แคปปิตอลจี พลิกบทบาทผู้พัฒนาคอนโค สู่โครงการแนวราบ
แคปปิตอลจีดีเวลลอปเมนท์ ประกาศแผนปี 2564 จ่อผุดโครงการแนวราบ มุ่งเจาะตลาดทาวเฮาส์ระดับ 10 ล้านอัพ ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมรอดูสถานการณ์เป้าโอน คาด 800 ลบ. จาก MONTÉ พระราม 9 ตอกย้ำการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิดสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อาศัย ให้ตอบโจทย์โลกปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา
คุณชัยรัตน์ พิรุฬหพัสต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอลจีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด
คุณชัยรัตน์ พิรุฬหพัสต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอลจีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทมีแผนการดำเนินงานสำคัญคือจะเน้นขยายในส่วนของโครงการแนวราบ ซึ่ง Product แนวราบ จะมี 3 รูปแบบ ได้แก่ ทาวเฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว โดยเมื่อบริษัทได้ทำการศึกษาตลาดพบว่า สปีดการขายทาวน์เฮาส์จะดีกว่ารูปแบบอื่นๆ เพราะฉะนั้น บริษัทจึงอยากเข้าไปในตลาดที่มีสปีดการขายดี และสามารถ Provide สิ่งที่ดีกับลูกค้าได้ อย่างไรก็ตามการพัฒนาโครงการแนวราบ อาจเป็นโครงการที่บริษัทพัฒนาเองประมาณ 1-2 โครงการ และเป็นโครงการในเชิงจอยเวนเจอร์กับบริษัทอื่นที่เป็นผู้พัฒนาทาวน์เฮาส์ระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหากประสบความสำเร็จ บริษัทจะขยายไปในส่วนบ้านแฝดและบ้านเดี่ยวในอนาคตด้วย
“เราได้มองหาพื้นที่เพื่อทำในส่วนของแนวราบเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา โดยวางแผนไว้ว่าจะทำในเชิงทาวน์โฮมสามชั้นครึ่ง เป็นโครงการที่จะเน้นกลุ่มในเมือง ตอนนี้อยู่ในระหว่างตัดสินใจว่าจะเลือกจุดไหนพื้นที่ไหน รวมถึงเลือกผู้ลงทุน เพราะโครงการแนวราบแรกๆ เราก็อยากได้คนที่เขามีสกิลทางแนวราบที่ราคาสูงๆ หน่อย เพราะแนวราบที่เราทำตัวแรกจะเป็นระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่อาจเป็นโครงการที่ไม่ใหญ่มาก เนื้อที่ประมาณ 1-2 ไร่ จำนวน 10-20 ยูนิต” คุณชัยรัตน์กล่าว
ในส่วนของการพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัทก็มีแผนไว้เช่นกัน แต่ต้องดูสถานการณ์การโอนของปี 2564 ซึ่งเราแพลนไว้ว่าจะมียอดโอนประมาณ 800 ล้านบาท จากคอนโดมิเนียมใน “โครงการ MONTÉ (มอนเต้) พระราม 9” และในปีถัดไป (2565) คาดว่าจะมียอดโอนต่อเนื่องจาก “โครงการ MONTÉ RSU” อีกประมาณ 700-800 ล้านบาท ฉะนั้น กลยุทธ์ของบริษัทภายในปีนี้ จะเน้นไปที่โครงการแนวราบเป็นหลัก 80-90% ขณะที่คอนโดมิเนียมคงรอดูสถานการณ์การโอนก่อนเบื้องต้น
สำหรับโครงการ MONTÉ RSU เป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 545 ยูนิต ซึ่งจะแตกต่างจากที่พระราม 9 ตรงที่มี Smart Facilities ที่มากกว่า ราคาถูกกว่า และสามารถรองรับทุกไลฟ์สไตล์สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง อาทิ Lobby, Mailbox, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ห้องสมุด, สวนพักผ่อน, ลิฟต์โดยสาร, ที่จอดรถ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยังอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยรังสิต เพราะฉะนั้นที่รังสิตจะเหมาะกับกลุ่มนักศึกษามากเป็นพิเศษ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 3 ปี 2564
คุณชัยรัตน์ กล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ธุรกิจอสังหาฯ เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับมนุษย์ และเติบโตไปตามอัตราการเกิดของประชากร แม้ในระยะสั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ และอาจหดตัวไปบ้างในบางช่วง แต่ก็ยังถือเป็นความต้องการของมนุษย์เสมอ เนื่องจากเป็นพื้นฐานปัจจัยสี่ ขณะเดียวกัน ผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่อยู่ในตลาดเดียวกัน ก็คอยระมัดระวัง เตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ ฉะนั้นแล้วภาพรวมในอนาคตยังเชื่อมั่นมาธุรกิจอสังหาฯ จะยังเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง
คุณชัยรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายถึงวิสัยทัศน์การดำเนินงานของบริษัทว่า ในแง่ของลูกค้า ต้องบอกว่าอสังหาฯ ถือเป็น Assets ที่มีมูลค่าสูงสำหรับคนทั่วไป ซึ่งกว่าลูกค้าจะเลือกซื้อแต่ละโครงการต้องเก็บเงินพอสมควร ฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องสร้างสินค้าให้มีความคุ้มค่า ราคาสมเหตุสมผล ในโลเคชั่นที่ดี เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้ ในแง่ของพนักงานภายในองค์กร บริษัทจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการอยู่เป็นครอบครัว และการเทรนนิ่ง หรือการอบรมต่างๆ เนื่องจากในอนาคตเมื่อบริษัทมียอดขายเติบโตขึ้น สิ่งที่จะตามมาคือความซับซ้อนวุ่นวายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น พนักงานของเราต้องได้รับการพัฒนาไปพร้อมกับการเติบโตของบริษัท เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
