กุศมัย มอเตอร์เปิดแผนธุรกิจ
กุศมัย มอเตอร์รุกตลาดโค้งสุดท้าย ตบเท้าเข้าร่วมงาน BUS&TRUCK และ MOTOR EXPRO เฟ้นหาพันธมิตร ลั่น 5 ปี มีความพร้อมและมุ่งเร่งพัฒนาในทุกๆ ด้านตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ชูเป้าหมายสูงสุดสร้างโรงงานผลิตอะไหล่หนุนส่งออกเจาะตลาด AEC
ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย ประธานกรรมการ บริษัท กุศมัย มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถบรรทุก 3 ล้อ ภายใต้แบรนด์ “ซูโมต้า” เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ว่า บริษัทจะเข้าร่วมงานแสดงสินค้า ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงปลายปีเพื่อหาพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งหมายถึงผู้ที่สนใจสินค้าของบริษัทไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าปลีก, ค้าส่ง และตัวแทน
“เราจะได้พันธมิตรจากงานแสดงสินค้าเป็นส่วนใหญ่ ในปีนี้เราได้เข้าร่วมงาน BUS&TRUCK ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 1-6 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ไบเทค บางนา รวมทั้ง งาน MOTOR EXPRO โดยจะจัดในวันที่ 1-10 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดว่าผลตอบรับน่าจะเป็นตามที่คาดการณ์ไว้ ที่ผ่านมาเราได้เข้าร่วมงานดังกล่าวเสมอมา แต่ได้เว้นไปประมาณ 2 ปี เพราะคิดว่ายังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน แต่ ณ ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงและพร้อมแล้ว จึงได้มีการเข้าร่วมงานอีกครั้งหนึ่ง” ดร.วิโรจน์กล่าว
โดยในปี 2557 บริษัทครบรอบ 5 ปี ซึ่งนับเป็นปีที่มีความพร้อมเกือบทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านมาร์เก็ตติ้ง, การผลิตรถ, การประกอบรถ, การเซ็ตเงื่อนไขตัวแทนอย่างยุติธรรม, การเซ็ตราคาขาย, การปรับปรุงรถ, การวางระบบเงินผ่อนหรือไฟแนนซ์ และการให้เช่ารถ โดยในส่วนของรถใหม่จะจำหน่ายเป็นเงินสด 100% ส่วนรถเก่าที่ค้างสต๊อกจะนำมาทำโปรโมชั่นให้เช่า เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาในด้านต่าง เช่น การพัฒนารถทุกรุ่นตั้งแต่ขนาด 1 ตันขึ้นไปให้มีระบบเกียร์ต่ำ เพื่อให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ทั้งในกรุงทพฯ และต่างจังหวัด โดยให้สามารถขึ้นสะพานหรือที่เนินสูงได้เมื่อบรรทุกของหนัก, การพัฒนาโดยนำไฟเบอร์กลาสบุท้ายรถกะบะทั้ง 4 ด้าน สำหรับการป้องกันรอยขีดข่วน ช่วยรักษาสภาพรถให้ดีดังเดิม, การพัฒนาให้มีหลังคาหน้าครบทุกรุ่นให้เหมาะกับสภาพอากาศ ซึ่งจะช่วยป้องกันแสงแดดและฝนตก, การปรับปรุงเอกสารการจดทะเบียนรถในหมวดรถบรรทุก 3 ล้อส่วนบุคคล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า รวมทั้ง การทำ R&D อย่างต่อเนื่องโดยนำคอมเม้นต์ของลูกค้ามาปรับปรุงเพื่อให้สินค้ามีคุณภาพและได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล
“ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจ ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจทั้งจากตลาดและลูกค้า และบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ โดยธุรกิจนี้เป็นธุรกิจปราบเซียน มีปัญหาเยอะมากๆ แต่เราพยายามแก้ไข ขณะนี้สามารถแก้ไขได้ประมาณ 80% ยังเหลืออีก 20% เพียง 2-3 ปัญหาเท่านั้น คาดว่าอีกประมาณ 2 ปี จะสามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ไปได้ โดยที่ผ่านมาจะเป็นปีแห่งการเรียนรู้ ส่วนปีที่ 6 จะเป็นปีที่เริ่มต้นใหม่และเติบโตในธุรกิจ” ดร.วิโรจน์กล่าว
ด้านกลุ่มลูกค้าเป้าหมายประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1. กลุ่มเกษตรกร 2. กลุ่มอุตสาหกรรม (นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ) 3. กลุ่มท่องเที่ยว (โรงแรม, ร้านอาหาร ) 4. กลุ่มราชการ ซึ่งในปีนี้ บริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มราชการ เป็นหลัก โดยให้นำรถไปใช้ในกิจการต่างๆ เช่น นำรถไปเก็บขยะ ส่วนราคาสินค้า ณ ปัจจุบัน บริษัทได้ปรับให้มีราคาเดียวกันทั่วประเทศ เริ่มต้นที่ 79,000-199,999 บาท
“ที่ผ่านมา เราจะเน้นทำการตลาดไปยังกลุ่มเกษตรกรเป็นอันดับแรก แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเพราะมีรายได้น้อยและเราไม่มีระบบเงินผ่อน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนไปเน้นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในต่างจังหวัดเป็นหลักแทนแล้วจึงไปหารายเล็ก หรือใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เราคาดว่าในอนาคต หากเราสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของการมีระบบเงินผ่อนได้หรือเรื่องทะเบียน จะทำให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เพราะมีคนสนใจสินค้าของเราเป็นจำนวนมากแต่ซื้อน้อย” ดร.วิโรจน์กล่าว
สำหรับตัวแทนหรือแฟรนไชส์ ที่ผ่านมา บริษัทได้แต่งตั้งไปประมาณ 10 ราย แต่ขณะนี้ไม่มีแล้ว ดังนั้นในปีนี้ บริษัทจึงได้มีการปรับแผนใหม่โดยไม่มีตัวแทนหรือล้างไพ่ใหม่ ซึ่งบริษัทจะดำเนินการเองและได้จัดตั้งสาขาแรกที่ตลาดไทยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากนั้น มีแผนที่จะทยอยขยายไปยังต่างจังหวัด อาทิ นครปฐม, ลำปาง, น่าน, ชลบุรี, ลพบุรี และขอนแก่น เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรในพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขว่าพันธมิตรจะต้องดำเนินการในเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่ การจดทะเบียนและระบบเงินผ่อน ทั้งนี้ หากบริษัทสามารถขยายสาขาหรือเพิ่มพันธมิตรได้ จะส่งผลให้เติบโตแบบก้าวกระโดดประมาณ 5-10 เท่าในอนาคต
ดร.วิโรจน์กล่าวต่อถึงการลงทุนของบริษัทว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาได้ใช้งบลงทุนกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันยังขาดทุน เนื่องจาก เป็นธุรกิจที่ไม่ใช่ง่ายและต้องพัฒนาตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่อง R&D ที่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมียอดขายประมาณ 1,000 คัน/ปี หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท แต่ในปัจจุบัน มียอดขายเพียง 200 คันเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลอีก 5 เท่าตัว ส่วนการคืนทุนจะอยู่ที่ยอดขาย 400 คัน และหากมียอดขายในระดับที่ 500 คัน จะเป็นผลกำไร พร้อมทั้งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปีข้างหน้าจึงจะบรรลุเป้าหมาย 1,000 คัน
“เรามีแผน 2 สเต็ป ซึ่งสเต็ปแรกคือหนึ่งคือผลักดันให้มีกำไรด้วยยอดขาย 500 คันและ 1,000 คัน ตามลำดับ ส่วนสเต็ปที่ 2 คือการปรับโครงสร้าง โดยมีแผนที่สร้างโรงงานจะผลิตอะไหล่ในประเทศ จากปัจจุบันที่นำเข้าจากต่างประเทศ 40% เช่น ไต้หวัน, เกาหลี และจีน ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของเราในอีก 10 ปีข้างหน้าคือการผลิตรถบรรทุก 3 ล้อส่งออกไปยังตลาด AEC เพราะเมื่อเราใช้อะไหล่ที่ผลิตในประเทศเกิน 40% ขึ้นไป ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ที่ 60% สามารถกล่าวได้ว่าเป็นรถสัญชาติไทยและยังส่งออกได้อีกด้วย” ดร.วิโรจน์กล่าว
ด้านจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วย 1. เป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน โดยได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี 2. มีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐานของต่างประเทศ แข็งแรงและทนทาน นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่จำหน่ายรถบรรทุก 3 ล้อเพียงอย่างเดียว
สำหรับสิ่งที่อยากให้ภาครัฐเข้าสนับสนุนคืออยากให้ภาครัฐเข้ามาซื้อรถของบริษัทไปใช้เพราะมีประโยชน์ต่องานราชการเป็นอย่างมาก และการลดขั้นตอนในการจดทะเบียนรถเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและรวดเร็ว โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีความยุ่งยากเป็นอย่างมาก รวมทั้งอยากให้ธนาคารต่างๆ เข้ามาสนับสนุนและร่วมมือกับบริษัทในการจัดทำระบบเงินผ่อน เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถได้ง่ายยิ่งขึ้น และจะทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ อยากเชิญชวนแนวร่วมที่ดำเนินธุรกิจขายรถมอเตอร์ไซด์หรือเต้นท์รถซึ่งมีจำนวนมาก โดยให้นำรถของบริษัทเข้าไปวางจำหน่าย ภายใต้เงื่อนไขที่ยุติธรรมและไม่เอาเปรียบ