ผ่านวิกฤตช่วงนั้นมาได้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวลินเด้ ที่ได้มุ่งทำงานกันอย่างหนัก โดยพนักงานขับรถของเราถือว่าเป็นฮีโร่ที่นำส่งก๊าซออกซิเจน (O2) ทางการแพทย์ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ให้มีก๊าซใช้อย่างพอเพียง ทั้งต้องป้องกันตนเองในทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ เรายังได้มีการประชุมกับกระทรวงสาธารณสุขทุกสัปดาห์ เพื่อหาทางให้มีการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น เช่น การอำนวยความสะดวกด้านจราจร หรือการเร่งกำลังการผลิตเพื่อให้เพียงพอ ซึ่งเป็นความร่วมมือร่วมใจของพวกเราทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผลิต จัดส่ง ฝ่ายขาย บัญชี จัดซื้อ รวมไปถึงแผนก HR ที่พร้อมใจกันช่วยให้ประเทศของเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็ว” คุณวิภากล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกิจกรรม CSR อื่นๆ ที่ได้มุ่งดำเนินงานมาในทุกๆ ปี โดยในปีที่ผ่านมายังคงมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระบาด และมีมาตรการ Social Distancing แต่บริษัทยังคงจัดกิจกรรม Virtual Walk Run Bike เพื่อนำเงินไปบริจาคให้แก่มูลนิธิต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคหัวใจ นอกจากนี้ ลินเด้ กรุ๊ป ได้ให้การสนับสนุนและนำเงินมาสมทบทุนในการบริจาคด้วยเช่นกัน
โดยในส่วนนี้ถือเป็นค่านิยมของลินเด้ (ประเทศไทย) ที่ต้องการดำเนินธุรกิจให้เติบโตไปได้อย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้น การสร้างวัฒนธรรมขององค์กรเพื่อรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่บริษัทมุ่งมั่นมาโดยตลอด โดยมีการตั้งเป้าหมายเพื่อไม่ให้การดำเนินงานของบริษัทไปสร้างมลพิษ หรือมลภาวะให้กับชุมชนโดยรอบ และมุ่งหวังให้ชุมชนเหล่านั้นมีการพัฒนา มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น และเติบโตไปพร้อมๆ กัน
คุณวิภา กล่าวในตอนท้ายว่า ลินเด้ (ประเทศไทย) รวมไปถึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก๊าซในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาให้การสนับสนุนในเรื่อง New Investors โดยมีนโยบายการส่งเสริมการลงทุนอย่างที่ชัดเจน และเกิดขึ้นในเร็ววัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ในพื้นที่ EEC รวมถึง นโยบายของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมที่จะส่งเสริมให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก อีกทั้ง ยังช่วยให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ดีเพิ่มขึ้นอีกด้วย