Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
วินโคสท์เปิดแผนการลงทุนหนุนต่อยอดธุรกิจ
คุณวินิตา จามิกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและกลยุทธ์ บริษัท สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์ จำกัด(มหาชน)ให้สัมภาษณ์นิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสระดมทุนพิเศษขยายอาคารคลังสินค้าและสำนักงาน พร้อมก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าเซลล์ รองรับการเติบโตของเขตอุตสาหกรรม พร้อมประเด็นอื่นๆ ดังนี้
บิส โฟกัส : เหตุผลที่ต้องการขยายการลงทุน
คุณวินิตา : การขยายการลงทุนของบริษัทในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและสอดคล้องกับแผนธุรกิจปี 2557 ซึ่งธุรกิจหลักของบริษัทยังคงเป็นการให้เช่าและบริการพื้นที่ทั้งในและนอกเขตปลอดอากรวินโคสท์ โดยได้พิจารณาการขยายพื้นที่ให้เช่าและบริการในส่วนที่สามารถบูรณาการได้เพื่อก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าบนหลังคาเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารคลังสินค้าส่วนที่เหลือ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอดีตซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นสวนอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ
บิส โฟกัส : มีการกำหนดวงเงินในการเพิ่มการลงทุนในครั้งนี้ไว้จำนวนเท่าใด
คุณวินิตา : จากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 136,479,939 หุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)
บิส โฟกัส : มีการเพิ่มการลงทุนในลักษณะใด
คุณวินิตา : จากการระดมทุนในรูปแบบของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ได้มีการจัดตั้งบริษัท ดับบลิว.โซล่า จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท โดยมีผู้ร่วมลงทุนคือบริษัท อินเตอร์ฟาร์อีส วิศวกรรม จำกัด(มหาชน)
บิส โฟกัส : การก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าเซลล์ในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อองค์กร
คุณวินิตา : โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารคลังสินค้า W2 จำนวนไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ถือเป็นโครงการนำร่องสำหรับการสร้างสัญลักษณ์สวนอุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนดำเนินการโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในเฟสต่อๆ ไป อีกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.5 เมกะวัตต์ ซึ่งนอกจากบริษัทจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนในระยะยาวจากการให้เช่าพื้นที่สำหรับผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นอกเหนือจากรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าภายในสวนอุตสาหกรรมแล้วยังเป็นการช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเป็นพลังงานสะอาดอีกด้วย
บิส โฟกัส : วางเป้าหมายการเติบโตในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปีนี้และปีหน้า
คุณวินิตา : สำหรับเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในปีนี้และปีหน้า บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับ จากแผนการขยายโครงการในธุรกิจหลักของบริษัทและโครงการต่างๆ ในบริษัทย่อย อาทิ การก่อสร้างอาคารคลังสินค้าเพิ่มเติม W8 W9 การขยายโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เฟส 2 เฟส 3 รวมถึงการขยายธุรกิจรองรับด้านยานยนต์ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการให้เช่า บริการและรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต
บิส โฟกัส : คาดว่าแนวโน้มการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
คุณวินิตา : แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนตามแผนธุรกิจในแต่ละปีว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยแผนในการขยายโครงการต่างๆ นั้น บริษัทคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปี 2557 ถึงปี 2558 ตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้
บิส โฟกัส : แนวโน้มทางการตลาดในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่จะเป็นอย่างไรในปีนี้และปีหน้า
คุณวินิตา : เนื่องจากธุรกิจให้เช่าและบริการพื้นที่เขตปลอดอากรของบริษัท บริษัทได้มุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่และบริการแก่กลุ่มลูกค้าที่จะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของเขตปลอดอากรได้อย่างเต็มที่ โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้แก่ ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตและส่งออก กลุ่มผู้ประกอบการด้านคลังสินค้า ฯลฯ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรได้สูงสุด
ปัจจุบันลูกค้าที่เช่าพื้นที่ส่วนใหญ่เช่าเป็นสัญญาระยะยาว 3 ปี จึงทำให้บริษัทสามารถประมาณการรายได้ของบริษัทได้ค่อนข้างแน่นอน อีกทั้งแนวโน้มของตลาดในธุรกิจประเภทนี้ บริษัทเน้นผู้ประกอบการขนาดกลางถึงขนาดย่อม ซึ่งพื้นที่ให้เช่าและบริการของบริษัท ถือเป็นพื้นที่ที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สามารถเอื้อประโยชน์ทั้งเรื่องสิทธิของเขตปลอดอากรให้แก่ผู้เช่าและความสะดวกด้านการขนส่งและคมนาคม ดังนั้นแนวโน้มทางการตลาดในธุรกิจของบริษัทในปีนี้และปีหน้าจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้นตามลำดับ
บิส โฟกัส : ข้อเสนอแนะที่อยากให้ภาครัฐรับทราบเพื่อให้นำแนวทางจากผู้ประกอบการไปพัฒนาอุตสาหกรรม หรือข้อเสนอแนะที่อยากให้ภาครัฐเข้าส่งเสริมหรือสนับสนุนพิเศษ
คุณวินิตา : ขอเสนอแนะเรื่องการอำนวยความสะดวกในการประสานงานกับหน่วยงานราชการในการยื่นเรื่อง การขอเอกสารและใบอนุญาตต่างๆ ให้มีความรวดเร็วและช่วยลดขั้นตอนในการดำเนินการรวมทั้งเรื่องการเพิ่มช่องทางในการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อสนับสนุนเรื่องการขนส่งสินค้า เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการผลิตและขนส่งสินค้าออกสู่ตลาด
ส่วนเรื่องที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนคือเรื่องการเพิ่มใบอนุญาตเพื่อสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากส่วนของผู้ประกอบการในสวนอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมจะสามารถช่วยเรื่องการผลิตพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและเป็นการช่วยส่งเสริมรายได้ในภาคธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย
วี สุขุมวิทปลื้ม “เอช สุขุมวิท 43” แรงต่อเนื่อง
วี สุขุมวิทฟุ้งโปรเจคเอช สุขุมวิท43 กระแสตอบรับดีเยี่ยม คาดสามารถปิดการขาย 100% ก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จ ชูจุดเด่นเข้า-ออกได้ 3 เส้นทาง สิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านเท่านั้น แย้มโปรเจคใหม่ เล็งเปิดตัวในย่านทำเลเดิมปลายปีหน้า
คุณกฤษฎา เพ่งวรรธนะ รองประธาน บริษัท วี สุขุมวิท 43 ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการเอช สุขุมวิท 43 เปิดเผยว่าโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมขนาดความสูง 31 ชั้น จำนวน 290 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2556 ที่ผ่านมา คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้และพร้อมโอนกรรมสิทธ์ให้แก่ลูกค้าประมาณไตรมาสแรกปีหน้า
ปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าในภาพรวมประมาณ 50-60% โดยงานโครงสร้างได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับงานที่เหลืออีก 40% จะอยู่ในส่วนของสถาปัตย์และการตกแต่งภายใน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความมั่นใจว่าการก่อสร้างจะเสร็จทันตามกำหนดที่วางไว้อย่างแน่นอน เนื่องจากในขณะนี้ งานตกแต่งภายในได้ดำเนินการในชั้นที่ 9 แล้ว ส่วนกลุ่มเป้าหมายของโครงการคือลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติในสัดส่วน 60 : 40
ด้านแผนประชาสัมพันธ์โครงการ บริษัทได้ใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทผ่านสื่อต่างๆ ทั้ง Above the line และ Below the line อาทิ หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน บิลบอร์ด วิทยุ เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการเป็นต้นมา โดยผลตอบรับค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจขณะนี้มียอดขายประมาณ 95% แล้ว คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ 100% ก่อนการก่อสร้างเสร็จอย่างแน่นอน เนื่องจากขณะนี้มีห้องพักที่ยังไม่จำหน่ายเพียง 10 ห้องเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากจะให้ลูกค้าเข้ามาจับจองเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดังกล่าว
สำหรับจุดเด่นของโครงการคือการเดินทางที่สะดวกสามารถเข้าออกโครงการ โดยสามารทะลุเข้า-ออกซอยสุขุมวิท 39 ซอยทองหล่อและทะลุถนนเพชรบุรีได้ ซึ่งเป็นทางผ่านส่วนตัวของโครงการและเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านเท่านั้นที่นอกเหนือจากการเดินทางเข้า-ออกผ่านซอยสุขุมวิท 43 ซึ่งเป็นซอยตันทั้งนี้บริษัทมีที่ดินจำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกบริษัทสร้างเป็นตัวอาคารที่พักอาศัยดังกล่าว ส่วนอีกแปลงหนึ่งจะใช้เป็นทางเข้าออกของโครงการ
“เดิมโครงการมีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ แต่เราได้ซื้อที่ด้านข้างเพิ่มอีกประมาณ 1 ไร่ซึ่งเป็นที่ว่างให้ลูกบ้านสามารถเดินทางผ่านเข้าออกไปทะลุซอย 39 ซอยทองหล่อและถนนเพชรบุรีได้ทั้งสองฝั่ง โดยเลี้ยวขวาจะไปออกทองหล่อ เลี้ยวซ้ายออกเพชรบุรี ซึ่งนับเป็นจุดเด่นสำคัญของโครงการ ที่ทำให้ซอยตันไม่ตันและทำให้ลูกบ้านสามารถเดินทางเข้าสู่โครงการได้ 3 ทาง ไม่จำเป็นต้องเข้า-ออกผ่านซอยสุขุมวิท 43 เพียงทางเดียว” คุณกฤษฎากล่าว
คุณกฤษฎากล่าวต่อถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยในด้านสาธารณูปโภคว่าบริษัทจะไม่บริหารจัดการโครงการเอง แต่จะจ้างนิติบุคลซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำและมีมาตรฐานเข้ามาดำเนินการ ดังนั้นขอให้ลูกบ้านสบายใจได้ว่าโครงการจะถูกการจัดการด้วยบริษัทที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างลงตัวและรู้สึกคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป โดยภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำ Fitness Sauna Room H-Sky Lounge Business Center and Library Kids Zone Sky Yoga เป็นต้น
“มันเป็นนโยบายของเราที่มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมาย ได้รับของที่พรีเมี่ยมกว่า ทำเลที่ดีกว่า ราคาที่ถูกกว่าเพราะเราต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายที่ใหญ่กว่า โครงการนี้ถือว่าไม่น้อยหน้ากว่าบริษัทมหาชน ยอดขายของเราดีมาก ด้วยตัวโครงการที่ใช้วัสดุอย่างดี ในราคาที่สมเหตุสมผล โครงการของเราเป็นคอนโดมิเนียมที่ถูกที่สุดในย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นทำเลที่มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งมีคอนโดมิเนียมเปิดตัวอย่างต่อเนื่องและบริษัทมหาชนก็เข้ามาลงทุนกันเยอะมากทำให้ราคาในปัจจุบันค่อนข้างสูง ”คุณกฤษฎากล่าว
ส่วนเหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเข้ามาพัฒนาโครงการดังกล่าว เนื่องจากมองว่าในย่านสุขุมวิทยังมีดีมานด์สูง ทำให้โครงการต่างๆ ที่เปิดในโซนนี้ยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าราคาจะสูงแต่มียอดการจับจองอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการนี้สามารถตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือชาวไทยที่ต้องการที่พักอาศัยท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้งและในอนาคตอันใกล้นี้จะยกระดับเป็นโซนช้อปปิ้งลักซ์ชัวรี่
สำหรับโครงการต่อเนื่องในอนาคต บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านสุขุมวิท ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในราวช่วงปลายปีหน้าเพราะบริษัทต้องการที่จะปิดโครงการ H SUKHUMVIT 43 ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน โดยจะยังคงเป็นรูปแบบคอนโดมิเนียมเช่นเดิม เน้นคุณภาพในทำเลที่ดี ราคาเหมาะสม รวมทั้งการใช้วัสดุชั้นนำและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนี้บริษัทมีความมั่นใจว่ายังมีฐานลูกค้าเดิมที่อยากซื้อโครงการของบริษัทและหากบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ ลูกค้าคงให้การตอบรับดีเช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา
คุณกฤษฎากล่าวในตอนท้ายถึงเป้าผลประกอบการว่าในปีนี้บริษัทไม่ได้ตั้งตัวเลขไว้สูง เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา( 2555-2556) มียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2556 บริษัทได้ขายสินค้าไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผลประกอบการของปีนี้จึงตั้งไว้ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เพราะมีห้องพักเหลือไม่มาก ประกอบกับยังไม่มีโครงการใหม่ในปีนี้
อิคาริ เทรดดิ้งคว้า อย. ควอลิตี้ อวอร์ด
อิคาริ เทรดดิ้งการันตีคุณภาพรับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนจากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเปิดแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์รับตลาดโตในอนาคต
คุณอรรณพ วงศ์ธิติโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิคาริ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิต-จำหน่าย ไฟดักแมลง เตาย่อยสลายพลังงานแม่เหล็กถาวรและผลิตภัณฑ์กำจัดลูกน้ำยุงลาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปิดเผยว่าบริษัทได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนจากกระทรวงสาธารณสุขโดยได้รับมอบรางวัลจากนพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย
“เราได้รับรางวัลอย. ควอลิตี้ อวอร์ด เนื่องจากเรานำระบบมาตรฐานสากลจากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ เรามีการพัฒนาระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราได้รับการประเมินจากอย. และตรงตามเกณฑ์มาตรฐานที่ทางอย. กำหนดจึงทำให้เราได้รับรางวัลนี้ ซึ่งได้รับเป็นปีแรกและเราจะรักษาและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” คุณอรรณพกล่าว
สำหรับประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการได้รับรางวัลนี้ คุณอรรณพกล่าวว่าเป็นโอกาสดีที่จะเผยแพร่ชื่อเสียงขององค์กรให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลด้วยกันและหน่วยงานอื่นๆ จากภาครัฐและเอกชนรวมทั้งการการันตีคุณภาพในการผลิตสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้พนักงานของบริษัทยังเกิดความภาคภูมิใจและเล็งเห็นถึงความสำเร็จที่ได้รับ ซึ่งเกิดจากความคิดและความร่วมมือของพนักงานทุกคน
“การรับรางวัลในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อบริษัทในหลายๆ ด้าน ทั้งภายในและภายนอกองค์กร แต่เราจะดีใจกับรางวัลนี้และไม่พัฒนาอะไรต่อไม่ได้ เราจะต้องมาคิดต่อยอดเพิ่มเติมจากเดิม ในเรื่องวิธีการรักษาคุณภาพให้คงที่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระดับที่ดีกว่าเดิมรวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และสามารถตอบโจทย์ในการใช้งานได้อย่างครอบคลุม” คุณอรรณพกล่าว
คุณอรรณพกล่าวต่อถึงการเติบโตของบริษัทว่าจะมุ่งเน้นปริมาณของงาน ซึ่งในปี 2556 ที่ผ่านมา มีปริมาณงานเพิ่มขึ้นเกิน 40% จากปี 2555 โดยจะมีการวางแผนในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นหลักเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสามารถนำไปพัฒนาได้ในหลายๆ ด้านเพื่อต่อยอดในอนาคต
ส่วนในปี 2558 บริษัทได้มีการวางแผนการลงทุนในด้านต่างๆ อาทิ ด้านออโตเมชั่น การพัฒนาR&D การพัฒนาบุคลากรและอื่นๆ เป็นต้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องการขยาย Production House เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1-2 โรงงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตซึ่งจะต้องมีการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่ม คาดว่างบประมาณในการลงทุนครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามงบการลงทุนที่กล่าวไว้เบื้องต้นจะต้องพิจารณาในเรื่องของศักยภาพของบริษัท ปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าและผลกระทบจากการเมืองที่ยังไม่แน่นอนร่วมด้วย เนื่องจากการลงทุนในแต่ละครั้งมีความเสี่ยงสูงจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบในหลายๆ ด้านร่วมกันก่อนจะลงทุนคาดจะเป็นรูปธรรมได้ประมาณปี 2558
คุณอรรณพกล่าวต่อว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทจำหน่ายในประเทศ 70% และอีก 30% ส่งออกต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย สปป.ลาว อินเดีย เป็นต้น โดยบริษัทมีลูกค้าหลากหลายกลุ่มประกอบด้วย กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสาธารณสุข (องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลต่างๆ ) รวมทั้งสถาบันต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการรับรองมาตรฐานและรางวัลต่างๆ ได้แก่ 1.GMP 2.ISO 9001 : 2008 3.CLIENT OF THE YEAR 2008 award from TQCS INTERNATIONAL, Australia 4.STI THAILAND AWARD 2012 ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (นวัตกรรมสีเขียว - GREEN INNOVATION) ระดับพื้นที่กรุงเทพมหานครประเภทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 5.รางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
เซออน เคมิคัลส์ คว้ารางวัลธรรมาภิบาล 2556
คุณยูทากะ อิโซซากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัสในโอกาสได้รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยประจำปี 2556 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดังนี้
บิส โฟกัส : บริษัทมีแนวทางการบริหารงานอย่างไรจึงได้รับรางวัลดังกล่าว
คุณยูทากะ : บริษัทมีนโยบายของบริษัทหลักๆ 4 เรื่องคือคุณภาพ (Quality) ความปลอดภัย (Safety) สิ่งแวดล้อม (Environment) และความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยเราให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการไม่เกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานต่อเนื่องเป็นเวลา 2,337 วัน (ข้อมูลสิ้นปี 2555) รวมทั้งการได้รับมาตรฐานระดับโลกต่างๆ เช่น OHSAS18001 ISO14001 เป็นต้น นอกจากนั้นเรายังมีระบบการจัดการของเสียภายในโรงงานที่ดีเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน
บิส โฟกัส : แผนดำเนินการที่ทำให้ได้รับรางวัลนี้
คุณยูทากะ : บริษัทมีการสานต่อโครงการที่ทำเพื่อสังคมมาต่อเนื่องกว่า 3 ปีแล้ว ทั้งกิจกรรมภายนอกและภายใน ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมภายนอก ได้แก่การมอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง การนำระบบที่ทันสมัยมาใช้จัดการระบบสิ่งแวดล้อมภายในโรงงานเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง เป็นต้น ส่วนกิจกรรมภายใน เราจัดให้มีกิจกรรมสำหรับพนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 90 คน ไม่ว่าจะเป็น ปาร์ตี้ประจำปี ทริปท่องเที่ยวและการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนทุกปี เพื่อให้พนักงานมีมาตรฐานชีวิตที่ดี โดยกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยประจำปี 2556 จาก กนอ.
บิส โฟกัส : ความเป็นมาของเซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์)
คุณยูทากะ : เรามีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ชื่อว่า เซออน คอร์ปอเรชั่น โดยบริษัทแม่มีบริษัทในเครืออยู่ในหลายประเทศทั่วโลกและเซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์) คือหนึ่งในนั้น แต่เราแยกการบริหารจัดการและการผลิตออกจากบริษัทแม่โดยสิ้นเชิง
เรามุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มลูกค้าในโซนเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อปีที่ผ่านมา เรามีการขยายโรงงานแห่งที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกันเพิ่มอีก 1 โรงงานเพื่อรองรับกับฐานลูกค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บิส โฟกัส : กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท
คุณยูทากะ : บริษัทเป็นผู้ผลิต Quintone petroleum resin สำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์หลักๆ 4 กลุ่มคือ เทป 60% Hot Melt 20% Tire 5% และอื่นๆ 15% ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปต่างประเทศ 80% เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีก 20% จำหน่ายในประเทศ