Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
พีอีเอ เอ็นคอมเปิดยุทธศาสตร์การลงทุนปี 57-58
พีอีเอ เอ็นคอมเดินหน้า 6 เมกะโปรเจคปี 57 ตอบรับความสำเร็จครบรอบ 4 ปี ส่วนแผนปีหน้าเตรียมลงทุนอีก 3 โปรเจครุกธุรกิจพลังงานทดแทนทุกประเภททั้งในและต่างประเทศรับ AEC เต็มสูบ
คุณปัญญา เล่าชู รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ พีอีเอ เอ็นคอม (PEA ENCOM) บริษัทในเครือแห่งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจครบรอบ 4 ปี โดยเริ่มดำเนินธุรกิจเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา และได้รับความเชื่อมั่นอย่างดีจากลูกค้าทั้งด้านคุณภาพและมาตรฐานการดำเนินงานในด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเน้นส่งเสริมการประหยัดพลังงานให้กับประเทศเพื่อให้สอดรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558
ทั้งนี้ บริษัทได้วางแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในระยะเวลา 5 ปี (2557-2561) สำหรับในปี 2557 ประกอบด้วย 6 แผนการลงทุน ดังนี้
1. การร่วมทุนกับบริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) ในโครงการโซล่าร์ฟาร์ม ภายใต้ชื่อ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สุรินทร์ 1 ) จำกัด ,บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สุรินทร์ 2) จำกัด, บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (เลย 2) จำกัด และบริษัท โซล่า เพาเวอร์ ( ขอนแก่น 10) จำกัด จำนวน 4 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 7.46 เมกะวัตต์ โดยบริษัทเป็นผู้ถือหุ้น 25% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 165 ล้านบาทจากมูลค่าโครงการ 2,640 ล้านบาท ขณะนี้ได้จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับคือเงินจากการลงทุน 10 ล้านบาท จากทั้งหมด 4 ไซต์ ในช่วงแรก (มิ.ย.-ธ.ค.2557)
2. การร่วมทุนกับบริษัท ปณวัฒน์ รีนิวเอเบิล จำกัด เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สที่ได้จากการหมักน้ำเสีย ขนาด 5 เมกะวัตต์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.กระบี่ มูลค่าการลงทุน 25 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต PPA เพื่อการสร้างโรงงานและขอใบ รง.4 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาสแรกปี 2558 โดยจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปี สำหรับรายได้ที่คาดว่าจะได้รับหลังจากดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท/ปี
3. โครงการผลิตไฟฟ้าจากการกำจัดขยะซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยโครงการนำร่องจะก่อสร้างที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ขนาด 3.8 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลอยู่และกำลังร่าง TOR ว่าจ้างผู้รับเหมา ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2558 และจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 18 เดือน โดยจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2559 สำหรับรายได้ที่จะได้รับจากโครงการนี้ประมาณ 178 ล้านบาท/ปี
4. โครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าน้ำฮัม 2 ที่ สปป.ลาว โดยร่วมทุนกับการไฟฟ้า สปป.ลาวและเอกชนไทย กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตในเรื่องต่างๆ จากรัฐบาล สปป.ลาว คาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในสิ้นปีนี้ โดยจะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้า สปป.ลาว ส่วนรายได้ที่จะได้รับจากโครงการนี้ประมาณ 20 ล้านบาท/ปี
5. โครงการประหยัดพลังงาน โดยบริษัทจะเข้าไปดูแลอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากๆ ซึ่งจะสนับสนุนและแนะนำให้เปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อประหยัดพลังงาน เช่น การใช้หลอดไฟ LED แทนหลอดฟลูออเรสเซ้นต์ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายจะสร้างยอดขายให้ได้มากกว่า 20 ล้านบาทในปีนี้
6. โครงการฝึกอบรมวิศวกรรมทางด้านไฟฟ้าให้กับบุคคลทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ โดยจะให้ความรู้ในด้านการจัดการเรื่องระบบไฟฟ้า การซ่อมบำรุง การให้การบริการ การตรวจสอบต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่สนใจมาฝึกอบรมทั้งหน่วยงานเอกชนและภาครัฐใช้ไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง โดยจัดอบรมเป็นรุ่นๆ ซึ่งที่ผ่านมา การไฟฟ้าของประเทศภูฏาน ได้เข้ามาอบรมในโครงการดังกล่าวเพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
