กัสโต้ วิลเลจรุกอสังหาฯ เต็มสูบ
กัสโต้ วิลเลจเขย่าตลาดไตรมาสสุดท้าย เล็งเปิดขาย 2 โครงการใหม่ หนุนเป้ารายได้ปีนี้ 3,300 ลบ. ประกาศเนรมิต 10 โครงการใหม่ในปีหน้า ดันรายได้พุ่งอีก 40%
คุณมาโนช เทพอาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กัสโต้ วิลเลจ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ "กัสโต้" และเป็นในเครือบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ QHouse กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและรอรับรู้รายได้จำนวน 11 โครงการ เช่น โครงการกัสโต้ พหลโยธิน 48 ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 16 ไร่ จำนวน 163 ยูนิต มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าแล้ว และคาดว่าจะปิดโครงการในไตรมาสนี้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดขายโครงการใหม่ในช่วงสิ้นปีอีก 2 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคาซ่าซิตี้ วัชรพล-เพิ่มสิน (เพิ่มสิน 50 ) จำนวน 361 ยูนิต มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท และโครงการกัสโต้พหลโยธิน-สายไหม จำนวน 250 ยูนิต มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท
“จริงๆ แล้ว ในปีนี้เราเปิดตัวโครงการทั้งหมดแล้ว 13 โครงการ และเราได้ปิดการขายไปแล้ว 2 โครงการ เพราะฉะนั้นจึงเหลือ 11 โครงการที่เปิดขายอยู่ และเรามีแผนที่จะเปิดอีก 2 โครงการในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นทาวน์เฮ้าส์ ในเขตพื้นรอบเมือง หรือเกือบจะใกล้เมือง แต่ไม่ใช่ในใจกลางเมืองที่ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียม โดยคีย์หลักของทาวน์เฮ้าส์คือที่อยู่อาศัยบนที่ดินที่มีขนาดไม่มาก เริ่มต้นที่ 16 ตารางวาขึ้นไปและมีราคาไม่แพง ซึ่งจะแตกต่างจากบ้านซึ่งจะมีขนาดพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา หากเป็นบ้านแฝดจะอยู่ที่ 35 ตารางวา ดังนั้น ทาวน์เฮ้าส์จึงสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในเมืองรอบนอกได้เป็นอย่างดี” คุณมาโนชกล่าว
สำหรับราคาสินค้าของกัสโต้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานอายุ 25-35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่นิยมใช้เว็บไซต์, อินเตอร์เน็ต, ไลน์ หรือเฟสบุ๊ก ดังนั้น การตลาดของบริษัทจึงเน้นสื่อออนไลน์ เป็นหลัก นอกจากนี้ในส่วนของ QHouse จะมีไลน์ ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามากดไลค์เป็นจำนวนมาก เพราะสามารถตอบสนองความต้องการในเรื่องข้อมูลสินค้าได้เป็นอย่างดี
คุณมาโนชกล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานในปี 2558 ว่า บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 10 โครงการ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาสแรกและมีพื้นที่รองรับไว้แล้ว 5 แปลง ได้แก่ โครงการที่สุขสวัสดิ์, วงแหวนพระราม 5, กัลปพฤษ์, บางนา-ตราด กม.8 และนครปฐม ส่วนอีก 5 โครงการที่เหลือ อยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองซื้อที่ดินเพิ่มอีก 5 แปลง
“ในปีหน้า เรามีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างน้อย 10 โครงการ ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการจะมีพื้นประมาณ 20-30 ไร่ จำนวน 200-300 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500-600 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้หลังจากการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าในไตรมาส 3 เนื่องจาก ขณะนี้ มีบางโครงการที่เราได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว โดยอยู่ระหว่างการถมดิน สร้างบ้านตัวอย่าง เป็นต้น หลังจากนั้น เราจะทยอยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ
สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการเปิดตัวโครงการใหม่ ถ้าเป็นไปได้เราอยากจะได้ทำเลที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้าแต่ไม่สามารถทำได้เพราะมีราคาแพงมากเกินกว่าที่จะนำมาพัฒนาเป็นทาวน์เฮ้าส์ได้ ดังนั้น จึงเลือกเป็นทำเลที่ตั้งในย่านชุมชนและเส้นทางคมนาคมสะดวก” คุณมาโนชกล่าว
ด้านผลประกอบการในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าให้มีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 50% หรือมีรายได้เพิ่มจาก 2,100 ล้านบาทเป็น 3,300 ล้านบาท โดยบริษัทมีความมั่นใจว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน เนื่องจาก ในขณะนี้สามารถทำรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทแล้ว ส่วนในปี 2558 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มจากปีนี้ 40% หรือมีรายได้ประมาณ 4,500 ล้านบาท
ส่วนจุดเด่นของบริษัท ประกอบด้วย การคัดสรรทำเลที่มีศักยภาพตรงกับความต้องการของลูกค้า อีกทั้ง ยังมีทีมพัฒนาการออกแบบ ดังนั้นจึงทำให้รูปแบบและฟังชั่นก์ต่างๆ มีความสวยงามและลงตัว โดยลูกค้าให้การตอบรับดีมาก รวมทั้งความโดดเด่นในเรื่องคุณภาพสินค้าที่ยึดมั่นในนโยบายของ QHouse เสมอมา โดยในแต่ละโครงการจะมีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางที่สวยงามและดูดี อย่างเช่น ซุ้มโครงการขนาดใหญ่ สวนสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในแบรนด์ “กัสโต้” และอาจบอกต่อไปยังลูกค้ารายอื่นๆ อีกด้วย
คุณมาโนชกล่าวในตอนท้ายถึงแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายและต่อเนื่องจนถึงปีหน้าว่า ตลาดทาวน์เฮ้าส์ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะราคายังไม่สูงมากสามารถตอบโจทย์คนวัยทำงานอายุประมาณ 30 ปี และมีเงินเดือนประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ได้เป็นอย่างดี โดยมีราคาเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านเดี่ยวในรอบนอกเมืองซึ่งเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 4-5 ล้านบาท และส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อทาวน์เฮ้าส์จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริง ซึ่งจะแตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่อาจซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 หรือไว้เก็งกำไร
สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 คาดว่าจะส่งผลดีต่อคนวัยทำงาน โดยอาจมีรายได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีกำลังซื้อทาวน์เฮ้าส์ได้มากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าจะส่งผลดีต่อคอนโดมิเนียมมากกว่า เพราะกฎหมายเอื้อให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมได้ ส่วนทาวนเฮ้าส์จะเป็นทรัพย์สินที่มีที่ดิน โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย