Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
109 ปีแห่งการสถาปนา “กรมศิลปากร”
กรมศิลปากร ครบรอบ 109 ปีแห่งการสถาปนา เผยทิศทางปี 63 มุ่งเดินหน้าดำเนินงานตามภารกิจทั้ง 4 ด้านอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงหลายโครงการ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง
คุณประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ในปี 2563 กรมศิลปากรสถาปนาครบรอบ 109 ปี โดยทิศทางการดำเนินงานนับจากนี้ไปจะมุ่งเน้นการบริหารจัดการมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ตามภารกิจหลักทั้ง 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย 1.งานด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ 2.งานด้านเอกสาร ภาษาและหนังสือ 3.งานด้านศิลปกรรม และ 4.งานด้านนาฏดุริยางคศิลป์ โดยการทำงานในแต่ละด้านจะมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน จะให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความโดดเด่นในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปีแรกที่กรมศิลปากรมีแผนที่จะสร้างแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ คือ พิพิธภัณฑสถานงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ที่รังสิต คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ทั้งนี้ กรมศิลปากรมีแผนที่จะสร้างในส่วนงานอาคาร 3 ปี (2563-2565) และในส่วนของงานจัดแสดง 2 ปี (2566-2567) คาดว่าภายใน 5 ปีจะแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้
นอกเหนือจากนี้ ยังรวมถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์เครื่องทอง ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมในอีก 2 ปีข้างหน้า
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยกรมศิลปากรได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นพิพิธภัณฑ์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ และมีความเพียบพร้อมที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งจะป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปในอนาคต
พิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลาม (ศูนย์การเรียนรู้คัมภีร์อัล-กุรอาน) ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันของงานด้านพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสร้างที่จังหวัดนราธิวาส คาดว่าภายในปี 2564 จะแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันยังรวมไปถึงการตกแต่งภายในอาคารคลังกลางเก็บโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ คาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2565 รวมทั้ง พิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้ทำการปรับปรุงควบคู่ไปพร้อมกัน
อีกทั้ง ยังมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยบริหารจัดการงานด้านมรดกทางศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่ประชาชน เพื่อให้เข้าถึงคนทุกระดับมากขึ้น โดยปัจจุบันได้ดำเนินการให้มีการสืบค้นข้อมูลทางวิชาการ ในส่วนของงานที่กรมศิลปากรรับผิดชอบผ่านระบบออนไลน์ อาทิ การสืบค้นเกี่ยวกับอุทยานประวัติศาสตร์ โบราณสถานต่างๆ, ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) สำหรับการตรวจและติดตามการอนุรักษ์โบราณสถานตามสถานที่ต่างๆ, ค้นหาและอ่านหนังสือออนไลน์, ค้นหาเอกสารจดหมายเหตุ, ให้บริการ Virtual Museum พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง และ Virtual Historical park อุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง เป็นต้น
คุณประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร
“หากประชาชนท่านใดไม่สามารถที่จะเดินมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรืออุทยานประวัติศาสตร์ต่างๆ ด้วยตนเองได้ ท่านสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้โดยผ่านทางออนไลน์ทั้ง Virtual Museum พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง และ Virtual Historical park อุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง ซึ่งกรมศิลปากรมีครบทุกแห่ง ทุกพิพิธภัณฑ์และอุทยานประวัติศาสตร์ แต่ในความครบถ้วนสมบูรณ์ทุกแห่งอาจต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมในอนาคต” คุณประทีปกล่าว
นอกจากนี้ กรมศิลปากรยังได้ให้บริการด้านออนไลน์ในแง่ของงานบริการ อาทิ ระบบการนำเข้า-ส่งออก ศิลปวัตถุ, การจำหน่ายตั๋วการแสดง และรวมไปถึงในส่วนของหอสมุด คือ การขอเลขประจำหมู่เอกสารในการพิมพ์หนังสือ หรือพิมพ์นิตยสารต่างๆ ที่สามารถใช้สื่อออนไลน์ในการติดต่อได้ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมานั้นถือเป็นการลดขั้นตอน พร้อมอำนวยความสะดวกและช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของกรมศิลปากรได้ง่ายยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากการให้บริการทางออนไลน์แล้ว ยังได้มุ่งเน้นในการทำหน้าที่แบ่งปันความรู้สู่ประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของกรมศิลปากร โดยในทุกหน้างานที่รับผิดชอบ จะเน้นการให้ความรู้ ในแง่ของการจัดพิมพ์เอกสารวิชาการ เอกสารหนังสือ การจัดบรรยาย การจัดสัมมนา หรือการจัดกิจกรรมในเชิงให้ความรู้ต่างๆ โดยนักวิชาการของกรมศิลปากรต้องมีการพัฒนาให้มีความรู้ที่แจ่มแจ้งและชัดเจนสามารถเป็นหลักให้ประเทศชาติได้ในส่วนงานที่กรมศิลปากรรับผิดชอบ
คุณประทีป กล่าวว่า ในระหว่างการดำเนินงาน หากพบปัญหาหรืออุปสรรค ถือเป็นเรื่องปกติในการทำภารกิจของกรมศิลปากร เนื่องจากในปัจจุบันประชาชนมีการตื่นตัวในด้านการอนุรักษ์ หรือการใช้มรดก ศิลปวัฒนธรรมมาเป็นสื่อในการท่องเที่ยว และการเรียนรู้ แต่กรมศิลปกรมีข้อจำกัดในด้านของบุคลากร อาจจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการทำงานบ้าง เพราะเป็นงานที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ภูมิปัญญาโบราณ ดังนั้นจึงต้องทำอย่างประณีต และต้องใช้เวลา รวมถึง เรื่องของความรู้ความเข้าใจในมาตรฐาน การทำงาน หรือแนวคิดต่างๆ โดยทุกคนมีอิสระทางความคิด ดังนั้นจึงมีความหลากหลาย และไม่สามารถพูดได้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ซึ่งต้องใช้เวลาในการชี้แจง
อย่างไรก็ตาม กรมศิลปากรจะต้องมีการปรับปรุงขั้นตอนหรือวิธีการทำงานเช่นเดียวกัน โดยการเพิ่มกระบวนการในการสร้างการเรียนรู้ เพิ่มกระบวนการในการมีส่วนร่วมให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาร่วมคิด ร่วมทำ โดยเฉพาะเรื่องการอนุรักษ์ พัฒนาโบราณสถานต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนได้ให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้นกรมศิลปากรจึงต้องมีการแบ่งปัน สร้างความรู้ความเข้าใจ และให้มีความคิดเห็นที่ตรงกันก่อนจะลงมือพัฒนา เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
คุณประทีป กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐอย่างสอดคล้องตามบทบาทภารกิจ หน้าที่ในแต่ละส่วน และความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งภาครัฐมีหน้าที่จัดสรรงบประมาณ ส่วนกรมศิลปากรมีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเต็มความรู้ ความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องการท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติ อีกทั้งยังสอดรับกับแนวคิดกับยุทธศาสตร์ภาครัฐ โดยในแต่ละจังหวัดจะมีโบราณสถาน มีแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ดังนั้นในส่วนของงบประมาณเพื่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจึงไม่ได้เป็นปัญหา
“ถึงแม้ว่าในด้านงบประมาณไม่ได้มีปัญหา อย่างไรก็ตาม กรมศิลปากรยังคงมีปัญหาด้านความพร้อมหรือบุคลากรที่มีปริมาณไม่เพียงพอ ดังนั้นเราจึงปรับเปลี่ยนวิธีการโดยจะเน้นสร้างภาคี สร้างเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น แต่คนที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับเราจะต้องมีความรู้ที่เท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องไปเริ่มที่กระบวนการสร้างคน เช่นเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถาน จะต้องไปสร้างช่างอนุรักษ์ให้มีความรู้เท่าทัน จึงจะสามารถมาทำงานได้อย่างถูกต้องและได้มาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่กรมศิลปากรได้ปฏิบัตินั้นถือว่าสอดรับกับนโยบายของภาครัฐอยู่แล้ว” คุณประทีปกล่าว
ส่วนสิ่งที่อยากจะฝากถึงคนรุ่นใหม่ โดยมรดก ศิลปวัฒนธรรม ถือเป็นหน้าตาและเป็นเกียรติภูมิของชาติ ดังนั้นเราต้องช่วยกันทำนุบำรุงรักษา และสืบทอดสิ่งที่ดีๆ ที่บรรพชนได้สร้างสรรค์เอาไว้ ซึ่งในแง่ของการเรียนรู้ด้านต่างๆ เป็นหน้าที่ของกรมศิลปากร และได้จัดให้มีช่องทางเพื่อประชาชนสามารถเข้าถึงได้หลายช่องทาง รวมทั้ง มีหลายด้านที่ทำขึ้นเพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในยุคสังคมดิจิทัล เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูล หรือองค์ความรู้ของกรมศิลปากรได้โดยง่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมถือเป็นเกียรติคุณ เป็นภูมิปัญญาของชาติ แสดงถึงความเป็นชาติไทย เป็นชาติสิวิไล เป็นความเจริญต่างๆ ซึ่งร่องรอยหลักฐานเหล่านั้นได้ปรากฏอยู่ที่โบราณสถาน โบราณวัตถุ หรือจารีต ธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่ได้มีการสืบทอดกันมา โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ร่ำรวยทางด้านวัฒนธรรม เป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาไม่ด้อยกว่าชาติใดๆ เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ จึงอยากให้ประชาชนได้ช่วยกันภาคภูมิใจ และร่วมกันอนุรักษ์สืบทอดมรดกสำคัญนี้สู่รุ่นลูก รุ่นหลังต่อไป” คุณประทีปกล่าว
อนึ่ง "กรมศิลปากร" เป็นหน่วยงานของรัฐ มีการจัดตั้งเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2454 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงเล็งเห็นความสำคัญ "มรดกศิลปวัฒนธรรม" อันเป็นรากเหง้าของชีวิตและบ้านเมือง จึงทรงมีพระราชดำริ ให้โอนกิจการของช่างมหาดเล็ก จากกระทรวงวัง และกรมพิพิธภัณฑ์ จากกระทรวงธรรมการ มาจัดตั้งเป็น "กรมศิลปากร" มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลศิลปวัฒนธรรมของชาติแขนงต่างๆ ได้แก่ งานด้านโบราณคดี, งานประวัติศาสตร์,พิพิธภัณฑ์, สถาปัตยกรรม, หัตถศิลป์, นาฏดุริยางคศิลป์, ด้านเอกสาร ภาษา และหนังสือ และด้านการจัดการศึกษาศิลปวัฒนธรรม
โดยกรมศิลปากรได้ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการใหม่ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2548 โดยยกเลิกสำนักสถาปัตยกรรมและหัตถศิลป์ และจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นอีก 2 สำนัก แทน คือ สำนักช่างสิบหมู่ และสำนักสถาปัตยกรรม และตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ.2549 ปรับปรุงโครงสร้างและการบริหารของ "สำนักงานศิลปากรที่ 1-15" ซึ่งเดิมมีฐานะเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดสำนักโบราณคดีเป็น "สำนักศิลปากรที่ 1-15" ขึ้นตรงต่อกรมศิลปากร รับผิดชอบดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของกรมศิลปากรในเขตพื้นที่ส่วนภูมิภาค จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2550 ได้โอนย้ายสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ตามพระราชบัญญัติสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. 2550
ด้านลักษณะงานของกรมศิลปากร ประกอบด้วย งานวิชาการและงานด้านทักษะที่ต้องอาศัยการเรียนรู้สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ในการดำเนินงานด้านมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ มีทั้งงานที่ต้องดำเนินการเองและงานที่ภาคเอกชน องค์กรต่าง ๆ หรือหน่วยงานรัฐอื่นร่วมดำเนินการ และมีนโยบายให้ความร่วมมือกับต่างประเทศทั้งในรูปแบบของรัฐต่อรัฐ รัฐต่อองค์กรเอกชนของต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ
สำหรับบทบาท และหน้าที่ของกรมศิลปากร ได้แก่ 1. ปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ธำรงจารีตประเพณี พระราชพิธี และรัฐพิธีให้คงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศไทย 2. สืบทอด สร้างสรรค์ เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม 3. ปรับเปลี่ยนระบบและกลไกการบริหารจัดการมรดกศิลปวัฒนธรรม 4. บริหารจัดการองค์ความรู้และพัฒนามรดกศิลปวัฒนธรรมให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยว และ 5. จัดการศึกษาเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์ สืบทอดและพัฒนาอย่างยั่งยืน
Selfies labore, leggings cupidatat sunt taxidermy umami fanny pack typewriter hoodie art party voluptate. Listicle meditation paleo, drinking vinegar sint direct trade.
www.themewinter.comMake sure you enter all the required information, indicated by an asterisk (*). HTML code is not allowed.