Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
วอริกซ์ ปักธงรุกธุรกิจเฮลท์
วอริกซ์ เดินหน้าแผนเชิงกลยุทธ์ เสริมแกร่งธุรกิจหลัก เพื่อเดินหน้าเติบโตมากขึ้นและมั่นคง ชู “วอริกซ์ เฮลท์” แกนหลักในการขยายแบรนด์ ปลื้มสาขาแรกกระแสตอบรับดี เล็งเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง คาด 5 ปีสร้างรายได้ 25% ของรายได้รวม โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 1,000 ลบ. พร้อมแต่งตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ นำเม็ดเงินลงทุนทั้งอีคอมเมิร์ซและซอฟท์แวร์ หนุนยอดขายออนไลน์มากกว่า 50% ต่อยอดภารกิจแห่งความภาคภูมิใจ ในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ผลิตชุดนักฟุตบอลทีมชาติไทยยาวนาน 12 ปี
คุณวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด
คุณวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในปี 2564 ยังคงมีความลำบาก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทุกด้านอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มต้นเกิดการแพร่ระบาดระลอกแรก หนึ่งในนั้น คือ การดึงเอาแผนธุรกิจ 3 ปีข้างหน้าที่เราวางไว้อยู่แล้ว มาลงมือทำเลยในปีนี้ ได้แก่ ธุรกิจบริการสุขภาพ หรือ วอริกซ์ เฮลท์ ซึ่งจะเป็นการขยายธุรกิจออกไปมากกว่าเสื้อผ้ากีฬา และได้มีการเปิดตัวคลินิกกายภาพสาขาแรกที่สเตเดียมวันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ วอริกซ์ เฮลท์ จะรวมถึงวิทยาศาสตร์การกีฬา ทั้งเรื่องโภชนาการ การพักผ่อน อาหาร ตลอดจนการดูแลและสร้างความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงอย่างแท้จริง และสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กับโรคต่างๆ ได้ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักกีฬาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
“ที่ผ่านมา ภาพชัดๆ ของแบรนด์วอริกซ์ คือ เสื้อผ้ากีฬา ส่วนอุปกรณ์กีฬายังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งตามแผนเดิมนั้น การสร้างกลุ่มสินค้าและบริการภายใต้ร่มของแบรนด์วอริกซ์ เราวางไว้ว่า น่าจะใช้เวลา 3 ปี จึงค่อยขยายภาคไปยังธุรกิจเฮลท์ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ที่ครอบคลุมและครบมากขึ้นกว่าสปอร์ตแวร์ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตอกย้ำว่าแนวทางขยายธุรกิจและการสร้างแบรนด์ไปในทิศทางดังกล่าวนั้นถูกต้อง และสามารถดำเนินการทันที เราจึงดึงแผนธุรกิจนี้มาทำให้เร็วขึ้น โดยได้มีการเปิดตัวคลินิกกายภาพสาขาแรก ไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 ” คุณวิศัลย์กล่าว
ปัจจุบัน วอริกซ์ เฮลท์ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี โดยมีกลุ่มนักกีฬาเข้ามาใช้บริการในสัดส่วน 60% ประกอบด้วย นักฟุตบอลอาชีพ นักวิ่ง นักปั่นจักรยาน และนักกอล์ฟ ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย หรือคนที่มีอาการบาดเจ็บ หรือคนที่ยังขาดความเข้าใจในการสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นบุคคลทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหาจากโรคออฟฟิศซินโดรม
ทั้งนี้ จากผลตอบรับดังกล่าว คาดว่าทิศทางของคลินิกกายภาพในอนาคต น่าจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากการที่คนให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและความแข็งแรงมากขึ้นแล้ว ยังได้รับปัจจัยบวกด้านอื่นๆ เช่น สังคมไทยเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุ หรือ Aging society ซึ่งผู้สูงวัยมีความจำเป็นต้องสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมากขึ้น รวมถึง ธุรกิจคลินิกสุขภาพยังสามารถเบิกประกันสุขภาพและสวัสดิการของภาครัฐได้อีกด้วย เป็นต้น
คุณวิศัลย์ กล่าวต่อว่า สืบเนื่องจากคลินิกกายภาพสาขาแรกที่สเตเดียมวันได้รับกระแสตอบรับที่ดี ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนขยายสาขา 2 โดยทำเลที่มองไว้จะอยู่ในโซนวิภาวดี คาดว่าจะเปิดตัวภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ขณะที่ สาขา 3 มีแผนจะเปิดตัวในโซนพระรามเก้า ช่วงต้นปี 2565 โดยแต่ละสาขาจะเป็นรูปแบบมาตรฐาน ใช้งบลงทุนประมาณกว่า 10 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายของธุรกิจเฮลท์ภายในระยะเวลา 5 ปี จะสร้างรายได้ 25% ของพอร์ตรวม
ขณะเดียวกัน นอกจากเหนือจากการเปิดตัวคลินิกกายภาพ บริษัทยังคงเดินหน้าแกนหลักที่สำคัญของธุรกิจต่อไป โดยมุ่งขยายธุรกิจผลิตเสื้อผ้ากีฬาอย่างต่อเนื่องตามแผนงานเดิม แต่จะมีการปรับเปลี่ยนภาพชัดที่ผู้บริโภคคุ้นเคย จากการผลิตเสื้อฟุตบอล ขยายสู่กลุ่มกีฬาอื่นๆ มากขึ้น ได้แก่ เสื้อวิ่ง กอล์ฟ และบาสเก็ตบอล ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน การผลิตเสื้อผ้ากีฬายังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วน 90%
ด้านภาพรวมการดำเนินธุรกิจของวอริกซ์ สปอร์ตในปี 2563 ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว ปรากฏว่ายอดขายออนไลน์เติบโตเป็นอย่างมาก โดยมีลูกค้าเข้าเว็บไซต์ซื้อสินค้ามากขึ้นถึง 20 เท่าตัว ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายในพอร์ทรวมเติบโตเพิ่มเป็น 20% จากเดิมที่มีประมาณ 10% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง
ส่วนยอดขายรวมปี 2563 ปิดที่กว่า 650 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 700 ล้านบาท แต่จุดสำคัญอยู่ที่ การมีผลกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ถึงประมาณ 2-3 เท่าตัว ซึ่งเป็นผลมาจาก การควบคุมต้นทุนในการสั่งซื้อสินค้าที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการสั่งซื้อสินค้าในระยะยาวและมีการบริหารซัพพลายเชนร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องลดลง รวมถึง การบริหารช่องทางการขาย ทั้งออนไลน์ ช้อปและคาราวาน
“การเติบโตของยอดขายออนไลน์เป็นผลมาจากการลงทุนอัพเกรดเว็บไซต์รองรับลูกค้าออนไลน์เมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขณะเดียวกัน ยังมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจเข้ามาจำหน่ายสินค้าที่ไม่ใช่คู่แข่งในช่องทางออนไลน์ของเราอีกด้วย เช่น นวม, อุปกรณ์ออกกำลังกาย และอุปกรณ์มวยของแบรนด์ทวิน เป็นต้น ซึ่งจะเป็น CO-Brand และพัฒนาสินค้าร่วมกันในอนาคต” คุณวิศัลย์กล่าว
สำหรับเป้าหมายยอดขายรวมปี 2564 ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ท้าทายในสถานการณ์ปัจจุบัน และบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จ โดยรูปแบบพอร์ตการดำเนินงานจะเปลี่ยนแปลงจากเดิมค่อนข้างมาก และช่องทางจำหน่ายออนไลน์จะเป็นหัวหอกหลักของการทำธุรกิจในอนาคต ทั้งนี้ สิ่งที่บริษัทนำอินโนเวชันมาใช้ในการสร้างยอดขาย คือ B2B2C หรือ ออนไลน์และออฟไลน์คู่กัน ซึ่งมีแผนที่จะติดตั้งตู้คีออสแห่งแรกที่รถไฟฟ้าสถานีสยาม โดยมีเจ้าหน้าที่ให้บริการลูกค้า เนื่องจาก เป็นจุดที่สาธารณะและมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก
ส่วนจุดที่มีคนสัญจรเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีช้อปบริการ เช่น โลตัสอ่อนนุช จะมีการติดตั้งตู้ที่มีสินค้าพร้อมโทรทัศน์ ซึ่งจะมีการยิงโฆษณาในรัศมีของพื้นที่นั้นๆ หากลูกค้ามีความสนใจจะไปสแกนคิวอาร์โค๊ดหน้าตู้ หรือตัวสินค้า ซึ่งจะมีการนำมาสู่การช้อปปิ้งที่หน้าจอมือถือของลูกค้า ขณะที่ ช้อปที่มีสินค้าให้และลูกค้าสามารถไปเลือกซื้อได้ แต่จะไม่มีสินค้า ลูกค้าจะต้องซื้อผ่านทางช่องทางออนไลน์เท่านั้น โดยจะเริ่มดำเนินการที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตร โดยพร้อมจัดส่งสินค้าภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับคำสั่งซื้อ
คุณวิศัลย์ กล่าวต่อถึงแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ว่า ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมที่จะนำบริษัทเข้าสู่ทั้งตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment-MAI) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand-SET) โดยในส่วนของงานระบบได้มีการพัฒนารองรับมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว รวมถึง มีความพร้อมในการยื่นเสนอขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) คาดว่า เร็วสุดน่าจะดำเนินการได้ในช่วงปลายปีนี้ หรือช่วงต้นปี 2565
สำหรับเม็ดเงินที่ได้มาจากการการเสนอขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) บริษัทจะนำมาใช้ในการลงทุนด้านอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์แวร์ เป็นหลัก ซึ่งจะสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการสร้างยอดขายออนไลน์ให้ได้มากกว่า 50% ของธุรกิจรวมทั้งหมด ประกอบกับที่ผ่านมา บริษัทจะนำกำไรสะสมมาลงทุนในซอฟต์แวร์มาโดยตลอด เนื่องจาก ธนาคารไม่ได้มีการปล่อยกู้สินเชื่อสำหรับการลงทุนซอฟต์แวร์
“การลงทุนด้านอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์แวร์ หากผู้ประกอบการรายใดลงทุนก่อนจะเกิดความได้เปรียบทางธุรกิจ เพราะจะให้ตอบแทนที่ชัดเจนในระยะเวลาที่รวดเร็ว ที่ผ่านมา เราไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเงินทุนหมุนเวียนมาจากแบงก์ ซึ่งจะใช้สำหรับการปล่อยเครดิต หรือซื้อสินค้าเท่านั้น ส่วนการลงทุนซอฟต์แวร์จะทำได้เฉพาะตามกำไรที่ได้มา ซึ่งหากสามารถลงทุนด้านซอฟท์แวร์ได้อย่างเต็มที่ เชื่อว่าการเติบโตของบริษัทจะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะช่องทางออนไลน์ของเรามีศักยภาพไม่แพ้เอาท์เลต นอกจากนี้ ในปัจจุบัน เราอยู่ระหว่างการดำเนินแผนงานสร้างแพลตฟอร์ม อเมซอนยูเอส และ อเมซอนเจแปน ซึ่งจะช่วยสร้างยอดขายออนไลน์ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว” คุณวิศัลย์กล่าว
ส่วนแผนงานเดิมที่จะมีการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากจากการเสนอขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) มาดำเนินการในส่วนของโปรเจคสมาร์ทแวร์เฮ้าท์ โรบอทติกส์ และโลจิสติกส์ แต่ปัจจุบัน บริษัทไม่สามารถรอได้ จึงเป็นพันธมิตรกับทีวี ไดเรค ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง มีศักยภาพในการบริหารแวร์เฮ้าส์ที่ดี โดยจะเชื่อมต่อผ่านทางระบบและมีต้นทุนต่ำ ดังนั้น จึงช่วยลดต้นทุนซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ด้านจุดเด่นขององค์กรที่ส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างดี โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัทยังคงดูแลพนักงานทุกคนเป็นอย่างดี และพยายามยามให้พนักงานได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบก็ตาม 2.การที่บริษัททำงานกับ DATA ได้ดี โดยบริหารจัดการทุกภาคส่วนด้วย DATA รวมถึงนำระบบ AI เข้าไปใช้ในหลายโหมดธุรกิจ เพื่อช่วยให้คนทำงานได้เร็วขึ้น 3.มีความยืดหยุ่นและมีการปรับแผนการทำงานได้ค่อนข้างรวดเร็ว
คุณวิศัลย์ กล่าวในตอนท้ายว่า การได้รับเลือกให้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ผลิตเสื้อกีฬาและทำแบรนด์ดิ้งให้แก่ฟุตบอลทีมชาติไทย คือ ภารกิจแห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งตนไม่ได้มองภาพเพียงแค่เป็นคู่สัญญากับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเท่านั้น แต่วอริกซ์มีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยกระดับวงการฟุตบอลไทย เป็นภารกิจแห่งเกียรติยศที่ได้ใช้จุดแจ็งที่เรามี มาทำงานให้กับประเทศ โดยควบคู่ไปกับการยกระดับแบรนด์ดิ้งของทั้งวอร์ริกซ์ และสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยให้ดีขึ้นยิ่งๆ ขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำภาพลักษณ์ การทำออนไลน์ การทำคอนเท็นต์ และการทำสินค้า โดยจะดำเนินการภายใต้แคมเปญที่เรียกว่า MISSION OF HONOR
“ในฐานะของผู้ผลิตชุดฟุตบอลทีมชาติไทยมาตลอดระยะเวลา 4 ปี (2560 - 2563) และล่าสุด ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาวงการกีฬาฟุตบอลไทยต่อเนื่องอีก 8 ปี (2564 - 2571) รวมทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนับเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เราเป็นแบรนด์คนไทย ดังนั้น จึงนับเป็นภารกิจที่เราทุกคนในองค์กรมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และมีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” คุณวิศัลย์กล่าว
Selfies labore, leggings cupidatat sunt taxidermy umami fanny pack typewriter hoodie art party voluptate. Listicle meditation paleo, drinking vinegar sint direct trade.
www.themewinter.comMake sure you enter all the required information, indicated by an asterisk (*). HTML code is not allowed.