Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
SOLARTRON SPENDING 700 MB BOOST UP ITS BUSINESS.
Solartron spent 700 million baht to increase capacity of solar cell and panel plant from 70 to be 200 MW per year; targeting 1.7 billion baht turnover this year; revealing that many foreign investors eager to join the business.
Patama Wongtoythong, Chief Executive Officer of Solartron Public Company Limited – one of the largest leading manufacturers of multi-crystalline cells and solar panels in South East Asia, said the company has invested 700 million baht to expand the capacity of solar cells and panels in Pak Chong, Nakhon Ratchasima, adding 130 MW to existing 70 MW to per year which would increase the capacity to 200 MW per year.
This expansion will contribute to the higher efficiency of the solar cells and panels to and to the reduction of production cost. The company has signed the hire agreement with German company to be consultant. The machinery and technology have been imported from Germany as well.
“We have two solar cells and panels plants at Pak Chong in Nakhon Ratchasima province. We have begun to increase production capacity of plant 2 since the early of this year in which expecting to be completed by the end of this year. The plant 1 will be implemented in the early of next year and will be completed by the end of 2015. We have got special supports from the Office of the Board of Investment (BOI) as it is the upstream business of electricity generation.” Patama said.
In addition, Solartron plans to invest more in solar farm installation immediately once be granted for license. The lands in 20 provinces in eastern and western regions have been prepared not too far from transportation routes of the provincial electricity authority. The company has selected the area with at least 5 hours of sunlight and strong electricity transmission cables.
The company’s long-term plan is to invest more in upstream business. Currently, the company has to import raw materials such as wafers and etc. but the company will produce wafer of own design for more capable of absorbing more sunlight.
Patama said many foreign investors have contacted the company for partnering such as China and Taiwan, the countries of largest manufacturing of solar cells and panels in the world. Since they are facing tax barriers from the United States and Europe, these investors turn to ASEAN for more in which Thailand is considered the most attractive.
“Investors from China and Taiwan are facing tax barriers that cause the goods being unable to export to the United States and Europe. They have been looking for new production bases. Many investors from these two countries would like to be our partners. We are attractive for Taiwan investors because the capability to produce wafers and cell panels in which the standards are accepted by many countries. Working together with us, they would be able to exchange and support the business growth together.” Said Patama.
The company targets approximately 1.7 billion baht turnover this year or at least 30 percent growth from 1.3 billion baht turnover in previous year due to the possible earnings in Q2/2014 is in good direction as well as the company recognizes the revenue from solar cells and panels orders from Europe and solar power plant construction project of Bangchak Petroleum Public Company Limited (BCP).
In the R&D (Research & Development, the company has commissioned the institute from Germany as a consultant in all areas of production, which is carried out to ensure the quality of both strength of the circuit boards and other aspects during and after completion of R&D process.
Patama said the strengths of the company are being the manufacturer with technology ownership and designing of high performance systems, which are also the position of the company as well. In addition, the company flexibly operates business to be in accordance with the government and other countries energy policy in which the company must be ready to respond promptly.
For the trend of global market, Pattama said the usage of gas energy is declining in which turning to renewable energy for more. It would be positive to renewable energy business to grow alongside the country’s GDP. When the opening ASEAN Economic Community or AEC has come, all member countries need to grow together, therefore; Thailand shall not be passive but deliberate, learn and develop to be AEC leader.
Patama said about the corporate and personnel management that the company employs over 350 people in which the personnel are the most important for the company. The employees must have direct and professional experiences. The company has the high-quality production system, good service and entire operation process.
“Personnel need to have knowledge in the profession. Not only Bachelor’s degree when start working with us, we allow the further education and experiences with Solartron. We work as team and systematically. The social responsibility and sustainable growth in business are fostered to our employees.” Said Patama.
Solartron Public Company Limited has engaged in the production of solar panels and provided the survey, designing and installation of electricity from solar energy. The company has designed and installed more than 200,000 solar electricity systems in Thailand, especially in areas where electricity grids are not available or representing 80 percent of the solar system in all projects of government.
The company is building solar cell plant to accommodate growth in demand of domestic and global markets in which place importance on the company’s solar cell plant and benefit the country in particular. As a result, the company has been granted for tax privileges at maximum which saves costs in production and supports the responding the customer needs effectively.
ซี.พี.แลนด์ ผงาด 30 จ. อัดงบ 30,000 ลบ. ลุย 5 โปรเจค
ซี.พี.แลนด์ปักหมุด 30 จังหวัดทั่วประเทศ ตอกย้ำผู้นำอสังหาฯ รายใหญ่ในต่างจังหวัด พร้อมเปิดแผนการลงทุนต่อเนื่อง 3 ปี ทุ่ม 30,000 ลบ. เดินหน้า 5 โปรเจคเต็มพิกัด
คุณสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลา 3 ปี (2555-2557) บริษัทได้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม สำนักงานให้เช่า และโรงแรม ปัจจุบันได้เข้าไปดำเนินการแล้ว 30 จังหวัดทั่วประเทศ อาทิ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ราชบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงราย เป็นต้น โดยมีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาแล้ว และเตรียมเปิดขายกว่า 8,000 ยูนิต มูลค่า 11,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 2 โครงการ จำนวน 315 ยูนิต มูลค่า 1,122 ล้านบาท
“ที่ผ่านมาเราเติบโตอย่างมั่นคง จนกระทั่งเราได้ขยายธุรกิจสู่หัวเมืองต่างๆ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก เนื่องมาจากชื่อเสียงของเรา ทำให้สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด ณ วันนี้ เรามีโครงการที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุดเพราะเราไปก่อนเป็นอันดับแรก เราถือเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในต่างจังหวัด ซึ่งในบางจังหวัดเราเป็นรายแรกที่ไป โดยยังไม่มีผู้การประกอบรายใดเลย ต่อจากนั้นจึงมีบริษัทใหญ่จากส่วนกลางเข้ามาขยายการลงทุนในต่างจังหวัดตามเรา ในอนาคต เรามีแผนที่จะไปเปิดตัวโครงการให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพราะยังเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพยในต่างจังหวัด” คุณสุนทรกล่าว
ส่วนแผนการลงทุนของบริษัทในปีนี้และต่อเนื่องอีก 2 ปี (2557-2559) บริษัทเตรียมงบลงทุน 30,000 ล้านบาทเพื่อใช้สำหรับพัฒนา 5 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย
1. โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยในปี 2558 บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มอีก 10 จังหวัดทั่วประเทศและจะพัฒนาคอนโดมิเนียมเพิ่มอีก 3,000 ยูนิต
2. อาคารสำนักงานให้เช่า 8 อาคาร โดยมีพื้นที่รวมกว่า 55,600 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 2,700 ล้านบาท อาทิ ขอนแก่น พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช นครราชสีมา เป็นต้น ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว 3 อาคาร ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างขอประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และใบอนุญาตการก่อสร้าง
รวมทั้ง การก่อสร้างอาคารสำนักงานให้เช่าเกรกเอ ภายใต้ชื่อโครงการ CP TOWER NORTH PARK ขนาดความสูง 18 ชั้นและมีชั้นใต้ดิน บนพื้นที่ 4 ไร่ ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นอร์ธ ปาร์ค วิภาวดี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท สำหรับที่ดินดังกล่าวบริษัทได้ซื้อมานานแล้ว ปัจจุบันมีศักยภาพมากขึ้น จากแผนการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2559
3. โครงการก่อสร้างโรงแรมจำนวน 4 แห่งระดับ 5 ดาว ภายใต้แบรนด์ “ฟอร์จูน” ได้แก่ ขอนแก่น เชียงราย นครศรีธรรมราช นครราชสีมา จำนวนห้องพักประมาณ 1,000 ห้อง มูลค่าการลงทุน 3,500 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่และดีที่สุดในแต่ละจังหวัดนั้นๆ รวมทั้งจะมีสถานที่จัดสัมมนาและจัดเลี้ยง โดยจะเป็นโรงแรมที่บริษัทดำเนินการสร้างเองและซื้อโรงแรมเก่าเพื่อนำมาปรับโฉม ซึ่งจะตั้งอยู่ติดริมฝั่งโขงและในตัวเมือง ขณะนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 322 ห้อง ส่วนโรงแรมที่ได้เปิดให้บริการแล้วก่อนหน้านี้คือที่จังหวัดนครพนม และโรงแรมลำดับต่อไปที่จะสร้างเสร็จคือที่เชียงของและนครราชสีมา
“สำหรับธุรกิจโรงแรม เรามีความรู้พอสมควร เรามีทีมงานพร้อม ตอนนี้เรากำลังสร้างแบรนด์ของเราเองคือ ฟอร์จูน ปัจจุบันคนไทยเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเองเก่งขึ้นแล้ว ไม่ต้องจ้างต่างประเทศเหมือนที่ผ่านมา เราเชื่อว่าเมื่อ AEC เปิด บริการของเราเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน เราชนะอย่างแน่นอน” คุณสุนทรกล่าว
4. โครงการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าให้เช่าจำนวน 5 แห่ง อาทิ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี พิษณุโลก และเชียงราย เป็นต้น โดยแต่ละแห่งจะมีพื้นที่ตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป มูลค่าการลงทุน 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่และออกแบบ คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปีและจะเริ่มเปิดให้บริการในปีหน้าเพื่อรองรับ AEC
5. โครงการนิคมอุตสาหกรรมซีพี อินดัสเตรียล พาร์ค ระยอง บนพื้นที่ 3,140 ไร่ มูลค่าการลงทุน 7,754 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาตประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2558 ในรูปแบบการสร้างโรงงานให้เช่าและขายที่ดินให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมสะอาดหรืออุตสาหกรรมปลายน้ำ อาทิ อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“โครงการนี้เป็นโครงการที่เราอยากทำมานานแล้ว เราไม่ต้องการแข่งขันกับนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เราตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้บริการลูกค้า เรามั่นใจว่าลูกค้าหลักจะมาจากญี่ปุ่นและจีน เพราะเขารู้จักเราดี นอกจากนี้ จะเน้นในเรื่องระบบสาธารณูปโภคเพื่อตอบความต้องสนองการของนักลงทุน และในอนาคต ยังมีแผนที่จะลงทุนก่อสร้างโรงผลิตไฟฟ้า SPP ขนาด 130-140 เมกะวัตต์อีก 2 แห่ง มูลค่าค่าการลงทุน 6,500 ล้านบาท/แห่ง โดยจะนำกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต” คุณสุนทรกล่าว
ด้านเป้ารายรวมในปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการให้เช่าและบริการ 75% ส่วนอีก 25% จะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในอนาคตภายใน 3 ปี บริษัทจะปรับสัดส่วนรายได้ให้อยู่ 50:50 โดยผลกำไรในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้ตามเป้าหมายไว้ สำหรับในปี 2588 ตั้งเป้าจะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท ในปี 2559 เพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท และในปี 2560 จะอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยก่อนหน้านี้ได้เจรจาซื้อโรงแรม และอาคารสำนักงานที่ออสเตรเลีย และอังกฤษไว้ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะราคาสูงเกินไป รวมทั้งได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อลงทุนในเมียนมาร์ โดยจะเน้นไปที่อาคารสำนักงานและโรงแรมเป็นหลัก
"เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ" ปักธงฟิตเนสสาขา 2
เวอร์จิ้น แอ็คทีฟฟิตเนส คลับเตรียมเปิดตัวสาขา 2 “ดิ เอ็มควอเทียร์” บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตรใหญ่ที่สุดในอาเซียนเป็นสาขาที่ 2 ด้วยงบลงทุนกว่า300 ล้านบาท ชูจุดเด่นอุปกรณ์ฟิตเนสมาตรฐาน สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และนวัตกรรมที่ทันสมัย ฟุ้งสาขาแรกได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
คุณภัสดา สัตถาเจริญ หัวหน้าฝ่ายการตลาด (ประเทศไทย)บริษัท เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ดำเนินธุรกิจในการออกกำลังกาย ห้องยิม สระว่ายน้ำ ภายใต้แบรนด์ “เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ” เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมเปิดตัวสาขาที่ 2 ภายใต้ชื่อเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ เอ็มควอเทียร์บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุนกว่า300 ล้านบาทจะเปิดให้บริการพร้อมกับการเปิดตัวของศูนย์การค้าดิ เอ็มควอเทียร์ ในไตรมาสแรก ปี 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยและยังไม่มีที่ใดดำเนินการมาก่อน
“เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ เอ็มควอเทียร์ใช้งบลงทุนกว่า300 ล้านบาท/สาขา แต่เราไม่ได้หวังผลกำไรเป็นหลัก เพราะต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างความสบายใจให้แก่สมาชิกผู้ที่มาใช้บริการ ซึ่งจะเห็นได้จากdkiออกแบบในสไตล์โมเดิร์น โดยจะให้ความสำคัญในแต่ละโซนอย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น มีมุมกาแฟ, มุมทำงาน, มุมคอมพิวเตอร์เป็นต้น” คุณภัสดากล่าว
ทั้งนี้ ก่อนที่จะเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย บริษัทได้มีการทำแบบสำรวจมาเป็นเวลากว่า2-3 ปีในเรื่องของไลฟ์สไตล์ ความชื่นชอบ รูปแบบของการออกกำลังกาย รวมทั้งสถานที่ที่จะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด นอกจากการศึกษาหาข้อมูลแล้วจะมีการออกแบบภายในฟิตเนส คลับและรูปแบบของโปรแกรมการออกกำลังกายที่ทันสมัยและเหมาะสมสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยให้ได้มากที่สุด
สำหรับสาขาแรกที่ได้เปิดตัวคือ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ปัจจุบันได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีและมีลูกค้าแล้ว 2,500 คน โดยคลับนี้สามารถรองรับลูกค้าได้มากถึง 6,500 คน
คุณภัสดากล่าวต่อถึงจุดเด่นของเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ฟิตเนส คลับคืออุปกรณ์ฟิตเนสที่ได้มาตรฐาน, สระว่ายน้ำในร่มขนาดใหญ่ความยาว20 เมตร,สระน้ำวนอควาเลาจ์ขนาดใหญ่, ห้องอาบน้ำร้อนและน้ำเย็นไอซ์รูมสตีมรูม,ห้องฮิมาลายัน ล็อค ซอลท์,ผาปีนเขาสูง 9 เมตร, ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งมีล็อคเกอร์ที่ใช้ระบบวีสแบรนด์เกือบ 1,000 ตู้, High Altitude Studio, Thirty HIIT zone, Mind & Body Studio, คลาสสอนกว่า 343 คลาสต่ออาทิตย์และนวัตกรรมฟิตเนสใหม่ๆ อีกมากมายที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
นอกจากนี้เวอร์จิ้น แอ็คทีฟยังนำ Sleep pods ซึ่งเป็น Catnap Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยสำหรับการพักผ่อนในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเครื่องที่ตั้งระยะเวลาในการนอนหลับและปลุกให้ตื่นในระยะเวลา 20 นาที โดยเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการพักผ่อนสั้นๆ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบห้องและใช้แสงไฟภายในห้องที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายด้วย
“เราให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ทุกอย่าง โดยอุปกรณ์ฟิตเนสจะนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด เราใช้เทคโนโลยีที่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง“TechnoGym” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและทุกบริษัทในวงการฟิตเนสนิยมใช้เป็นส่วนใหญ่โดยรุ่นที่ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ได้นำเข้ามาประเทศไทยนั้นเป็นรุ่น Techno Gym Artisซึ่งเป็นโมเดลรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ฟิตเนสแบรนด์อื่นยังไม่นำเข้ามาใช้ สมาชิกของ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ จึงได้ประโยชน์ในการใช้เทคโนโลยีล่าสุดนี้ได้มากกว่าฟิตเนสแบรนด์อื่น
เรามีความมั่นใจในศักยภาพและมาตรฐานของนวัตกรรมของแบรนด์นี้เป็นอย่างมากเนื่องจากมีการผลิตที่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องการออกกำลังกายให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้ง การตกแต่งภายในที่มีความสวยงามและมีอุปกรณ์ส่วนตัวให้บริการ เราต้องการให้เป็นมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับสาขาอื่นๆ ของเวอร์จิ้น แอ็คทีฟทั่วโลก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากที่สุด” คุณภัสดากล่าว
ด้านรูปแบบการใช้บริการ บริษัทได้มีการกำหนดไว้แบบเดียว คือ จ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า 3,000 บาท มีอายุการใช้งานตลอดชีพพร้อมค่าบริการ 4 อาทิตย์แรกที่ราคา 2,580 บาท หลังจากนั้นหากลูกค้าสนใจใช้บริการต่อไปจะคิดค่าบริการเริ่มต้นครั้งละ 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 645 บาท และหากต้องการหยุดเล่นเพราะมีธุระ ก็สามารถฟริซการเป็นสมาชิก โดยค่าฟรีซจะคิดบริการที่อาทิตย์ละ 150 บาท (ขั่นต่ำ 4 อาทิตย์ขึ้นไป) และกลับมาใช้ใหม่ก็จะคิดค่าบริการเป็นสัปดาห์โดยไม่ต้องสมัครใหม่ ด้านช่องทางการชำระค่าบริการจะตัดผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น
“ลูกค้าที่ถือบัตรของเรา สามารถใช้บริการได้ทุกสาขาทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะเน้น คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจในสุภาพ เป็นต้น ในอนาคตเราตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครบ 10 สาขาภายใน 5 ปี สำหรับสาขาลำดับต่อไปที่เราจะเปิดในประเทศไทยมีพื้นที่รองรับไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้” คุณภัสดากล่าว
คุณภัสดากล่าวต่อว่าเวอร์จิ้น แอ็คทีฟเป็นหนึ่งธุรกิจของกลุ่มเวอร์จิ้น ทำธุรกิจด้านฟิตเนสตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันเปิดบริการ 8 ประเทศ คือ อังกฤษ, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย ,สิงคโปร์ และไทย รวมกว่า 270 สาขา นอกจากนี้ยังมองประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่งขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กลุ่มเวอร์จิ้น กรุ๊ป ที่ก่อตั้งโดย เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน โดยเวอร์จิ้นกรุ๊ปได้มีธุรกิจหลากหลาย อย่างเช่น เวอร์จิ้น กาแล็ตติก, เวอร์จิ้น ออสเตรีย, เวอร์จิ้น อเมริกา, เวอร์จิ้นยูไนท์, เวอร์จิ้นโฮเทล,เวอร์จิ้นเรดิโอ, เวอร์จิ้นโมบายล์, เวอร์จิ้นแอตแลนติก, เวอร์จิ้นมันนี่ และเวอร์จิ้นเทรน เป็นต้น
“สาขาแรกที่ได้เปิดตัวคือ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ฟิตเนส คลับ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ สาทร บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตรซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ปัจจุบันได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีและมีลูกค้าแล้วประมาณ 2,500 คน โดยคลับนี้สามารถรองรับลูกค้าได้มากกว่า 6,500 คน”
สยามพูลทรัพย์กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง
สยามพูลทรัพย์เปิดแผนการดำเนินงาน ทุ่ม 50 ลบ. เร่งขยายการลงทุนหนุนต่อยอดธุรกิจ วางเป้าการเติบโตปีนี้ 10% ส่วนปีหน้าเพิ่มอีก 30% ชูจุดเด่นสินค้าที่มีนวัตกรรมบวกจุดขายที่เด่นชัด ภายใต้กลยุทธ์ PURPLE OCEAN ลั่น 51 ปีมีความมั่นคงและแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ
คุณชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณวิลาสินี กิตติเกษมศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สยามพูลทรัพย์ อินเตอร์ เคมีคอล จำกัด ผู้บุกเบิกธุรกิจและจัดจำหน่ายสเปรย์ปรับอากาศเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ คิงส์สเตลล่า” (King’s Stella) เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในหลายๆ ด้านเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต รวมทั้งรองรับการเติบโตของตลาด ซึ่งประกอบด้วยการขยายคลังสินค้าแห่งใหม่, การพัฒนาระบบซอฟท์แวร์, การพัฒนาด้านมาร์เก็ตติ้ง, การแตกไลน์สินค้าใหม่ และการบุกตลาด AEC ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
โดยวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ เนื่องจากคลังสินค้าเดิมของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยพัฒนาการ 40 บนพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ได้ใช้งานมายาวนานถึง 20 ปี ประกอบกับปัจจุบันได้ใช้งานเต็มพื้นที่แล้ว สำหรับคลังสินค้าแห่งใหม่จะตั้งอยู่ที่โรงงานบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่ประมาณ 3,000-4,000 ตารางเมตร ซึ่งจะสามารถเก็บสินค้าได้เพิ่มอีก 3 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้งบในการลงทุนกว่า 30 ล้านบาท (ค่าก่อสร้างและค่าที่ดิน) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบการก่อสร้าง คาดจะเสร็จในช่วงปลายปีนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 6 เดือน โดยคลังสินค้าแห่งใหม่จะเป็นคลังสินค้าหลักสำหรับการส่งออก รวมทั้งการกระจายสินค้าไปยังโมเดิร์นเทรดและกลุ่มลูกค้าในโซนภาคตะวันออก เพราะมีเส้นทางคมนาคมที่ง่ายและสะดวกต่อการขนส่งสินค้า
ส่วนการพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ บริษัทจะเน้นให้เข้าสู่ยุคไอทีมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของโลจิสติกส์และการสั่งสินค้า โดยจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์แทนการใช้แรงงานคน ซึ่งจะทำให้เกิดความแม่นยำและชัดเจน และจะส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้าในระยะเวลาที่รวดเร็ว ตรงต่อเวลา คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท
ด้านการพัฒนาด้านมาร์เก็ตติ้ง สืบเนื่องจาก ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้ลงลึกมากกว่าเดิมที่เข้าไปในระดับจังหวัดและอำเภอ ซึ่งต่อไปจะต้องเจาะลึกเข้าสู่ระดับตำบล และในปีต่อๆ ไปอาจจะต้องเข้าไปยังหมู่บ้าน ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดย จะใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งปีอยู่ที่ 10 ล้านบาท
สำหรับการแตกไลน์สินค้าใหม่ เนื่องจาก บริษัทมองว่าขณะนี้ทิศทางเศรษฐกิจเริ่มดี มีสัญญาณในเชิงบวกมากขึ้น โดยปัญหาต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายไปแล้ว และบริษัทพร้อมที่จะเดินหน้าต่อ ทั้งนี้ บริษัทมีทีม R&D ของบริษัทเองประมาณ 10 คน เพื่อพัฒนาสินค้าเก่าให้ทันสมัยและพัฒนาสินค้าใหม่ทั้งหมด ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าจะพัฒนาสินค้าใหม่ 20-30 ผลิตภัณฑ์ต่อปี อาทิ น้ำหอมปรับอากาศในรถยนต์, น้ำยาถูพื้นสูตรใหม่ และแชมพูสุนัขกลิ่นใหม่ เป็นต้น โดยงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยพัฒนาสินค้าใหม่ในแต่ละปีจะอยู่ที่ 5% ของผลกำไร
นอกเหนือจากการพัฒนาตลาดในประเทศแล้ว บริษัทยังมีแผนบุกตลาด AEC มากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้ชัดเจน โดยจะเพิ่มศัยกาพในการทำตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีแผนกส่งออกอยู่แล้ว ทั้งนี้ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปทำตลาดดังกล่าวมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งเกือบครบทุกประเทศยกเว้นอินโดนีเซีย เพราะตั้งอยูไกล แต่ในระยะอันใกล้นี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปทำตลาด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล เพราะอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และการไปบุกตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจะต้องหาพาร์ทเนอร์ที่มีความแข็งแกร่งพอสมควร
ผู้บริหารกล่าวต่อถึงผลดีของการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ว่า จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของสินค้าได้ง่ายขึ้นในส่วนโลจิสติกส์ อีกทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานก็สามารถทำได้ง่ายเช่นกัน ส่วนผลกระทบที่ได้รับคือข้อกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าต่างๆ เช่น การขึ้นทะเบียนสินค้า, การเข้มงวดในการนำเข้า ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบปัญหาดังกล่าวพอสมควร ส่วนด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ AEC บริษัทได้ดำเนินการมานานแล้ว ทั้งในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานสากลและการปรับในส่วนของบุคลากร ซึ่งขณะนี้ได้มีชาวต่างชาติมาร่วมงานด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความคุ้นเคยกับการสื่อสาร
“การเข้ามาของ AEC จะมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผลดีมากกว่า เพราะตนมองว่าเรามีศักยภาพในการทำสินค้าเหนือกว่าคู่แข่งในภูมิภาคนี้ มีการเปิดตลาดได้มากกว่า หากเขาเปิดประเทศมากขึ้น เราก็สามารถเข้าไปทำตลาดได้มากยิ่งขึ้น” ผู้บริหารกล่าว
ด้านเป้าผลประกอบการในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มจากปี 2556 ที่ผ่านมาอีก 10% ส่วนในปี 2558 ตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มจากปีนี้อีก 30% โดยมีกลยุทธ์สินค้าใหม่เข้ามาเสริมทัพ การเพิ่มทีมงานมาเก็ตติ้งและทีมขาย รวมทั้ง การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่ไม่ใช้ห้างสรรพสินค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่ากลุ่ม SME หรือร้านค้าทั่วไปยังมีศักยภาพในการทำตลาดต่อสู้กับกลุ่มโมเดิร์นเทรดได้ ทั้งนี้ บริษัทนับเป็นกลุ่ม SME เช่นกัน ดังนั้นจึงมีความต้องการสนับสนุนของธุรกิจของคนไทยด้วยกันเอง และเชื่อว่าธุรกิจไทยอยู่ได้ด้วยคนไทย รวมทั้งอยากให้ธุรกิจไทยมีการต่อยอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานสืบไป
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์คือสินค้าที่มีคุณภาพที่คิดค้นและพัฒนาด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ โดยการสร้างสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีจุดขายที่เด่นชัด ซึ่งจะมาจากลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง หรือ PURPLE OCEAN และเป็นแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจที่ทุกคนในองค์กรต้องจะดำเนินการร่วมกันหรือเป็นหัวใจขององค์กร โดย P-PLANING หมายถึง การวางแผนงานที่ดี U-UNIQUE หมายถึง การสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ R-REALITYหมายถึง การคิดและทำได้จริง P-PEOPLE หมายถึง ทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ L-LEAN หมายถึง การดำเนินงานที่ปราศจากความฟุ่มเฟือย E-EARTH หมายถึงการรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม
ผู้บริหารกล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทดำเนินธุรกิจครบรอบ 51 ปี ซึ่งที่ผ่านมาได้ฝาฟันวิกฤตต่างๆ มามากมาย หากเปรียบเทียบเป็นนักรบก็จะมีแผลมากมาย บริษัทเชื่อมั่นว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทมีความมั่นคงและแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง โดยมีการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งเพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตและดำเนินงานต่อไปได้ และยังคงเน้นเรื่องการ R&D เป็นสำคัญ ส่วนแผนการในอนาคตคือการทำอย่างไรที่จะผลักดันให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน ต่อเนื่องยาวนานไปได้อีก 50 ปี 100 ปี หรือ 200 ปี
“เราอยากให้ธุรกิจของเราสืบทอดยาวนานเหมือนกับญี่ปุ่นที่มีโรงแรมของครอบครัวที่ดำเนินมาเกือบ 600 ปี โดยผ่านมาเกือบ 12 รุ่น เราก็อยากเป็นอย่างนั้น แต่จุดหนึ่งที่สำคัญคือคนที่มารองรับจะต้องอยากทำด้วย ถ้าคนที่มารองรับไม่อยากทำก็จะลำบาก ทำให้ไม่เกิดการผลักดันและไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเรามีระบบโปรแกรมทายาท ไม่ใช่การสั่งแต่เป็นการปลูกฝังให้เขารู้ว่าธุรกิจนี้เป็นของเขา ถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ ซึ่งเขาก็ต้องคิดเองได้” ผู้บริหารกล่าว
ผู้บริหารกล่าวต่อว่าอยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา บริษัทได้รับการช่วยเหลือจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมค่อนข้างเยอะ ซึ่งทำให้บริษัทรู้สึกถึงคุณค่าและเติบโตมาจากจุดนี้ ดังนั้นจึงอยากให้มีโครงการต่อไปเพื่อต่อยอดให้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ อยากให้ภาครัฐดูแลธุรกิจ SME โดยเฉพาะผู้ค้าปลีกรายย่อยอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของกลุ่มโมเดิร์นเทรด ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวแข็งแกร่งก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งและมีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน
ท้ายสุด อยากให้ภาครัฐสนับสนุนด้านการส่งออก โดยอยากให้จัดทำเอกสารเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของบริษัท โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลให้แก่คู่ค้าในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือและสามารถทำธุรกิจได้รวดเร็ว เพราะหลายครั้งในการทำธุรกิจมักจะประสบปัญหาในเรื่องข้อมูลพื้นฐาน ความเป็นตัวตนขององค์กร ซึ่งในจุดนี้บริษัทต้องการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างมาก หากภาครัฐเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจังและปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อการส่งออกจะสามารถช่วยเหลือผู้ส่งออก SME ได้เป็นอย่างมาก
เนาวรัตน์พัฒนาการกับความสำเร็จ 38 ปี
38 ปีเนาวรัตน์พัฒนาการอัดงบ 650 ลบ. ผุดโรงหล่อใหม่ที่ชลบุรี พร้อมบุกตลาดอสังหาฯ ทั้งแนวราบและแนวสูงอย่างเต็มรูปแบบ เล็งเป้าปีนี้โต 5% พร้อมโชว์ Backlog 14,661 ลบ.
คุณปสันน สวัสดิ์บุรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมและการก่อสร้างขนาดใหญ่ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทครบรอบ 38 ปีแห่งความสำเร็จ โดยที่ผ่านมาได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทเน้นคุณภาพมาตรฐานในการทำงานมาโดยตลอด
นอกจากนี้ บริษัทยังการันตีความเชื่อมั่นลูกค้า โดยได้รับรองคุณภาพมาตรฐานมากมาย อาทิ ISO 9001 : 2000, OHSAS 18001, TIS 18001 และได้รับใบอนุญาตจากทางราชการในระดับสูงสุดซึ่งเป็นสิ่งการันตีในเรื่องคุณภาพได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังเน้นเรื่องการปรับปรุงระบบและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องด้วย
ด้านแผนการดำเนินงานในปี 2557 บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างโรงหล่อแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 650 ล้านบาท โดยซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับพื้นที่ ส่วนอุปกรณ์นำเข้าจากประเทศอิตาลี โดยการขนส่งทางเรือและเดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานปลายปี 2557 บนพื้นที่ประมาณ 60 ไร่ มีกำหนดแล้วเสร็จต้นปี 2558 และไตรมาสแรกจะเริ่มทำการผลิต โดยจะสร้างโรงหล่อควบคู่ไปกับการผลิตสินค้า
ส่วนแผนการดำเนินงานในด้านอสังหาริมทรัพย์จะแบ่งเป็นแนวราบและแนวสูง สำหรับแนวสูงบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ในสัดส่วน 40 : 60 ซึ่งประกอบด้วย
1. โครงการดิ อิสสระ ลาดพร้าว โดยเป็นคอนโดสูง 47 ชั้น จำนวน 561 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท เปิดการขายไปแล้ว 90% และได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าแล้ว 99% คาดว่าจะปิดการขายได้ในปลายปี 2558 ถึงต้นปี 2559
2. โครงการอิซซี่ คอนโด สุขสวัสดิ์ คอนโดมิเนียมสูง 24 ชั้น จำนวน 892 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท เริ่มเปิดการขายตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งขายไปแล้ว 80% จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าได้ในไตรมาส 4 ปี 2558 คาดว่าจะปิดการขายได้ในปี 2559 ราคาเริ่มต้น 1.2 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานที่จะเริ่มมีครอบครัว
ส่วนโครงการแนวราบจะเป็นโครงการของบริษัท 100% ประกอบด้วย 1.โครงการวิลล่า บารานี - รังสิต คลอง 3 โดยเป็นโครงการบ้านเดี่ยว มีจำนวนทั้งหมด 198 หลัง มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเมื่อปลายปี 2555 ที่ผ่านมา บนพื้นที่ 35 ไร่ 3 งาน ความคืบหน้าล่าสุดในการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 65% คาดว่าปลายปี 2558 จะแล้วเสร็จ และคาดว่าจะขายและโอนได้ทั้งหมด ขณะนี้ได้เปิดการขายไปแล้ว 60% และโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าไปแล้ว 40% ราคาเริ่มต้นกว่า 3 ล้านบาท
คุณปสันนกล่าวต่อว่า บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยชื่อบริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการโครงการแนวราบคือ โครงการบารานี พาร์ค – ร่มเกล้า โดย soft opening ไปแล้วเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท
ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างเฟสแรกจำนวน 15 หลัง โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อต้นปี 2557 มีทั้งหมด 94 หลัง บนพื้นที่ 22 ไร่ ความคืบหน้าล่าสุด 20% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2559 เปิดขายไปแล้วกว่า 3% คาดว่าจะปิดการขายได้ในปี 2559 โดยได้รับกระแสตอบรับดีมากเนื่องจากเป็นบ้านเน้นคุณภาพมาตรฐานและธรรมชาติเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ราคาเริ่มต้นที่ 8-14 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังจะมีโครงการวิลล่า บารานี 2 - รังสิต คลอง 3 ซึ่งจะต่อยอดจากโครงการโครงการวิลล่าบารานีโครงการแรก แต่จะปรับคอนเซ็ปต์มาจากโครงการบารานี พาร์ค – ร่มเกล้า ซึ่งใกล้จะปิดการขายได้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งจะเน้นความเป็นธรรมชาติเป็นสวนมากขึ้น ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างต้นปี 2558 และจะเริ่มเปิดขายในปีเดียวกัน
“ปัจจุบันธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทอยู่ที่ประมาณ 3% คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะขยับเพิ่มเป็น 10% เนื่องจากเล็งเห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีมาร์จิ้นสูงและน่าจะทำรายได้เพิ่มมากขึ้นให้กับบริษัทได้อีก หลังจากที่เปิดตัวโครงการไปแล้วได้รับกระแสตอบรับดีเป็นอย่างมากจากลูกค้า ในอนาคตมีแผนที่จะสร้างทีมด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นทั้งในในเรื่องทีมขายและผู้ออกแบบให้เป็นความรู้ของบริษัทเพื่อต่อยอดให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต” คุณปสันนกล่าว
คุณปสันนกล่าวต่อถึงเป้าหมายการเติบโตในปี 2557 ว่า ตั้งเป้าเติบโตที่ 5% จากปี 2556 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากมีงานที่อยู่ในมือ (Backlog) และงานที่คาดว่าจะได้ในปีนี้ ปัจจุบันบริษัทมีงานที่อยู่ในมือ (Backlog) ประมาณ 14,661 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีนี้ประมาณ 35% ส่วนที่เหลือจะกระจายอยู่ในปีหน้าและปีถัดไป ส่วนงานที่กำลังติดตามอยู่ในขณะนี้เพื่อเตรียมเสนอราคามีมูลค่าประมาณ 6,770 ล้านบาท โดยมีงานในสัดส่วนเท่าๆ กันทั้งภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และราชการ คาดว่าจะได้รับงานประมาณ 20% ในปีนี้
สำหรับงานในต่างประเทศ บริษัทมีงานที่ สปป.ลาวคืองานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ซึ่งจะส่งมอบงานให้กับรัฐบาล สปป.ลาวภายในสิ้นเดือนกันยายน มูลค่างานประมาณกว่า 900 ล้านบาท และงานก่อสร้างถนน ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง มูลค่างานประมาณ 600 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบงานได้ภายใน 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีงานที่รอการติดตามที่ศรีลังกาและเวียดนามอีกด้วย
ด้านการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ตนเชื่อว่าธุรกิจระหว่างประเทศ การเดินทาง และการก่อสร้างจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีโอกาสต่างๆ จะตามมามากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยจะส่งผลดีต่อบริษัท เนื่องจากมีบุคลากรพร้อมที่จะทำงานอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อผู้รับเหมาในประเทศไทย เพราะมีจุดแข็งหลายด้านๆ คือสามารถทำงานได้หลายอย่าง โดยจะได้รับงานที่หลากหลายและเปิดโอกาสในหลายด้านเพื่อต่อยอดในธุรกิจด้วย
คุณปสันนกล่าวในตอนท้ายว่าบริษัทได้จำหน่ายหุ้นกู้ มูลค่า 1,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี ในวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ย 5.50%/ปี ซึ่งจากการสำรวจพบว่านักลงทุนและผู้ถือหุ้นมีความสนใจเป็นจำนวนมากเพราะให้ผลตอบแทนที่ระดับ 5.50%/ปี โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทที่ประเมินโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด อยู่ที่ BBB-
จี บิลเลี่ยนเทงบกว่า 200 ลบ. ลุยโปรเจค 2
จี บิลเลี่ยนทุ่มกว่า 200 ลบ. เนรมิตอาคารโรงงานให้เช่าและคลังสินค้า โครงการ 2 คาดจะแล้วเสร็จกรกฎาคมปี 2558 รับ AEC ชูจุดเด่นทำเลสะดวกง่ายต่อการคมนาคมดึงดูดใจลูกค้า
คุณชยุตม์พงษ์ สุขเจริญผล ประธานกรรมการ บริษัท จี บิลเลี่ยน จำกัด ดำเนินธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้า โครงการ 2 หรือ G-Billion Warehouse โครงการ 2 ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 14 ไร่ ในตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันมีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 30% ส่วนอีก 70% ที่เหลือจะอยู่ในส่วนของการขึ้นโครงสร้างของอาคารและการตกแต่งอาคารคลังสินค้า
“การก่อสร้างอาคารโรงงานให้เช่าและคลังสินค้าดังกล่าวเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากโครงการแรกที่เราได้เปิดให้เช่าแล้วทั้งหมด โดยโครงการ 2 เราได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างจากด้านหน้าโครงการเพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นโรงงานและคลังสินค้าได้อย่างชัดเจน เราใช้งบในการก่อสร้างครั้งนี้กว่า 200 ล้านบาท คาดว่าการลงทุนในครั้งนี้จะสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลา 5-7 ปี และจะเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน” คุณชยุตม์พงษ์กล่าว
สำหรับขั้นตอนในการก่อสร้างบริษัทได้แบ่งออกเป็น 4 เฟส ประกอบด้วย เฟส 1 เริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2557 ที่ผ่านมา และจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2557, เฟส 2 เริ่มก่อสร้างในเดือนกันยายน 2557 จะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2558, เฟส 3 จะเริ่มก่อสร้างในเดือนมกราคม 2558 และเฟส 4 เริ่มก่อสร้างในเดือนเมษายน 2558 โดยเฟส 3 และ 4 จะเสร็จพร้อมกันในเดือนกรกฎาคม 2558
โครงการดังกล่าวมีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 13,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นอาคารคลังสินค้าและโรงงานทั้งหมด 7 อาคาร มีถนนในโครงการที่มีความแข็งแรง สามารถรองรับรถบรรทุกหนักได้เป็นอย่างดี รวมทั้ง การออกแบบอาคารจะสามารถใช้งานได้ตรงตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้ โครงการยังมีจุดเด่นในเรื่องทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการคมนาคมและโลจิสติกส์ เนื่องจาก ตั้งอยู่ใกล้ถนนบางนา-ตราด, สนามบินสุวรรณภูมิ, ท่าเรือคลองเตยและท่าเรือแหลมฉบัง และเขตอุตสาหกรรมในโซนภาคตะวันออก รวมทั้งมีพื้นที่ด้านหลังโครงการที่ติดคลองระบายน้ำและพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ พื้นที่ในจังหวัดสมุทรปราการยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของน้ำท่วม อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่มาเช่าคลังสินค้าอีกด้วย
คุณชยุตม์พงษ์กล่าวต่อว่า บริษัทได้วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมหรือ SME เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มีจำนวนมาก แต่ยังขาดพื้นที่ในการรองรับธุรกิจที่จะมีการขยายตัว เมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปีหน้า รวมทั้ง ยังมีเป้าหมายรองรับนักลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกด้วย
ส่วนโครงการในอนาคตคือการดำเนินการก่อสร้างอาคารคลังสินค้าและโรงงาน โครงการ 3 ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่ที่จะดำเนินการแล้วประมาณ 40 ไร่ โดยตั้งอยู่ใกล้กับโครงการแรก คาดว่าจะเริ่มมีการเขียนแบบแปลนโครงการในช่วงเดือนเมษายน 2558 และจะเริ่มดำเนินการตอกเสาเข็มในช่วงปลายปีเดียวกัน
“เรามีพื้นที่ก่อสร้างโครงการ 3 แล้ว ตั้งอยู่ใกล้กับโครงการแรกมีพื้นที่กว่า 40 ไร่ และอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อเพิ่มอีก 8 ไร่ ส่วนรูปแบบยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและการหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการและให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้ามากที่สุด” คุณชยุตม์พงษ์กล่าว