November 26, 2024

“WHAUP” เดินเกมรุก ตั้งเป้ารายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท

User Rating: 2 / 5

Star ActiveStar ActiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

“WHAUP” เดินเกมรุก ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี 2.7 หมื่นล้านบาท พร้อมอัดงบลงทุน 1.85 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี

เร่งสยายปีกต่อยอดธุรกิจน้ำ-ไฟฟ้า ตอกย้ำโซลูชันนวัตกรรมใหม่ๆ สู่ความยั่งยืน

บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) ประกาศเกมรุกธุรกิจสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านโซลูชันนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และพลังงานหมุนเวียน ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2566-2570) ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมอัดงบลงทุน 5 ปี 18,500 ล้านบาท หนุน EBITDA Margin ให้อยู่ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50%

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ และศักยภาพการเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ที่มียอดการจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำรวมถึง 145 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 683  เมกะวัตต์ โดยได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7.7 เมกะวัตต์ บนพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 ซึ่งถือเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรางวัล Best Innovative Company Awards จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากการพัฒนานวัตกรรม Peer-to-Peer Energy Trading ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านพลังงานจากการรับซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ รวมทั้งบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนประจำปี 2565 (THSI) ติดต่อกันต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในฐานะ “Sustainable Stocks” ที่มี Business Model สร้างผลประโยชน์สุทธิในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี

จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ เร่งขับเคลื่อนในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 บริษัทฯ วางแผนและทิศทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อเดินเกมรุกผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน โดยมุ่งเน้นต่อยอดธุรกิจทั้งภายใน และภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศและประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2566 - 2570) ที่ 27,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ไว้ที่ 18,500 ล้านบาท และยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% ผ่านแผนยุทธ์ศาสต์ทางธุรกิจดังนี้

          ธุรกิจสาธารณูปโภค โดยในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม และได้มีการตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำทั้งหมดที่ระดับ 168 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจาก 145 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2565 แบ่งเป็นการเติบโตของยอดจำหน่ายน้ำและบริหารจัดการน้ำภายในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 135 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566 ภายใต้ปัจจัยขับเคลื่อนจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้น้ำของลูกค้า ทั้งจากลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายน้ำในปี 2565 คิดเป็นปริมาณน้ำรวมทั้งสิ้น 15 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการดำเนินการในโครงการโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสีย เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้น้ำ อาทิ โรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย โดยมีกำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และยังเตรียมดำเนินการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยมีกำลังการผลิตรวม 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

พร้อมทั้งได้มีการดำเนินการโครงการเพื่อจัดหาน้ำดิบทดแทน เพื่อความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำจำนวน 2 โครงการ มีกำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรกมีขึ้นเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง  ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2566

ส่วนการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภค ในประเทศเวียดนาม ซึ่งให้บริการอยู่ 3 โครงการนั้น คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ายอดจำหน่ายน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้า และพื้นที่ให้บริการน้ำประปาที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 

          ธุรกิจด้านพลังงาน บริษัทฯ วางกลยุทธ์โดยการมุ่งขยายธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมทั้งสำรวจหาตลาดใหม่ในประเทศอื่น ๆ ภายใต้แผนการขับเคลื่อนในการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมุ่งเน้นหาโอกาสใหม่ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) พลังงานไฮโดรเจน และการซื้อขายคาร์บอน เป็นต้น โดยในปี 2566 บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะอุตสาหกรรม และพลังงานประเภทอื่น ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้ายอดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสะสมเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ จากปีก่อนที่มียอดเซ็นสัญญาสะสม 136 เมกะวัตต์ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมเสนอโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งเปิดรับซื้อโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยมีโครงการของบริษัทฯ ผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิคจำนวน 5 โครงการ และคาดว่าจะทราบผลการตัดสินรอบสุดท้ายภายในเดือนมีนาคมนี้

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ให้ความสำคัญ ในเรื่องการนำโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ต่อยอดทางธุรกิจ โดยได้ร่วมมือกับ ปตท. และ Sertis ในการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และได้เริ่มนำไปใช้ในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ โดยมีลูกค้าชั้นนำเข้าร่วมแล้วจำนวน 54 ราย

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างแผนการศึกษาและพัฒนาให้สามารถเกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในแพลตฟอร์มดังกล่าวได้อีกด้วย โดยเบื้องต้นได้ลงทะเบียนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ I-REC หรือใบรับรองสีเขียวที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน I-REC

“WHAUP มีความมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานในรูปแบบต่างๆทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050)” นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

Page Visitor

012617978
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
20830
19102
53783
425769
432245
12617978
Your IP: 18.118.226.167
2024-11-26 13:40
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.