สยามพูลทรัพย์กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง
สยามพูลทรัพย์เปิดแผนการดำเนินงาน ทุ่ม 50 ลบ. เร่งขยายการลงทุนหนุนต่อยอดธุรกิจ วางเป้าการเติบโตปีนี้ 10% ส่วนปีหน้าเพิ่มอีก 30% ชูจุดเด่นสินค้าที่มีนวัตกรรมบวกจุดขายที่เด่นชัด ภายใต้กลยุทธ์ PURPLE OCEAN ลั่น 51 ปีมีความมั่นคงและแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ
คุณชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณวิลาสินี กิตติเกษมศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สยามพูลทรัพย์ อินเตอร์ เคมีคอล จำกัด ผู้บุกเบิกธุรกิจและจัดจำหน่ายสเปรย์ปรับอากาศเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ คิงส์สเตลล่า” (King’s Stella) เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในหลายๆ ด้านเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต รวมทั้งรองรับการเติบโตของตลาด ซึ่งประกอบด้วยการขยายคลังสินค้าแห่งใหม่, การพัฒนาระบบซอฟท์แวร์, การพัฒนาด้านมาร์เก็ตติ้ง, การแตกไลน์สินค้าใหม่ และการบุกตลาด AEC ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
โดยวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ เนื่องจากคลังสินค้าเดิมของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยพัฒนาการ 40 บนพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ได้ใช้งานมายาวนานถึง 20 ปี ประกอบกับปัจจุบันได้ใช้งานเต็มพื้นที่แล้ว สำหรับคลังสินค้าแห่งใหม่จะตั้งอยู่ที่โรงงานบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่ประมาณ 3,000-4,000 ตารางเมตร ซึ่งจะสามารถเก็บสินค้าได้เพิ่มอีก 3 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้งบในการลงทุนกว่า 30 ล้านบาท (ค่าก่อสร้างและค่าที่ดิน) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบการก่อสร้าง คาดจะเสร็จในช่วงปลายปีนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 6 เดือน โดยคลังสินค้าแห่งใหม่จะเป็นคลังสินค้าหลักสำหรับการส่งออก รวมทั้งการกระจายสินค้าไปยังโมเดิร์นเทรดและกลุ่มลูกค้าในโซนภาคตะวันออก เพราะมีเส้นทางคมนาคมที่ง่ายและสะดวกต่อการขนส่งสินค้า
ส่วนการพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ บริษัทจะเน้นให้เข้าสู่ยุคไอทีมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของโลจิสติกส์และการสั่งสินค้า โดยจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์แทนการใช้แรงงานคน ซึ่งจะทำให้เกิดความแม่นยำและชัดเจน และจะส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้าในระยะเวลาที่รวดเร็ว ตรงต่อเวลา คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท
ด้านการพัฒนาด้านมาร์เก็ตติ้ง สืบเนื่องจาก ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้ลงลึกมากกว่าเดิมที่เข้าไปในระดับจังหวัดและอำเภอ ซึ่งต่อไปจะต้องเจาะลึกเข้าสู่ระดับตำบล และในปีต่อๆ ไปอาจจะต้องเข้าไปยังหมู่บ้าน ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดย จะใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งปีอยู่ที่ 10 ล้านบาท
สำหรับการแตกไลน์สินค้าใหม่ เนื่องจาก บริษัทมองว่าขณะนี้ทิศทางเศรษฐกิจเริ่มดี มีสัญญาณในเชิงบวกมากขึ้น โดยปัญหาต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายไปแล้ว และบริษัทพร้อมที่จะเดินหน้าต่อ ทั้งนี้ บริษัทมีทีม R&D ของบริษัทเองประมาณ 10 คน เพื่อพัฒนาสินค้าเก่าให้ทันสมัยและพัฒนาสินค้าใหม่ทั้งหมด ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าจะพัฒนาสินค้าใหม่ 20-30 ผลิตภัณฑ์ต่อปี อาทิ น้ำหอมปรับอากาศในรถยนต์, น้ำยาถูพื้นสูตรใหม่ และแชมพูสุนัขกลิ่นใหม่ เป็นต้น โดยงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยพัฒนาสินค้าใหม่ในแต่ละปีจะอยู่ที่ 5% ของผลกำไร
นอกเหนือจากการพัฒนาตลาดในประเทศแล้ว บริษัทยังมีแผนบุกตลาด AEC มากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้ชัดเจน โดยจะเพิ่มศัยกาพในการทำตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีแผนกส่งออกอยู่แล้ว ทั้งนี้ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปทำตลาดดังกล่าวมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งเกือบครบทุกประเทศยกเว้นอินโดนีเซีย เพราะตั้งอยูไกล แต่ในระยะอันใกล้นี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปทำตลาด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล เพราะอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และการไปบุกตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจะต้องหาพาร์ทเนอร์ที่มีความแข็งแกร่งพอสมควร
ผู้บริหารกล่าวต่อถึงผลดีของการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ว่า จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของสินค้าได้ง่ายขึ้นในส่วนโลจิสติกส์ อีกทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานก็สามารถทำได้ง่ายเช่นกัน ส่วนผลกระทบที่ได้รับคือข้อกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าต่างๆ เช่น การขึ้นทะเบียนสินค้า, การเข้มงวดในการนำเข้า ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบปัญหาดังกล่าวพอสมควร ส่วนด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ AEC บริษัทได้ดำเนินการมานานแล้ว ทั้งในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานสากลและการปรับในส่วนของบุคลากร ซึ่งขณะนี้ได้มีชาวต่างชาติมาร่วมงานด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความคุ้นเคยกับการสื่อสาร
“การเข้ามาของ AEC จะมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผลดีมากกว่า เพราะตนมองว่าเรามีศักยภาพในการทำสินค้าเหนือกว่าคู่แข่งในภูมิภาคนี้ มีการเปิดตลาดได้มากกว่า หากเขาเปิดประเทศมากขึ้น เราก็สามารถเข้าไปทำตลาดได้มากยิ่งขึ้น” ผู้บริหารกล่าว
ด้านเป้าผลประกอบการในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มจากปี 2556 ที่ผ่านมาอีก 10% ส่วนในปี 2558 ตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มจากปีนี้อีก 30% โดยมีกลยุทธ์สินค้าใหม่เข้ามาเสริมทัพ การเพิ่มทีมงานมาเก็ตติ้งและทีมขาย รวมทั้ง การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่ไม่ใช้ห้างสรรพสินค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่ากลุ่ม SME หรือร้านค้าทั่วไปยังมีศักยภาพในการทำตลาดต่อสู้กับกลุ่มโมเดิร์นเทรดได้ ทั้งนี้ บริษัทนับเป็นกลุ่ม SME เช่นกัน ดังนั้นจึงมีความต้องการสนับสนุนของธุรกิจของคนไทยด้วยกันเอง และเชื่อว่าธุรกิจไทยอยู่ได้ด้วยคนไทย รวมทั้งอยากให้ธุรกิจไทยมีการต่อยอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานสืบไป
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์คือสินค้าที่มีคุณภาพที่คิดค้นและพัฒนาด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ โดยการสร้างสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีจุดขายที่เด่นชัด ซึ่งจะมาจากลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง หรือ PURPLE OCEAN และเป็นแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจที่ทุกคนในองค์กรต้องจะดำเนินการร่วมกันหรือเป็นหัวใจขององค์กร โดย P-PLANING หมายถึง การวางแผนงานที่ดี U-UNIQUE หมายถึง การสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ R-REALITYหมายถึง การคิดและทำได้จริง P-PEOPLE หมายถึง ทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ L-LEAN หมายถึง การดำเนินงานที่ปราศจากความฟุ่มเฟือย E-EARTH หมายถึงการรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม
ผู้บริหารกล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทดำเนินธุรกิจครบรอบ 51 ปี ซึ่งที่ผ่านมาได้ฝาฟันวิกฤตต่างๆ มามากมาย หากเปรียบเทียบเป็นนักรบก็จะมีแผลมากมาย บริษัทเชื่อมั่นว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทมีความมั่นคงและแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง โดยมีการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งเพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตและดำเนินงานต่อไปได้ และยังคงเน้นเรื่องการ R&D เป็นสำคัญ ส่วนแผนการในอนาคตคือการทำอย่างไรที่จะผลักดันให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน ต่อเนื่องยาวนานไปได้อีก 50 ปี 100 ปี หรือ 200 ปี
“เราอยากให้ธุรกิจของเราสืบทอดยาวนานเหมือนกับญี่ปุ่นที่มีโรงแรมของครอบครัวที่ดำเนินมาเกือบ 600 ปี โดยผ่านมาเกือบ 12 รุ่น เราก็อยากเป็นอย่างนั้น แต่จุดหนึ่งที่สำคัญคือคนที่มารองรับจะต้องอยากทำด้วย ถ้าคนที่มารองรับไม่อยากทำก็จะลำบาก ทำให้ไม่เกิดการผลักดันและไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเรามีระบบโปรแกรมทายาท ไม่ใช่การสั่งแต่เป็นการปลูกฝังให้เขารู้ว่าธุรกิจนี้เป็นของเขา ถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ ซึ่งเขาก็ต้องคิดเองได้” ผู้บริหารกล่าว
ผู้บริหารกล่าวต่อว่าอยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา บริษัทได้รับการช่วยเหลือจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมค่อนข้างเยอะ ซึ่งทำให้บริษัทรู้สึกถึงคุณค่าและเติบโตมาจากจุดนี้ ดังนั้นจึงอยากให้มีโครงการต่อไปเพื่อต่อยอดให้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ อยากให้ภาครัฐดูแลธุรกิจ SME โดยเฉพาะผู้ค้าปลีกรายย่อยอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของกลุ่มโมเดิร์นเทรด ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวแข็งแกร่งก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งและมีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน
ท้ายสุด อยากให้ภาครัฐสนับสนุนด้านการส่งออก โดยอยากให้จัดทำเอกสารเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของบริษัท โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลให้แก่คู่ค้าในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือและสามารถทำธุรกิจได้รวดเร็ว เพราะหลายครั้งในการทำธุรกิจมักจะประสบปัญหาในเรื่องข้อมูลพื้นฐาน ความเป็นตัวตนขององค์กร ซึ่งในจุดนี้บริษัทต้องการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างมาก หากภาครัฐเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจังและปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อการส่งออกจะสามารถช่วยเหลือผู้ส่งออก SME ได้เป็นอย่างมาก