“WHAUP” เดินเกมรุก ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี 2.7 หมื่นล้านบาท พร้อมอัดงบลงทุน 1.85 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี
เร่งสยายปีกต่อยอดธุรกิจน้ำ-ไฟฟ้า ตอกย้ำโซลูชันนวัตกรรมใหม่ๆ สู่ความยั่งยืน
บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) ประกาศเกมรุกธุรกิจสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านโซลูชันนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และพลังงานหมุนเวียน ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2566-2570) ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมอัดงบลงทุน 5 ปี 18,500 ล้านบาท หนุน EBITDA Margin ให้อยู่ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50%
นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ และศักยภาพการเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ที่มียอดการจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำรวมถึง 145 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 683 เมกะวัตต์ โดยได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7.7 เมกะวัตต์ บนพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 ซึ่งถือเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรางวัล Best Innovative Company Awards จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากการพัฒนานวัตกรรม Peer-to-Peer Energy Trading ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านพลังงานจากการรับซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ รวมทั้งบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนประจำปี 2565 (THSI) ติดต่อกันต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในฐานะ “Sustainable Stocks” ที่มี Business Model สร้างผลประโยชน์สุทธิในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี
จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ เร่งขับเคลื่อนในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 บริษัทฯ วางแผนและทิศทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อเดินเกมรุกผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน โดยมุ่งเน้นต่อยอดธุรกิจทั้งภายใน และภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศและประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2566 - 2570) ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ไว้ที่ 18,500 ล้านบาท และยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% ผ่านแผนยุทธ์ศาสต์ทางธุรกิจดังนี้
ธุรกิจสาธารณูปโภค โดยในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม และได้มีการตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำทั้งหมดที่ระดับ 168 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจาก 145 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2565 แบ่งเป็นการเติบโตของยอดจำหน่ายน้ำและบริหารจัดการน้ำภายในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 135 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566 ภายใต้ปัจจัยขับเคลื่อนจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้น้ำของลูกค้า ทั้งจากลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายน้ำในปี 2565 คิดเป็นปริมาณน้ำรวมทั้งสิ้น 15 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการดำเนินการในโครงการโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสีย เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้น้ำ อาทิ โรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย โดยมีกำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และยังเตรียมดำเนินการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยมีกำลังการผลิตรวม 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
พร้อมทั้งได้มีการดำเนินการโครงการเพื่อจัดหาน้ำดิบทดแทน เพื่อความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำจำนวน 2 โครงการ มีกำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรกมีขึ้นเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2566
ส่วนการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภค ในประเทศเวียดนาม ซึ่งให้บริการอยู่ 3 โครงการนั้น คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ายอดจำหน่ายน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้า และพื้นที่ให้บริการน้ำประปาที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
ธุรกิจด้านพลังงาน บริษัทฯ วางกลยุทธ์โดยการมุ่งขยายธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมทั้งสำรวจหาตลาดใหม่ในประเทศอื่น ๆ ภายใต้แผนการขับเคลื่อนในการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมุ่งเน้นหาโอกาสใหม่ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) พลังงานไฮโดรเจน และการซื้อขายคาร์บอน เป็นต้น โดยในปี 2566 บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะอุตสาหกรรม และพลังงานประเภทอื่น ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้ายอดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสะสมเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ จากปีก่อนที่มียอดเซ็นสัญญาสะสม 136 เมกะวัตต์ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมเสนอโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งเปิดรับซื้อโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยมีโครงการของบริษัทฯ ผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิคจำนวน 5 โครงการ และคาดว่าจะทราบผลการตัดสินรอบสุดท้ายภายในเดือนมีนาคมนี้
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ให้ความสำคัญ ในเรื่องการนำโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ต่อยอดทางธุรกิจ โดยได้ร่วมมือกับ ปตท. และ Sertis ในการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และได้เริ่มนำไปใช้ในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ โดยมีลูกค้าชั้นนำเข้าร่วมแล้วจำนวน 54 ราย
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างแผนการศึกษาและพัฒนาให้สามารถเกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในแพลตฟอร์มดังกล่าวได้อีกด้วย โดยเบื้องต้นได้ลงทะเบียนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ I-REC หรือใบรับรองสีเขียวที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน I-REC
“WHAUP มีความมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานในรูปแบบต่างๆทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050)” นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย