Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟเปิดแผนการลงทุนรับปีม้า
ดร.สมศักดิ์ วาทินชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับแผนการลงทุน กลยุทธ์ทางการตลาด เป้าผลประกอบการในปี 2557 และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้
บิส โฟกัส : แผนการลงทุนในปี 2557
ดร.สมศักดิ์ : บริษัทจะขยายโรงงานบนพื้นที่ 4 ไร่ 2 งาน โดยจะเป็นไลน์ออโตเมชั่นหรือใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนแรงงานคนและจะนำแรงงานจากหน่วยงานผลิตไปเป็นหน่วยงานติดตั้งแทน เนื่องจากปัจจุบันแรงงานคนหายาก สำหรับมูลค่าการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 195 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างโรงงาน 120 ล้านบาทและค่าเครื่องจักรหุ่นยนต์ซึ่งจะนำเข้าจากประเทศเยอรมนีเพื่อเสริมศักยภาพการผลิต 4 เครื่อง 75 ล้านบาท
โดยจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี ซึ่งจะเริ่มตอกเสาเข็มในเดือนเมษายนนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2558 หลังจากนั้นจะทดสอบเครื่องจักรประมาณ 1-2 เดือนและเริ่มการผลิตได้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2558 เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยปัจจุบันบริษัทสั่งซื้อเครื่องจักรเและมีผู้รับเหมาแล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายสาขาในส่วนภูมิภาค (Branch Office) โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 อาทิ จังหวัดระยองและนครศรีธรรมราช ส่วนในปี 2559 จะขยายไปที่จังหวัดขอนแก่นและเชียงใหม่ รวมทั้งมีแผนที่จะจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศคือประเทศนิวซีแลนด์และประเทศออสเตรเลีย โดยมอบหมายให้ดีลเลอร์ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้ดูแลและควบคุม 2 ประเทศนี้ซึ่งได้มีการดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2556 แล้ว
บิส โฟกัส : วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ได้รับหลังจากขยายโรงงานเสร็จ
ดร.สมศักดิ์ : วัตถุประสงค์ในการขยายโรงงานประกอบด้วย 1.เพื่อขยายตลาดรองรับ AEC รวมไปถึงอินเดีย จีน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 2.ลดแรงงานคนโดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งส่งผลให้ง่ายต่อการควบคุม 3.ลดต้นทุน
ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อขยายโรงงานแล้วเสร็จคือยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือจากปกติที่มียอดขายประมาณ 360 ล้านบาท/ปี จะส่งผลให้มีรายได้เพิ่มเป็น 720 ล้านบาท/ปี
บิส โฟกัส : งบประมาณการตลาดปี 2557
ดร.สมศักดิ์ : ปีนี้จะใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 8 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1.ใช้สำหรับ R & D (Research and Development) งานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการดูงานในต่างประเทศร่วมด้วย 2.การจัด Exhibition ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ อาทิ นิตยสาร เป็นต้น
บิส โฟกัส : กลยุทธ์การตลาด
ดร.สมศักดิ์ : จะเน้นกลุ่มลูกค้าเก่าและขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยการจัดสัมมนาให้กับลูกค้าฟรีในเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ห้องปฏิบัติการและอาคารห้องปฏิบัติการ ซึ่งใน 1 ปี จะมีการอบรม 2 ครั้งให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีวิทยากรของบริษัทและเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ในการอบรมซึ่งจะเน้นเรื่องความปลอดภัยและเรื่องสุขภาพในการใช้ห้องปฏิบัติการในการอบรม
ในส่วนของลูกค้าใหม่ภายในประเทศจะต่อเนื่องจากลูกค้าเก่าซึ่งจะเป็นบริษัทในเครือของลูกค้าเก่าโดยจะต่อยอดให้มาเป็นลูกค้าของบริษัทได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการบอกปากต่อปากถึงคุณภาพสินค้าของบริษัท นอกจากนี้ก็จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มเติมอีกในส่วนลูกค้าในต่างประเทศที่บริษัทได้เปิด Exhibition และอบรมในต่างประเทศ
บิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปี 2557
ดร.สมศักดิ์ : ตั้งเป้าไว้ที่ 360 ล้านบาท โดยเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 20% และหลังจากที่ขยายโรงงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า ดังนั้นจึงตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2558 ไว้ที่ 500 ล้านบาท
บิส โฟกัส : กำหนดนโยบายการดำเนินงานในปีนี้ไว้อย่างไร
ดร.สมศักดิ์ : ประกอบด้วย 1.Customer Service & Total Quality Service โดยมีการบริการหลังการขายที่ดีอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่านั้นคือการบริการอย่างมืออาชีพ 2.Lab Consulting & Training โดยมีการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาทางด้านแล็บวิทยาศาสตร์ให้กับลูกค้าและผู้ที่สนใจ 3.Customer Relationship การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า 4.Innovative & Science Technology การสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านแล็บวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย 5.Professional Engineering Sales พนักงานขายมีความเป็นมืออาชีพ เชี่ยวชาญ ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดจะเรียกว่ากลยุทธ์การขายแบบ Turnkey Solution (One Stop Service) โดยบริษัทจะออกแบบ ผลิต ติดตั้ง บริการหลังการขายตามความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร
บิส โฟกัส : สัดส่วนการจำหน่ายในต่างประเทศ
ดร.สมศักดิ์ : ในปี 2556 ที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายในต่างประเทศอยู่ที่ 10% อาทิ อินเดีย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น สำหรับในปีนี้จะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเพิ่มเป็น 15% เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท ส่วนในปี 2558 จะเพิ่มเป็น 20%
บิส โฟกัส : การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558
ดร.สมศักดิ์ : ตนมองว่าการเข้าสู่ AEC ในปี 2558 จะทำให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้นและมีโอกาสในหลายๆ ด้านๆ โดยเบื้องต้นบริษัทได้มีการทำตลาดไว้นานแล้วและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อครองใจลูกค้าไว้ให้คงอยู่เช่นเดิม รวมทั้งยังเป็นโอกาสที่มองหาลูกค้าใหม่เพิ่ม นอกจากนี้ตนต้องการให้ SME เร่งการพัฒนาในด้านคุณภาพของสินค้าเพื่อไม่ให้ประเทศอื่นมาตีตลาดบ้านเราและเพื่อเป็นการเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งในด้านการแข่งขันอีกด้วย
{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_015/designAlt/success{/gallery}
บิส โฟกัส : จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ดร.สมศักดิ์ : ประกอบด้วย 1.เป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ติดตั้งระบบ Fully Knockdown 100% 2.ไม่มีการปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง 3.สินค้ามีอายุการใช้งานยาวนานโดยใช้กาวกันน้ำในห้องแล็บซึ่งสามารถแช่น้ำได้ตลอด 24 ชม. 4.คุณภาพมาตรฐานของสินค้าของบริษัทจะใช้มาตรฐาน SEFA มาควบคุมซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก
นอกจากนี้บริษัทจะเน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและชุมชนรอบข้างในด้านสิ่งแวดล้อมร่วมด้วยเพื่อให้บริษัทสามารถอยู่ร่วมกับชุมชุนได้อย่างมีความสุขและยั่งยืนในอนาคต โดยบริษัทนับเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในการทำตู้ดูดควันไอกรดสารเคมีเป็นเจ้าแรก
บิส โฟกัส : หลักการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพที่ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ
ดร.สมศักดิ์ : ในส่วนของหลักการบริหารงานด้านบุคคลจะใช้ HRM HRD และ HR พุทธะ ซึ่งเป็นการใช้บริหารงานบุคคลเชิงพุทธศาสนา โดยการให้พนักงานมีส่วนร่วมในทุกๆ มิติแบบ 360 องศา อาทิ Vision (วิสัยทัศน์) Mission (พันธกิจ) เป็นต้น โดยทั้งองค์กรร่วมกันคิดไม่ใช่แค่เพียงผู้บริหารเท่านั้น จึงทำให้บริษัทประสบผลสำเร็จได้ในวันนี้ ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 200 คน
นอกจากนี้ บริษัทยังส่งเสริมด้านการศึกษาฟรี โดยส่งบุคลากรไปเรียนหลักสูตร "การพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศในการจัดการ" (Mini Master of Management Program - MMM) จัดโดยคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ซึ่งจะส่งพนักงานระดับหัวหน้าไปเรียนเพื่อให้สามารถทำงานในหลายๆ ด้านและเสริมศักยภาพให้เรียนรู้ในทุกส่วนที่ยังไม่รู้
เนื่องจากตนต้องการให้บุคลากรมีองค์ความรู้ทั้งเชิงวิชาการและเชิงประจักษ์ ถ้าไม่ส่งเสริมความรู้ให้พนักงานอาจจะทำให้การพัฒนาเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงเน้นส่งเสริมด้านนี้เป็นพิเศษ สำหรับหลักเกณฑ์การพิจาณาในการเลือกจะต้องเป็นคนเก่ง มีคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่าแต่คนที่เข้ามาใหม่ก็มีโอกาสได้รับเลือกเช่นกันถ้าตรงกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณา
บิส โฟกัส : มีการจัดทำโครงการ CSR อย่างไรบ้าง
ดร.สมศักดิ์ : กิจกรรม CSR ที่บริษัทเราดำเนินการประกอบด้วย 1.โครงการ 1 โรงเรียน 1 ห้องแล็บ โดยมอบให้กับโรงเรียนวัด สำหรับโครงการนี้เราจะดำเนินการร่วมกับลูกค้าเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนวัดที่ยังขาดแคลน 2.ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ บริจาคติดตั้งตู้ดูดควันไอกรดสารเคมีฟรีไม่น้อยกว่า 36 โรงเรียน 3.บริจาคเฟอร์นิเจอร์ให้กับศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดปันเสา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อใช้ในห้องต่างๆ เช่น ศาลา ห้องน้ำ เป็นต้น
คลิงเกอร์ (ไทยแลนด์) ยิ้มรับ BOI หนุนต่อยอดธุรกิจ
คุณเจตพล โสมสุภางค์ศรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท คลิงเกอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัสในโอกาสได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในโครงการขยายไลน์การผลิตกึ่งออโตเมติกสำหรับปะเก็นกึ่งโลหะพร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ มูลค่าโครงการรวม 88 ล้านบาท เป้าหมายผลประกอบการ รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้
นิตยสารบิส โฟกัส : รายละเอียดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
คุณเจตพล : บริษัทได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เมื่อเดือนตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ในโครงการขยายไลน์การผลิตกึ่งออโตเมติกสำหรับปะเก็นกึ่งโลหะพร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ มูลค่าโครงการรวม 88 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการพิจารณาอนุมัติ เนื่องจากยังติดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอน โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีนำเครื่องจักรและวัตถุดิบ
นิตยสารบิส โฟกัส : วัตถุประสงค์ในการขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
คุณเจตพล : บริษัทต้องการเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตและจะจำหน่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายดังนี้ 1.จำหน่ายในประเทศออสเตรเลีย 30% ซึ่งเป็นการส่งคืนให้กับสำนักงานใหญ่ที่ประเทศออสเตรเลีย 2.จำหน่ายในเอเชีย 20% อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น 3.จำหน่ายในประเทศไทย 50% อาทิ ภาคใต้ โรงกลั่นในมาบตาพุด เป็นต้น
นิตยสารบิส โฟกัส : กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด/ปี
คุณเจตพล : สำหรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากติดตั้งเครื่องจักรเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นซึ่งสมมุติว่าจากเดิมถ้าเราผลิตได้ 36,000 ชิ้น/ปี คาดว่าจะเพิ่มเป็น 150,000 ชิ้น/ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีแรกคาดว่าในปีต่อๆ ไปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเท่าตัว
นิตยสารบิส โฟกัส : รายละเอียดการติดตั้งเครื่องจักรใหม่
คุณเจตพล : เครื่องจักรที่นำเข้ามาติดตั้งในเบื้องต้นประกอบด้วย 1.เครื่องตัดเลเซอร์ 1 เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องมือ 2 มูลค่าประมาณ 6-7 ล้านบาท โดยเป็นเครื่องที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น แต่เรานำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย สำหรับประโยชน์ของเครื่องนี้คือจะสามารถทำให้ควบคุมต้นทุน เวลาและวัตถุดิบได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น 2. เครื่องม้วนปะเก็นกึ่งออโตเมติก มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเครื่องจักรอื่นๆ อีกหลายเครื่องที่ยังไม่ได้นำมาติดตั้ง รวมมูลค่าเครื่องจักรทั้งหมดที่จะนำเข้ามาติดตั้ง 35 ล้านบาท โดยได้เริ่มติดตั้งเครื่องจักรเมื่อกลางปี 2556 ที่ผ่านมา คาดว่าจะดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานได้สมบรูณ์ 100% หลังจากนี้อีก 1-2 ปีข้างหน้า
นิตยสารบิส โฟกัส : วางเป้าหมายผลประกอบการในปีนี้ไว้อย่างไร
คุณเจตพล : ในปี 2556 เราตั้งเป้าผลประกอบการไว้ที่ 40 ล้านบาท แต่ทำได้ 43.5 ล้านบาท ซึ่งเกินเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยรายได้ส่วนใหญ่ 95% มาจากตลาดในประเทศและในปี 2557 ตั้งเป้าผลประกอบการไว้ที่ 95 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากมีตลาดต่างประเทศร่วมด้วย
นิตยสารบิส โฟกัส : ทิศทางการดำเนินงานในปี 2557
คุณเจตพล : ปัจจุบันเรามีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 10% หากดำเนินการเพิ่มไลน์การผลิตและติดตั้งเครื่องจักรเรียบร้อยจะสามารถผลิตสินค้าออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะขยายตลาดและมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 50% เนื่องจากเป็นสินค้าที่ทางอุตสาหกรรมต้องใช้อยู่แล้วและถัดจากนี้อีก 3 ปี ตั้งเป้ามีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 65% ถึงแม้ว่าการตลาดมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงแต่เรามั่นใจในสินค้าของเราที่มีคุณภาพมาตรฐานและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสนับสนุนให้กับลูกค้า รวมทั้งการให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับเรื่องปะเก็น ซึ่งการทำอุตสาหกรรมปะเก็นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเป็นเรื่องของ Engineering โดยตรง เรามีทีมที่สนับสนุนในส่วนนี้ไว้รองรับอยู่แล้วซึ่งจะเป็นจุดเด่นที่เหนือคู่แข่งและจะส่งผลให้เราเป็นผู้นำตลาดด้านนี้ในอนาคต
นอกจากนี้จะโฟกัสเรื่องการขยายไลน์การผลิตและติดตั้งเครื่องจักรเป็นหลักซึ่งจะครอบคลุมการดำเนินงานทั้งหมดของแผนงานในอีก 2 ปีถัดไปจากนี้ อย่างไรก็ตามการทำให้ระบบต่างๆ เสร็จสมบูรณ์จะต้องใช้เวลา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยนำเข้าเครื่องจักร เมื่อระบบทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อยเราจะต้องพัฒนาคุณภาพบุคลากรเพื่อสนับสนุนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบ IT เพื่อให้เดินไปพร้อมกันด้วย โดยเราจะลงระบบ IT ใหม่ทั้งหมดเพื่อเซ็ตระบบในการสนับสนุนการทำงานให้ครอบคลุมการทำงานในทุกส่วน โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท
และเรายังมีแผนที่จะเพิ่มตลาดในต่างประเทศนั้นคือประเทศเวียดนาม โดยร่วมมือกับเซลล์ของสำนักงานใหญ่ในประเทศออสเตรเลียซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดประเทศเพื่อนบ้านของเราช่วยหาลูกค้าเพิ่ม ซึ่งเรามองว่าเวียดนามเป็นตลาดที่ใหญ่ในระดับหนึ่งแต่ยังไม่ใหญ่เท่าตลาดในบ้านเรา โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2556 ที่ผ่านมา
เคเอฟซี ลุยตลาดไดร์ฟทรู พร้อมเทงบ 2.2 พันลบ. ตอกย้ำแบรนด์
เคเอฟซี รุกตลาดรูปแบบไดร์ฟทรู เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ทุ่มทุนกว่า 2.2 พันล้านบาทขยายสาขาและตอกย้ำแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ประกาศเติมสาขาครบ 800 สาขาในปี 2563 ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศรองรับการเติบโตของจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น
คุณแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนภายใต้แบรนด์ เคเอฟซี กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 30 ปี โดยมีร้านเคเอฟซีเปิดให้บริการกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ
ส่วนในระยะยาว คาดว่ายอดขายของแต่ละสาขาจะสามารถเติบโตได้ถึง 50% โดยเฉพาะการเปิดร้านเคเอฟซีในรูปแบบสาขาไดร์ฟทรู เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและต้องการความรวดเร็วในการรับประทานอาหารทั้งที่รับประทานในร้านและสั่งซื้อกลับบ้านของลูกค้า รวมทั้งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดได้เปิดสาขาแรกที่ถนนศรีนครินทร์
ด้านแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทได้เตรียมทุ่มงบกว่า 2.2 พันล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณเปิดสาขาใหม่ 900 ล้านบาท งบประมาณการตลาด 650 ล้านบาท งบประมาณในการปรับปรุงร้าน 450 ล้านบาทและงบประมาณในด้านอื่นๆ 200 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งสิ้น 50 สาขา แบ่งเป็นสาขาในรูปแบบไดรฟ์ทรู สแตนด์อะโลน 10 สาขา โดยใช้งบประมาณ 30-40 ล้านบาทต่อสาขา
“ในปีนี้เคเอฟซีมุ่งเน้นที่จะตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 50 สาขาเป็นรูปแบบไดร์ฟทรูรอบๆ กรุงเทพฯ รวมทั้งการเปิดร้านในอำเภอรองจากอำเภอเมืองในแต่ละจังหวัดตาม Hyper Market อาทิ เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี เป็นต้น และรูปแบบร้านที่อยู่ในห้าง Shopping Mall ทั่วไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ” คุณแววคนีย์กล่าว
นอกจากนี้ในปี 2563 เคเอฟซีมีความมั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาได้ถึง 800 สาขา ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเคเอฟซีเปิดสาขาได้มากกว่าที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อให้เข้าถึงปณิธานของเคเอฟซีที่มุ่นมั่นที่จะเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของชุมชนและสามารถสร้างงานให้กับคนในชุมชนนั้นๆ ด้วย
คุณแววคนีย์กล่าวต่อถึงด้านการตลาดในปีนี้ว่าเคเอฟซีมีการสร้างการรับรู้และตอกย้ำแบรนด์ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ โซเชียลเน็ตเวิร์ค รวมทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งแต่ละโปรโมชั่นที่จะออกมามุ่งเจาะกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่นและวัยทำงาน
ด้านเป้าผลประกอบการในปี 2556 ที่ผ่านมา เติบโตเพิ่มขึ้น 10% และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 15% เพิ่มจากปีก่อนด้วยการเพิ่มสาขาและทยอยเปิดสาขาใหม่ตลอดทั้งปี รวมทั้งการขยายตัวของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าแนวโน้มของตลาดในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน รวมทั้งกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ยังให้การตอบรับผลิตภัณฑ์จากเคเอฟซีเป็นอย่างดี ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคุณภาพและรสชาติที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยเป็นอย่างดี
“เราให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นสร้างประสบการณ์และผลิตภัณฑ์คุณภาพ ความปลอดภัย รวมทั้งใช้ไก่สดปรุงใหม่ๆ ในร้านและรสชาติอร่อยถูกปากคนไทยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ จึงทำให้เคเอฟซีเป็นผู้นำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน โดยมีเป้าหมายขยายส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 50% ในปี 2557” คุณแววคนีย์กล่าว
สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 นับเป็นโอกาสดีที่แบรนด์ของคนไทยจะไปตีตลาดในต่างประเทศมากขึ้น สำหรับ KFC ได้มีการเตรียมความพร้อมในการศึกษาทำเลที่ตั้งของสาขาต่างๆ ที่อยู่รอบๆ บริเวณจังหวัดชายแดนซึ่งเป็นเมืองเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและมีการเข้า-ออกของคนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
คุณแววคนีย์กล่าวต่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารงานคือ “คน” โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นซึ่งจะส่งผลให้พนักงานและองค์กรประสบความสำเร็จ ในปัจจุบันบริษัทมีพนักงานในสำนักงานประมาณ 300 คนและพนักงานประจำร้านไม่น้อยกว่า 15,000 คน
“เรามีพนักงานเป็นจำนวนมากและเราได้นำวัฒนธรรมมาจากคุณเดวิด โนแวค ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยัม! แบรนด์ส อิงก์ ซึ่งคุณเดวิดอยากให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นในตนเองว่าเมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว เราจะต้องประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างความมุ่งมั่นที่จะคิดเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จตามจุดหมายในแต่ละวัน” คุณแววคนีย์กล่าว
ด้านกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรหรือ CSR เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจด้านอาหาร ดังนั้นจึงมีแนวคิดจัดทำโครงการ CSR ในด้านอาหาร โดยร่วมสนับสนุนโครงการอาหารโลก หรือ WFP (The World Food Programme) ในการระดมทุนทรัพย์ตามสาขาต่างๆ ของ KFC อาทิ โครงการช่วยเหลือด้านอาหารในประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้รับความผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน เป็นต้น
ส่วนในประเทศไทย บริษัทได้เข้าร่วมโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อให้นักเรียนมีอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการบริโภคตลอดปีการศึกษา โดยใช้ผลผลิตการเกษตรที่ผลิตขึ้นภายในโรงเรียนมาประกอบอาหาร และนำเงินที่ได้รับบริจาคในแต่ละสาขาเข้าร่วมสมทบกองทุน
“การวางกล่องรับบริจาคในแต่ละสาขา ถือเป็นการตอบโจทย์ในการรับบริจาคได้เป็นอย่างดีเพราะเราสามารถบริหารจัดการเงินทุกบาททุกสตางค์ได้ด้วยตัวเองและนำมาสะสมเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อสมทบทุนในโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในทุกๆ ปี รวมทั้งเรายังภูมิใจที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเพื่อถวายเงินสมทบกองทุนอีกด้วย” คุณแววคนีย์กล่าว
คุณแววคนีย์กล่าวปิดท้ายว่านอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการร้านน้องหูหนวก ซึ่งเป็นร้าน KFC ที่มีแต่เฉพาะพนักงานคนหูหนวก โดยให้บริการเป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่ไทม์ สแควร์ ซึ่งได้เริ่มเปิดรับสมัครคนหูหนวกมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยให้สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการประชาสัมพันธ์ข่าวนี้ให้คนหูหนวกได้รับทราบ
วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์เปิดแผนงานปี 2557
คุณกฤษดา ชวนะนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์ จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับแผนการดำเนินงาน การลงทุน การตลาดในปี 2557 และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้
บิส โฟกัส : นโยบายการดำเนินงานในปี 2557
คุณกฤษดา : แผนงานของบริษัทที่ต้องดำเนินการในขณะนี้คือการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นโอกาสและมีความพร้อมมากกว่าคนอื่นก่อนที่จะเกิดการแข่งขัน ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องกังวล ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทวิจิตรภัณฑ์ปฏิบัติและยึดมั่นมาตลอดคือการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันก็มุ่งสร้างสรรค์ความยั่งยืนด้วย ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่กลุ่มธุรกิจเรามองคือไม่เพียงแต่เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้ว เพราะถ้าเราหยุดเมื่อไหร่คนอื่นก็จะทันและแซงเราไป แต่เราจะก้าวอย่างไรให้มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีความเสี่ยงได้ง่าย ถ้ามุ่งเฉพาะการเติบโตแล้วไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันต่อเหตุการณ์ก็จะสู้กับใครไม่ได้ สุดท้ายก็จะแพ้กับสถานการณ์เอง ไม่ได้แพ้ให้กับคู่แข่ง ตรงนี้เป็นหัวใจของกลุ่มบริษัทที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเราพยายามทำเวิร์คช็อปตลอดเพื่อนำไปพัฒนาว่าควรจะปรับตัวอย่างไร มองภาพธุรกิจในอนาคตอย่างไร รวมไปถึงมองวิสัยทัศน์ระยะยาวใน 5 ปี 10 ปี ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพื่อไปสู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในอนาคต
บิส โฟกัส : แผนการลงทุนในปี 2557
คุณกฤษดา : ในปีนี้จะมีการลงทุนเพื่อพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า ซึ่งจะใช้งบลงทุนประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยจะใช้ในการทำตลาด การผลิตและการปรับปรุงระบบ ซึ่งไม่ได้ใช้เฉพาะเป็นโครงการใดโครงการหนึ่ง
ทั้งนี้ด้วยสภาวะต่างๆ เราคงต้องชะลอการลงทุนเล็กน้อยแต่กำลังมองหาโอกาสที่กำลังจะลงทุน ซึ่งมีหลายๆ โครงการที่เราคิดว่าน่าสนใจ เช่น การปลูกปาล์มในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเนื่องจากการลงทุนในต่างประเทศต้องใช้เงินทุนสูงและมีความเสี่ยงสูง ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ก็จะไม่ทำ เพราะมองว่าในสภาวะตอนนี้ เราต้องดูสภาวะเศรษฐกิจให้แน่นอนก่อนเพราะทางกลุ่มบริษัทต้องการพัฒนาและก้าวอย่างมั่นคง
บิส โฟกัส : แผนการตลาดในปี 2557
คุณกฤษดา : สำหรับการตลาดในปีนี้ ตนเชื่อว่าจะมีความท้าทายอีกมากมายไม่ใช่เฉพาะในอุตสาหกรรมปาล์มเท่านั้นแต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย โดยเราต้องวิเคราะห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตแต่ในขณะเดียวกันเรามองว่าปีนี้เป็นปีรับ เราไม่เคยหยุดนิ่งพยายามเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสคือจะไม่เร่งผลิตมากนัก ซึ่งจะทำให้มีเวลาคุยกับทีมเพื่อหาแนวทางตั้งรับในวิกฤติต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นปีที่ต้องระวัง เน้นการเตรียมความพร้อม โดยจะเริ่มบุกจริงจังในปี 2558 แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโดยรวมของปีหน้าด้วย
โดยอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องมีความพร้อมซึ่งสิ่งที่มากับเกษตรเหมือนน้ำขึ้น น้ำลง ซึ่งถ้าในช่วงน้ำลง ถ้ามีขันก็ไม่สามารถตักน้ำได้ ในขณะเดียวกันเมื่อโอกาสมาถึงแล้วไม่มีวัตถุดิบหรือไม่พร้อมและเดินหน้าไม่ได้จะเป็นปัญหาใหญ่เช่นเดียวกับน้ำขึ้นแล้วตักไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายสำหรับเราเนื่องจากกลุ่มวิจิตรภัณฑ์มีกำลังการผลิตค่อนข้างมาก เมื่อรวมทั้งกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกับรายใหญ่ๆ ของประเทศเราจะอยู่อันดับต้นๆ จึงต้องมีความพร้อมในการดำเนินการในทุกด้านและทุกช่วงโอกาสที่จะมาถึง
เราจะพยายามทำธุรกิจในเชิงรุกมากกว่าที่จะเป็นธุรกิจในเชิงแก้ปัญหาซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งเพราะเราเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งจะมีปัญหาเข้ามาทุกๆวัน ถ้าไม่สามารถก้าวผ่านปัญหารายวันได้ก็จะติดกับการแก้ปัญหาอยู่เรื่อยไป
บิส โฟกัส : กำลังการผลิต ณ ปัจจุบันของบริษัท
คุณกฤษดา : กำลังการผลิตรวมของกลุ่มวิจิตรภัณฑ์อยู่ที่ 180 ตัน/ชั่วโมง ส่วนวิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 120 ตัน/ชั่วโมง ในกลุ่มวิจิตรภัณฑ์จะใช้วัตถุดิบสำหรับการผลิตน้ำมันปาลม์ดิบ 180,000 กิโลกรัม/ชั่วโมง ทั้งนี้การมีกำลังการผลิตมากนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ดังนั้นจึงต้องคุยกับทีมงานตลอดเวลา อย่างเช่น ในช่วงเวลาที่วัตถุดิบออกมาน้อยเราจะทำอย่างไรและเตรียมความพร้อมอย่างไร เป็นต้น
ท่าอากาศยานดอนเมือง กับความสำเร็จ 1 ศตวรรษ
ว่าที่เรืออากาศโทจตุรงคพล สดมณี ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสครบรอบ 100 ปี ท่าอากาศยานไทย พร้อมทั้งเปิดแผนการดำเนินการปรับปรุงท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนี้
บิส โฟกัส : การจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสสนามบินดอนเมือง ครบรอบ 100 ปี
ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : ในปีนี้สนามบินดอนเมืองครบรอบ 100 ปี ซึ่งนับว่าเป็นสนามบินที่เก่าแก่ที่สุดของโลกและได้มีการจัดงานครบรอบไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ตลอดทั้งปี 2557 จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ แจกของที่ระลึกให้กับผู้โดยสาร การแสดงดนตรี การเดินขบวนพาเหรดและในช่วงสงกรานต์มีกิจกรรมสรงน้ำพระ การแห่ขบวนกลองยาว เป็นต้น
บิส โฟกัส : แผนการปรับปรุงสนามบินดอนเมือง
ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : เนื่องจากในปี 2554 ที่ผ่านมาสนามบินดอนเมืองประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่และสามารถเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม 2555 หลังจากนั้นสายการบินต่างๆ ก็ได้เริ่มกลับมาใช้ฐานการบินที่สนามบินดอนเมืองมากขึ้น ซึ่งมีผู้โดยสารประมาณ 3 ล้านคน/ปี ส่วนในปี 2556 จำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น 16.4 ล้านคน/ปี
ตนมองว่าอาคารสนามบินดอนเมืองได้ก่อสร้างมานาน บางอาคารก่อสร้างตั้งแต่ปี 2528 บางอาคารก็ก่อสร้างเมื่อปี 2534 และมองว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุง จึงได้เริ่มมีการหางบประมาณเพื่อดำเนินการปรับปรุงและฟื้นฟูสนามบินดอนเมืองโดยพื้นที่ชั้น 1 ที่โดนน้ำท่วมเกือบทุกอาคารยังไม่ได้มีการปรับปรุงและในระยะแรกที่เริ่มเปิดดำเนินการหลังน้ำท่วมเราเปิดดำเนินการเพียงแค่ Terminal 1 North Corridor Pier 2 3 และ 4 ให้บริการผู้โดยสารเท่านั้น
ทั้งนี้ตนได้กำหนดระยะเวลาในการพัฒนาสนามบินไว้ดังนี้ ระยะที่ 1 ในปี 2554-2555 ปรับปรุงและฟื้นฟูสนามบินดอนเมืองหลังจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ระยะที่ 2 ปี 2556-2557 จะดำเนินการปรับปรุง Terminal 2 Pier 5 South Corridor ซึ่งได้เริ่มดำเนินการของบประมาณตั้งแต่ปี 2556 ประมาณ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าการปรับปรุงแล้วกว่า 20% คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2557
ระยะที่ 3 ปี 2557-2559 จะดำเนินการปรับปรุงไฟสนามบิน ทางวิ่งฝั่งตะวันออก ปรับปรุงอาคาร Terminal สำหรับเครื่องบินส่วนตัว ขยาย North Corridor ไปด้านทิศเหนือเพิ่มอีก 4 หลุมจอด ปรับปรุงอาคาร Long Term Parking จากจอดรถ 3 ชั้น เป็น 8 ชั้น ปรับปรุง North Corridor Pier 2 3 และ 4 ปรับปรุง Terminal 1 ก่อสร้างลานจอดรถยนต์ 8 ชั้น บริเวณติดกับ Terminal 1 ปรับปรุงต่อเติม South Corridor ไปเชื่อมกับ Pier 6 เดิม ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังเดิม ปรับปรุงคลังสินค้า 1-4 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 และจะเริ่มดำเนินการหลังระยะที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว
สำหรับโครงการในอนาคตซึ่งเป็นระยะที่ 4 เมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงแล้วเสร็จในปี 2561 เรามีแผนที่จะสร้าง Terminal 3 ไปเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าของสายสีแดง พื่อให้บริการผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น การปรับปรุงคลังสินค้าด้านทิศใต้ให้เป็น Airport Office เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟและเราจะศึกษาหาข้อมูลการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดงฝั่งถนนวิภาวดีรังสิตกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวฝั่งถนนพหลโยธิน เพื่อให้ผู้โดยสารทั้งสองฝั่งถนนเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น
บิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปีนี้
ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : รายได้ของสนามบินดอนเมืองเพิ่มขึ้นมาก มีกำไรตั้งแต่ปี 2556 โดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทและในปี 2557 เราตั้งไว้ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมาและคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอน
บิส โฟกัส : จุดเด่นของสนามบินดอนเมือง
ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : ตนอยากให้สนามบินดอนเมืองเป็น Fast Airport ซึ่งจะให้บริการด้วยความรวดเร็วที่สุด โดยกำหนดให้ผู้โดยสารภายในประเทศจะต้องขึ้นเครื่องภายใน 30 นาทีและผู้โดยสารระหว่างประเทศ จะต้องขึ้นเครื่องภายใน 1 ชั่วโมง เราตั้งใจไว้ว่าทุกๆ นาทีของเราจะบริการให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นและมีค่าใช้จ่ายถูก เนื่องจากระบบของสนามบินดอนเมืองเป็น Internet Check In รวมทั้งมีแรงจูงใจให้กับทุกสายการบินที่ประจำการอยู่และที่กำลังจะย้ายฐานการบินมาที่นี่ ทั้งการลดราคาให้กับสายการบินใหม่ประมาณ 10-30% เป็นต้น ซึ่งในอนาคตจะมีสายการบินย้ายฐานจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมาที่นี่ด้วย
ปัจจุบันเราดำเนินการติดตั้งระบบอัตโนมัติ Car Park โดยใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด เรายังมี Airport Help ซึ่งเป็นนักศึกษาที่สามารถพูดภาษาจีนได้ เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่ของสนามบินดอนเมืองจะเป็นชาวจีน รวมทั้งจะติดตั้งระบบตรวจอัตโนมัติ (Auto Channel) ตรวจคนเข้าเมืองสำหรับคนไทยแบ่งเป็น ขาเข้า 4 ชุดและขาออก 4 ชุด ในอนาคตเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC แล้วอาจจะใช้ได้กับประเทศกลุ่มสมาชิกแต่ก็จะต้องขึ้นอยู่กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองด้วย นอกจากนี้เราจะมีศูนย์ Airport System Control Centre ซึ่งจะเป็นศูนย์ควบคุมระบบทั้งหมดของสนามบินจากคอมพิวเตอร์ภายในห้องเดียวเพื่อการควบคุมที่สะดวกมากขึ้น
บิส โฟกัส : หลักการบริหารองค์กรและบริหารบุคลากร
ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : ตนจะใช้หลัก 4 M คือ การบริหารกำลังคน (Man) วัสดุอุปกรณ์ (Materials) งบประมาณ (Money) และการบริหารจัดการ (Management) ซึ่งจุดที่ยากที่สุดก็คือการบริหารคน เพราะในปัจจุบันสนามบินดอนเมืองมีพนักงานกว่า 450 คนและ Out Source อีกประมาณ 800 คน
ตนเริ่มทำงานตั้งแต่ปี 2521 ปัจจุบันมีอายุงานกว่า 36 ปีและดูแลถึง 5 ท่าอากาศยานจากทั้งหมด 6 ท่าอากาศยานของบริษัท ตนพยายามถ่ายทอดการบริหารงานให้กับพนักงานทุกคนให้มีความรู้มากขึ้น โดยทุกๆ เช้าเวลาประมาณ 8 โมง จะมีการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อผิดพลาดและข้อแนะนำ ตนอยากให้ประเทศไทยเจริญเติบโตและผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็วและปลอดภัย เราจะวิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ และจะดำเนินการแก้ไขเพื่อป้องกันอย่างรัดกุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ ขึ้น