May 08, 2024

Biz Focus Industry Issue 094, November 2020

โนเบิลชัดเจนรายได้ 10,000 ลบ. ตามเป้า

โนเบิลตอกย้ำความมั่นใจรายได้ปีนี้ 10,000 ลบ. เข้าเป้า 100% ครึ่งปีแรกบันทึกที่ 4,000 ลบ. ส่วนครึ่งปีหลัง 6,000 ลบ. ฉลุย โดยล๊อกอินรายได้ทั้งหมดแล้ว พร้อมตุน Backlog 17,000 ลบ. บวกเดินแผนเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มต้นปีหน้า เสริมแกร่งพอร์ตธุรกิจ คาดรายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2567 หนุนขึ้นแท่นเบอร์ 6 ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

คุณธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE

คุณธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE กล่าวว่า ในปี 2563 บริษัทวางเป้าหมายรับรู้รายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทบันทึกรายได้ไปแล้ว 4,000 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังรอบันทึกรายได้อีก 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่รับรู้แทบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงการส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้า ประกอบกับยอดขายใหม่ที่ต้องการเพิ่มมีมูลค่าไม่ถึง 500 ล้านบาท สำหรับปีนี้ซึ่งก็จะเป็นไปตามเป้า ดังนั้น การดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ นับว่าค่อนข้างราบรื่นสำหรับบริษัท

“ทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของเรามีแนวโน้มสดใส โดยมีรายได้ที่รอบันทึกจากโครงการต่างๆ อยู่แล้ว และยอดขายใหม่ที่ต้องการมีมูลค่าไม่สูงมาก เราจึงมีความมั่นใจว่าตัวเลขรายได้ 10,000 ล้านบาทและผลกำไรที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นปีจะเข้าเป้าอย่างแน่นอน ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ได้ตั้งไว้เมื่อปีที่ผ่านมา และจะประสบความสำเร็จในปีนี้” คุณธงชัยกล่าว

โดยบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) เมื่อช่วงต้นปีอยู่ที่ประมาณ 14,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้ได้ปรับเพิ่มมาอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 3 ปีในอนาคต โดยจะมาจากหลากหลายโครงการ อาทิ โนเบิล บี19 (NOBLE BE19) และ โนเบิล บี33 (NOBLE BE33) เป็นต้น ขณะเดียวกันโครงการใหม่ที่ได้เปิดตัวเมื่อช่วงไตรมาส 2-3 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น โครงการนิว โนเบิล งามวงศ์วาน (NUE NOBLE NGAMWONGWAN) มียอดขายเกิน 60% นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว (NUE NOBLE RATCHADA-LAT PHRAO) และ โครงการนิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง (NUE NOBLE FAICHAI-WANG LANG) สร้างยอดขายไปแล้วกว่า 40% หลังจากเปิดตัวไปเพียงหนึ่งเดือน เป็นต้น ซึ่งประสบความสำเร็จเกินความคาดการณ์ โดยจะส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้ในอนาคตจากโครงการใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติม

ในปี 2564 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาเปิดตัวโครงการใหม่ๆ โดยมีทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมไฮไรส์ และคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ โดยเน้นเจาะโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายพอร์ตโครงการที่อยู่อาศัยให้มีความหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกัน มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มอีกหลายแปลงเพื่อรองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในและใกล้กับโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต พร้อมทั้งตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนให้มาอยู่ที่ 20 - 30% จากปัจจุบันมีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการขายเพียง 5% ของพอร์ตธุรกิจ

“การให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้นในปี 2564 ถือเป็นการบาลานซ์ความเสี่ยงทางธุรกิจของเรา อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับความต้องการตลาดในปัจจุบันมีความนิยมโครงการแนวราบมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 หรือการเวิร์ค ฟอร์ม โฮม (Work from home) นอกจากนี้ การทำโครงการแนวราบจะช่วยเข้ามาเสริมให้เรามีสินค้าไปตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น โดยสัดส่วนจะปรับเพิ่มจาก 5% เป็น 20 - 30% ในอนาคต เบื้องต้นมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในช่วงต้นปีหน้า 1 โครงการ และในช่วงปลายปีจะเปิดตัวโครงการบ้าน 1 โครงการ” คุณธงชัยกล่าว

ส่วนการพัฒนาโครงการแนวสูงในปี 2564 ยังคงมีแผนดำเนินการอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการซื้อที่ดินหลายแปลงเพื่อรองรับการพัฒนา ซึ่งจะเน้นคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทมากขึ้น ภายใต้แบรนด์ NUE ที่มาจากคำว่า New Urban Epicenter เป็นแบรนด์ที่มีความสนุกสนานและสีสันมากขึ้น พร้อมนำเสนอจุดเด่นด้วยการออกแบบห้องหน้ากว้าง เน้นพื้นที่ใช้สอยในการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย มี Facility ที่หลากหลายในการทำกิจกรรม เช่น Co-Kitchen Space ,Co-Working Space พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายอายุตั้งแต่ 20 - 35 ปีที่มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุนในระดับราคาที่ไม่สูงมากเกินไป และใกล้แนวรถไฟฟ้า

คุณธงชัย กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทมีความแข็งแกร่งด้านการขายในตลาดต่างประเทศเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยได้มีการเจาะตลาดในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่หลักๆ จะอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ จีน ฮ่องกง สิงค์โปร์ และไต้หวัน เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากที่รัฐบาลอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะทำให้บริษัทได้รับผลตอบรับที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ขณะนี้ สัดส่วนยอดขายต่างประเทศในปีนี้คิดเป็น 25 - 30% ของยอดขายรวมทั้งหมด

นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น โดยมองประเทศอังกฤษเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีคนไปลงทุนหรืออยู่อาศัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเข้าไปดำเนินการในลักษณะการร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับดีเวลลอปเปอร์ในประเทศนั้นๆ ขณะเดียวกันจะใช้จุดแข็งจากการประสบความสำเร็จในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปช่วยสนับสนุนในส่วนนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ หากมีโอกาสที่ดี บริษัทพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการอย่างทันที คาดว่าในช่วงปี 2564 - 2565 ภาพรวมการดำเนินงานจะมีให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

คุณธงชัย กล่าวต่อถึงแนวโน้มธุรกิจในปี 2564 ว่าเนื่องจากการรับรู้รายได้ของบริษัทเกิดจากการส่งมอบโครงการที่ขายไปแล้วให้แก่ลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงโครงการต่าง ๆก็ดำเนินงานก่อสร้างตามแผนทำให้ตัวเลขรายได้คาดว่าจะเติบโตเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ 10,000 ล้านบาท รวมทั้งจะมีผลกำไรในระดับใกล้เคียงกับปี 2563 หรืออาจมีการโตขึ้นอีกประมาณ 5 - 10%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขรายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2567 เพราะมีโครงการที่เปิดขายในปี 2563 และก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ที่ 15,000 - 17,000 ล้านบาท โดยจะส่งผลให้บริษัทก้าวเป็นผู้นำอันดับที่ 6 ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังริมทรัพย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายที่ท้าทาย โดยจะขยับอันดับแตะที่ 5 ในอนาคต ซึ่ง Market Cap (Market capitalization) จะต้องอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้การเป็นบริษัทขนาดใหญ่จะสนับสนุนให้เกิดความได้เปรียบในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นจากลูกค้า หรือเงินทุนที่ใช้ในการพัฒนาโครงการที่น้อยลง และจำนวนนักลงทุนใหม่เข้ามาถือหุ้นเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น 

ด้านจุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าไว้วางและให้การตอบรับโครงการของบริษัทด้วยดีเสมอมา โดยหลักๆ ได้แก่ แบรนด์อิมเมจที่มีความแข็งแกร่ง รูปแบบการดีไซน์โครงการที่มีความทันสมัยและสวยงาม ซึ่งมีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ อย่างชัดเจน ทำเลที่ตั้ง รวมถึง ราคาสินค้า เป็นต้น ซึ่งทุกองค์ประกอบจะต้องสอดรับกัน และเป็นสิ่งที่บริษัทมีความมุ่งมั่นรักษาเพื่อให้คงไว้ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวตลอดไป

รวมถึงการโปรโมทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนอสังริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย และยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น การลิมิตสัดส่วนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติจากปัจจุบันที่กำหนด 49% ในโครงการคอนโดมิเนียม เป็นต้น ทั้งนี้ หากภาครัฐเข้ามาดูแลและดำเนินการแก้ไข จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังไม่ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ อีกทั้งยังขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้อีกด้วย

คุณธงชัย กล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบัน อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเลือกซื้อ และลงทุน เนื่องจากที่ผ่านๆ มาในหลายปี ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้มีการปรับตัวลดลงมามากถึงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ สำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ ตนแนะนำว่าควรซื้อเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถือเป็นนาทีทอง เพราะต่อจากนี้ ราคาคงไม่ปรับลดลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เนื่องด้วยปัจจัยในหลายๆ ด้าน ทั้งค่าที่ดิน ค่าวัสดุ-อุปกรณ์ ต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึง โอกาสในการก่อสร้างที่ลดน้อยลง ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การลงทุนในส่วนนี้จะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น

Rate this item
(0 votes)
Last modified on Sunday, 17 July 2022 11:23
BizFocus

Selfies labore, leggings cupidatat sunt taxidermy umami fanny pack typewriter hoodie art party voluptate. Listicle meditation paleo, drinking vinegar sint direct trade.

www.themewinter.com

Leave a comment

Make sure you enter all the required information, indicated by an asterisk (*). HTML code is not allowed.

Page Visitor

010695024
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
1046
5814
17464
41740
147900
10695024
Your IP: 3.17.128.129
2024-05-08 04:27
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.