มร.คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด

มร.คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจจนถึงปัจจุบัน วอลโว่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ซึ่งเริ่มจากการผลิตเข็มขัดนิรภัยที่ทันสมัย ระบบป้องกันการกระแทกด้านข้าง และระบบตรวจจับคนเดินเท้า จนกระทั่งปัจจุบันวอลโว่ได้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากที่สุด จากการดำเนินงานตามกลยุทธ์ ที่มุ่งเน้นผู้คนเป็นอันดับแรก เสมือนศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งภารกิจในประเทศไทย วอลโว่ให้ความสำคัญกับแนวทางการปกป้องผู้คนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์แบบ Plug-in Hybrid หรือการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยขั้นสูง ให้เป็นมาตรฐานในรถยนต์ทุกรุ่น  

โดยในปี 2563 นี้ แผนการสร้างความเติบโตของวอลโว่ได้ถูกวางไว้อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้วอลโว่ต้องปรับแผนการดำเนินงานให้มีความเหมาะสมมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าวอลโว่จะสามารถเติบโตได้อีกครั้งในปีนี้ เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากผู้คนยังมีความต้องการรถยนต์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะรุ่น S60 และ V60 ดังนั้น วอลโว่จะพยายามอย่างเต็มความสามารถจนกว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ เพื่อนำเสนอความคุ้มค่า รวมถึงมาตรฐานการปกป้องสูงสุดแก่ลูกค้าในขณะขับขี่รถยนต์ของวอลโว่

นอกจากนี้ วอลโว่ยังได้เริ่มแผนการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาเช่าคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit เพื่อใช้เป็นศูนย์ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงการอบรมด้านเทคนิคและการขาย บนพื้นที่ขนาด 23,000 ตารางเมตร ในคลังสินค้าให้เช่า WHA-KPN Mega Logistics Center ถนนบางนา-ตราด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับศูนย์กระจายชิ้นส่วนอะไหล่ของวอลโว่ โดยศูนย์ดังกล่าวจะเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ซึ่งขณะนี้ก็มีความพร้อมแล้วสำหรับการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวของวอลโว่ ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจระยะยาวเพื่อลูกค้าเท่านั้น หากยังแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศของไทยด้วย

“การนำเสนอผลิตภัณฑ์ในตลาดเมืองไทย วอลโว่พยายามคัดสรรรถยนต์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดมากที่สุด และได้มีการแสวงหาเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอตลาดอยู่เสมอ อย่างเช่น รถยนต์ รุ่น XC60 Polestar Engineered ที่มีความเฉพาะตัวในการดึงดูดลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่เน้นถึงสมรรถนะหรือการควบคุมมาก แต่ต้องการรถเอสยูวีคุณภาพเยี่ยม รวมถึงการนำเสนอเครื่องยนต์แบบ Plug-in Hybrid เป็นผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่จะอยู่ในรถยนต์ทุกรุ่นของปีนี้ และในเร็วๆ นี้ จะมีการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งวอลโว่จะพยายามนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติชั้นเลิศและเครื่องยนต์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” มร.เวลส์กล่าว

สำหรับนวัตกรรมในการผลิตรถยนต์นั้น มร.เวลส์ กล่าวว่า วอลโว่ได้คำนึงถึงว่าในอนาคตรถยนต์จะต้องเป็นระบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้า จึงได้มีการศึกษาและเริ่มดำเนินการผลิตตั้งแต่นั้นมา เนื่องจากมองเห็นว่าพลังงานไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเทรนด์ระดับโลกของอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยวอลโว่ถือเป็นรายแรกที่แสดงเจตจำนงต่อสาธารณชนในด้านนี้ อีกทั้งยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงการดำเนินงานและเส้นทางสู่อนาคตของวอลโว่ที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์รุ่น Volvo Recharge อันเป็นหลักฐานเด่นชัดถึงความมุ่งมั่น ด้วยการใช้เครื่องยนต์แบบ Plug-in Hybrid และเครื่องยนต์พลังไฟฟ้าโดยสมบูรณ์

นอกจากนี้ วอลโว่ได้ตั้งปณิธานไว้ด้วยว่า รถยนต์ 50% ที่บริษัทจำหน่ายภายในปี 2568 จะต้องเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และอีก 50% ภายในปี 2583 จะเป็นรุ่นไฮบริดทั้งหมด เพื่อที่วอลโว่จะเป็นบริษัทที่ี่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่า ซึ่งในประเทศไทยนั้น วอลโว่มีความก้าวหน้าอย่างมากในการดำเนินงานดังกล่าว จากการนำเสนอทั้งในรุ่น XC60, XC90, S90, S60 และ V60 กว่า 90% และรุ่นต่อไปจะเป็น XC40 ในเร็วๆ นี้

“เราเชื่อมั่นว่า เราสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม เพราะลูกค้ามีความเชื่อเช่นเดียวกับเรานั่นคือ ‘อิสรภาพในการเดินทางอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปลอดภัย และความยั่งยืน’ เราต้องการดึงดูดลูกค้าที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งบนเส้นทางนี้ ผ่านการนำเสนอทางเลือกการเดินทางที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยังคงตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยม” มร.เวลส์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเจ้าของรถมีความสำคัญ และเป็นสิ่งที่วอลโว่มุ่งเน้นมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา วอลโว่กล้าพูดว่าเรามีความก้าวหน้าอย่างมากในการเพิ่มจำนวนโชว์รูม ผู้จัดจำหน่าย และศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์วอลโว่ โดยบริการ Volvo Personal Service ที่ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่วอลโว่ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นให้พันธมิตรค้าปลีกทุกรายสามารถนำเสนอบริการ VPS ได้ทั้งหมดภายในปี 2563 นี้

อีกทั้ง ยังให้ความสำคัญกับเรื่องต้นทุนชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการกำหนดราคาอย่างเหมาะสมที่สุด รวมถึงสร้างความมั่นใจว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์วอลโว่จะคุ้มค่าที่สุด ทั้งนี้ ด้วยการเน้นความสำคัญต่างๆ ทำให้วอลโว่สามารถนำเสนอการรับประกันและแพ็คเกจการซ่อมบำรุงนานถึง 5 ปี ซึ่งช่วยให้ลูกค้าอุ่นใจว่าจะไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงเพิ่มเติมอีก

“เราให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของลูกค้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด หรือการเสนอแนะเพื่อให้ปรับปรุง ซึ่งนั่นจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังเช่นที่เรากำลังดำเนินการอยู่นี้ และจะทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ผมอ่านความคิดเห็นของลูกค้าบนสื่อดิจิทัลเกือบทุกข้อความด้วยตัวเอง ดังนั้น เมื่อลูกค้าโพสต์ข้อความใดๆ ก็ตาม ขอให้มั่นใจได้ว่าจะมีผู้รับฟังพวกเขาเสมอ” มร.คริส เวลส์กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2470 และได้ครบรอบ 93 ปีเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา โดยจากการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน ทำให้วอลโว่ได้รับทั้งประสบการณ์และความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำลายสถิติยอดขายรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่ได้สูงสุดในรอบ 22 ปี โดยถือเป็นความสำเร็จอันเกิดจากความร่วมมือกับเหล่าพันธมิตรคู่ค้าของวอลโว่ และในปี 2562 ยังเป็นปีที่วอลโว่นำเสนอบริการ Volvo Personal Service (VPS) ในโชว์รูมค้าปลีก เพื่อมอบมาตรฐานอีกระดับให้แก่ลูกค้าวอลโว่ ให้สามารถปรึกษาพูดคุยกับช่างเทคนิคที่ทำหน้าที่ซ่อมบำรุงรถยนต์ได้โดยตรง