ส่วนแผนการลงทุนในปี 2558 คุณปัญญากล่าวว่า โครงการแรกคือโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ขนาด 6 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2558 งบลงทุนประมาณ 480 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับบริษัทเอกชน
นอกจากนี้ มีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าโดยใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง 3 ไซต์ ประกอบด้วย เชียงใหม่ จำนวน 9 เมกะวัตต์, ชลบุรี จำนวน 5 เมกะวัตต์ และสมุยจำนวน 2 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณกลางปีหน้า รวมทั้ง โครงการผลิตไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์ ขนาด 1 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งแรกที่ จ.ร้อยเอ็ด ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ อยู่ คาดจะสามารถก่อสร้างได้ในปีหน้า
บูทิค แอสเซ็ท สยายปีกธุรกิจสู่คอนโดมิเนียม
บูทิค แอสเซ็ท ทุ่มงบกว่า 600 ลบ. ลุยโครงการคอนโดมิเนียมหรูแห่งแรกที่พัทยาภายใต้ชื่อ “ทรีท๊อปส์ พัทยา คอนโดมิเนียม” ชูเป็นบ้านหลังที่สองของกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปีหน้า พร้อม Soft Opening โรงแรมระดับ 3 ดาว “โอโซ่ พัทยา” กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตอกย้ำผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม
คุณปรับชะรัน ซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือกลุ่มบริษัทบูทิค เปิดเผยว่า โครงการทรีท๊อปส์ พัทยา คอนโดมิเนียม นับเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกของบูทิค แอสเซ็ทฯ ที่สร้างขึ้นด้วยประสบการณ์จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมหลากหลายแห่งที่ผ่านมา ประกอบกับกระแสการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมบูมมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าสู่ธุรกิจคอนโดมิเนียม โดยวัตถุประสงค์หลักคืออยากให้เป็นบ้านหลังที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการที่พักตากอากาศและไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้ง ยังใกล้ชิดกับธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวที่ทันสมัยตามสไตล์พัทยา
ทรีท๊อปส์ พัทยา คอนโดมิเนียม มีขนาดความสูง 12 ชั้น ตั้งอยู่บนเขาพระตำหนักระหว่างหาดจอมเทียนและพัทยาใต้ ใช้เวลาขับรถเพียง 1 ชั่วโมงจากสนามบินสุวรรณภูมิ มีพื้นที่โครงการทั้งหมด 2,647 ตร.ม. 252 ห้อง โดยมีแบบห้องให้เลือกทั้งหมด 4 ขนาด อาทิ ห้องสตูดิโอขนาด 24 ตร.ม. และ 25 ตร.ม., คอนโดมิเนียมแบบ 1 ห้องนอนขนาด 34.5 ตร.ม., คอนโดมิเนียมแบบ 2 ห้องนอนขนาด 59.5 ตร.ม. และคอนโดมิเนียมแบบ 3 ห้องนอนขนาด 69 ตร.ม. มีที่จอดรถกว่า 44 คัน โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2556 ปัจจุบันคืบหน้ากว่า 60% คาดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2558
โครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไว้บริการลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำแบบเปิด, อุปกรณ์ออกกำลังกาย, ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า, สวนหย่อม, โซนย่างบาร์บีคิว, และพื้นที่สำหรับอาบแดดบนชั้นดาดฟ้า อีกทั้งยังมีสวนสาธารณะส่วนกลางไว้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ, ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง และมีโซนล็อบบี้ส่วนกลางไว้คอยต้อนรับลูกค้าและผู้ต้องการติดต่อเข้าพบ
คุณปรับชะรันซิงห์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบูทิคถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมมาโดยตลอด ซึ่งในปัจจุบันมีโรงแรมทั้งหมด 12 แห่งทั่วประเทศ โดยไม่นับรวมโรงแรมแห่งใหม่ภายใต้ชื่อ โรงแรมไฮเอท ป่าตอง โรงแรมหรูระดับ 3 ดาว และเริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนสิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา รวมทั้งโครงการระยะกลางที่กำลังทยอยซื้อที่ดินไว้เพื่อรองรับสำหรับแผนการก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ๆ เพิ่มอีก
สำหรับโรงแรมล่าสุดของกลุ่มบริษัทบูทิคคือโรงแรมโอโซ่ พัทยา ซึ่งบริหารโดยเชนของกลุ่มอมารี โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารและจัดการงานโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก และ Soft Opening เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้บริการกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในช่วงไฮซีซั่นนี้ และเตรียมGrand opening ภายในสิ้นปีนี้
โรงแรมโอโซ่ พัทยา เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ขนาดความสูง 8 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 164 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำ, ห้องฟิตเนส, EAT2GO Grab and Go และ Free W-iFi Internet อีกทั้ง ยังตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ ชายหาดพัทยา, วอล์กกิ้ง สตรีท พัทยา และพิพิธภัณฑ์ริบลีส์ เป็นต้น
อนึ่ง กลุ่มบริษัทบูทิค ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 โดยคุณปรับชะรัน ซิงห์ ทักราล จนมีชื่อเสียงในแวดวงอสังหาริมทรัพย์จากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาหลายโครงการ มีการขยายตัวโครงการอยู่อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายเป็นอยางสูง
ล่าสุด กลุ่มบริษัทบูทิค ได้รับรางวัลชนะเลิศในงานไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอดส์ ประจำปี2012 จากการพัฒนาโครงการเรนฮิลล์ บนถนนสุขุมวิท 47 ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กับกลุ่มลูกค้าในโครงการทรีท๊อปส์ พัทยา คอนโดมิเนียม และโครงการอื่นๆ ของกลุ่มบริษัทบูทิคในอนาคตอีกด้วย
ศศิสมบัติปลื้ม “360 องศา พาโน เขาใหญ่” ฉลุย ลูกค้าเทใจ กระแสตอบรับเยี่ยม
คุณหญิงศศิมาเผย “360 องศา พาโน เขาใหญ่” มีความคืบหน้า 75% เล็งปิดโปรเจคครึ่งปีหลัง 2558 ฟุ้งลูกค้าให้การตอบรับดี มียอดขาย 80% แย้มแผนอนาคตต่อยอดธุรกิจ บริษัทในเครือเตรียมผุดโปรเจคใหม่บนแลนด์แบงค์ 100 ไร่ เจาะกลุ่มเป้าหมายรักสุขภาพ
คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการ บริษัท ศศิสมบัติ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ “360 องศา พาโน เขาใหญ่” ซึ่งตั้งอยู่บนแลนด์แบงค์ 30 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งได้เปิดตัวเมื่อช่วงปลายปี 2555 ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ การก่อสร้างมีความคืบหน้าประมาณ 75% โดยแผนการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ถึงแม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคบ้าง เนืองจาก โครงการตั้งอยู่บนภูเขา ดังนั้น เมื่อขุดเจาะจะเจอหินเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้าเล็กน้อย แต่ลูกค้าทุกรายก็เข้าใจ
ส่วนงานที่เหลืออีก 25% จะเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดในการดำเนินการ เช่น งานทาสี, งานเก็บรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งงานตกแต่งภายใน หากลูกค้าต้องการให้บริษัทดำเนินการให้ คาดว่าจะสามารถปิดโครงการนี้ได้ประมาณช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558
“โครงการของเราใกล้จะจบแล้ว เหลือเพียงแค่งานที่ต้องใช้ความละเอียด โดยในส่วนของบ้านพักคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้แก่ลูกค้าได้ภายในปีนี้ ส่วนคอนโดมิเนียม จะโอนให้แก่ลูกค้าในช่วงครึ่งปีหลัง 2558 ซึ่งจะดำเนินการให้เสร็จทันกับช่วงหน้าหนาว” คุณหญิงศศิมากล่าว
โครงการคอนโดมิเนียม “360 องศา พาโน เขาใหญ่” ตั้งอยู่ บนถนนธนะรัชต์ กม.9 อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แบ่งออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วยโซน A มีทั้งหมด 4 อาคาร 84 ยูนิต, โซน B มีทั้งหมด 4 อาคาร 60 ยูนิต และโซน C มีทั้งหมด 4 อาคาร 48 ยูนิต รวมทั้งหมด 192 ยูนิต นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาวิลล่าแบบเอ็กซ์คลูซีฟในบริเวณพื้นที่เดียวกัน จำนวน 20 หลังอีกด้วย
โครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว อาทิ สระว่ายน้ำ, พื้นที่จัดเลี้ยง, ห้องออกกำลังกาย พร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน, สวนสีเขียว, กล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง และที่จอดรถกว้างขวาง นอกจากนั้น ยังมีบริการพิเศษของ Club Pano ฟิตเนสอยู่บนยอดเขามองเห็นวิว 360 องศา, Kids Room, ห้องสัมมนา, ห้องคาราโอเกะ, เขาใหญ่ อินเลิฟ คอฟฟี่ช็อฟ, ศาลานั่งสมาธิ, อินเตอร์เน็ตไร้สายและบริการให้เช่าห้องพักคนขับรถ
สำหรับจุดเด่นของโครงการคือ จะมีการออกแบบให้แต่ละยูนิตสามารถมองเห็นวิวธรรมชาติที่สวยงามของเขาใหญ่ได้รอบทิศทาง 360 องศา โดยตั้งลดหลั่นอยู่บนไหล่เขา ซึ่งจะไม่มีสิ่งที่มาบดบังทัศนียภาพ อีกทั้ง ยังมีราคาไม่แพง หรือถูกมาก เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียง โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท ดังนั้น ลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการนี้จะได้รับสินค้าที่คุ้มค่ากว่าราคาเงินที่จ่ายไป ปัจจุบัน โครงการมียอดขาย 80% ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีเยี่ยม เพราะบริษัทไม่ได้มีการทำประชาสัมพันธ์ แต่ลูกค้าที่มาซื้อจะได้รับการบอกแบบปากต่อปาก
“การก่อสร้างโครงการนี้เราไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องผลกำไรแต่อย่างใด ถ้าเปรียบเทียบระหว่างงบการลงทุนกับมูลค่าโครงการแล้ว จะเห็นว่ามีส่วนต่างที่เป็นผลกำไรน้อยมาก แต่กำไรที่ได้จากโครงการนี้คือการได้ทำงานที่ชอบและได้พักอยู่อาศัยในสิ่งที่สร้างและมีความสุขในวัยชรา เพราะลูกค้าทุกรายที่มาซื้อโครงการนี้ ล้วนแต่เป็นคนที่รู้จักทั้งนั้น
ทุกคนที่มาชมโครงการมีความสุขมาก และมีฟีดแบ็คดีมากที่ได้ซื้อโครงการ เขาแฮปปี้ที่เราสร้างโครงการที่มีคุณภาพ เพราะเราไม่ขี้เหนียว เราใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เราไม่อยากขายโครงการที่ไม่มีคุณภาพ หรือสร้างแบบฉาบฉวย ซึ่งจะทำให้เราอยู่ไม่ได้ และลูกค้าจะต้องมาต่อว่าเรา เพราะรู้จักคุณหญิงศศิมากันทุกคน และอยากฝากถึงลูกค้าว่าจะไม่ผิดหวังที่มาซื้อโครงการนี้ สิ่งที่เขาได้จะมันคุ้มกว่าเงินที่ได้จ่ายไป นอกจากนี้ เราจะพยายามทำอย่างสุดฝีมือเพื่อให้ทุกคนในโครงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข” คุณหญิงศศิมากล่าว
ส่วนโครงการในอนาคต จะเป็นโครงการ ของบริษัท ศศิคีรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือศรีวิกรม์ กรุ๊ป โดยจะตั้งอยู่ติดกับโครงนี้ บนแลนด์แบงค์ 100 ไร่ ภายใต้ชื่อโครงการ “WELLNESS CENTER” โดยเป็นศูนย์สุขภาพระดับเวิร์ดคลาส มาตรฐานสากล ซึ่งจะร่วมทุนกับต่างชาติ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะเน้นลูกค้าต่างชาติที่รักสุขภาพ อย่างเช่น อินเดีย, สวีเดน และยุโรป โดยมีกำลังจ่ายสูงสำหรับแพ็คเกจสุขภาพ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการวางคอนเซ็ปต์ และยังไม่ได้มีการกำหนดการเปิดตัว เพราะอยากจะปิดหลังโครงการ 360 องศา พาโน เขาใหญ่ ให้เสร็จเรียบร้อย
คุณหญิงศศิมากล่าวต่อถึงแนวโน้มของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เขาใหญ่ว่า จะสดใสอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบัน เขาใหญ่นับเป็นหนึ่งในโลเคชั่นยอดนิยมของตลาดบ้านพักตากอากาศ หรือฮอลิเดย์โฮม ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการมีบ้านหลังที่ 2 ไว้สำหรับการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและอากาศบริสุทธิ์ เป็นแหล่งโอโซนสูงอันดับ 7 ของโลก อีกทั้ง ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังรายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์มากมายในจังหวัดนครราชสีมา อาทิ ปราสาทหินพิมาย, ปราสาทเขาพนมรุ้ง เป็นต้น
“เจ้าจุก” เดินแผนเจาะร้านอาหาร ดันยอดพุ่ง
เจ้าจุกเปิดแผนการตลาด เร่งขยายฐานลูกค้าสู่ร้านอาหารและเพิ่มสัดส่วนรับจ้างผลิต หวังกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ หนุนเติบโตอย่างมั่นคง วางเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 10%
คุณญาณี ชวานิสากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเอ็นซี. โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเต้าหู้นมสด, เต้าฮวยฟรุตสลัด และเบเกอรี่ ภายใต้แบรนด์ “เจ้าจุก” เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ว่าบริษัทมีแผนเพิ่มช่องทางตลาดอื่นๆ ให้เพิ่มอีกเท่าตัวจากปัจจุบันอยู่ที่ 10% หรือเพิ่มเป็น 20% โดยจะมุ่งเน้นเจาะกลุ่มร้านอาหารเป็นหลัก อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น หรือร้านอาหารแฟรนไชน์ เป็นต้น โดยปัจจุบันสัดส่วนการตลาดของบริษัทแบ่งเป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น 65%, ซุปเปอร์มาร์เก็ตอื่นