เหมราชขานรับ กนอ. ขยายพื้นที่เพิ่มหนุนการเติบโต
เหมราชรับ กนอ. อนุมัติขยายพื้นที่เพิ่มอีกประมาณ 631 ไร่ เล็งลงทุนเพิ่มในอีก 2 ปีข้างหน้า (2558-2559) กว่า 7 พันลบ. ตั้งเป้าปี 58 ผุดโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 แห่ง
มร.เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด แห่งที่ 2 จังหวัดชลบุรีอีกประมาณ 631 ไร่ จากพื้นที่เดิมที่มีอยู่กว่า 3,700 ไร่ โดยได้รับการอนุมัติจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือ กนอ. ปัจจุบันเริ่มดำเนินการขยายแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะใช้งบประมาณการลงทุนในอีก 2 ปีข้างหน้า (2558-2559) ประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท ทั้งในส่วนการขายที่ดินสำหรับสร้างโรงงาน, การสร้างโรงงานให้เช่า, การสร้างโกดังสินค้าให้เช่า, การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ภายในนิคมอุตสาหกรรม และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก
สำหรับแผนการลงทุนส่วนใหญ่ บริษัทจะเน้นการลงทุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 50% และอุตสาหกรรมอื่นๆ 50% อาทิ อิเลคทรอนิกส์และอาหาร เป็นต้น โดยที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมเหมราชให้เป็น Automobile Hub มาโดยตลอด ล่าสุดยังมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพัฒนาโครงการ Eco-car ในอนาคตอันใกล้นี้อีกเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงต้องส่งเสริมกลุ่มยานยนต์เป็นพิเศษเนื่องจากมีผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก
“ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่อง Eco-car ในประเทศไทย ตนมองว่าเรื่องคุณภาพของ Eco-car การันตีได้จากเทคโนโลยีที่นำมาผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรและเทคโนโลยีเดียวกับรถยนต์ขนาดมาตรฐานทั่วไป จึงมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าที่ปลอดภัย ประหยัด และมีมาตรฐานแน่นอน” มร.เดวิด นาร์โดนกล่าว
มร.เดวิด นาร์โดน กล่าวต่อว่า นอกจากแผนการขยายพื้นที่เหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด แห่งที่ 2 จังหวัดชลบุรีที่ได้รับการอนุมัติจาก กนอ. แล้ว บริษัทยังมีแผนการลงทุนในปี 2558 ในส่วนของโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Power Producers หรือ SPP) ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กให้ได้จำนวน 7 แห่งภายในปี 2558 ซึ่งในปี 2557 บริษัทได้เปิดตัวไปแล้ว 1 แห่ง ดังนั้นจึงเหลืออีก 6 แห่ง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า นอกจากนี้บริษัทยังได้ศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Independent Power Producers หรือ IPP) ร่วมด้วยเพื่อที่จะดำเนินการในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงประมาณปี 2565
ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจนั้น ตนมองว่าทุกหน่วยงานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างชะลอการตัดสินใจการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้กลุ่มนักลงทุนกลับมาตัดสินใจการขยายธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่ได้รับความสนใจที่สุดในอาเซียนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายๆ ด้าน อาทิ ภูมิศาสตร์และสังคม เป็นต้น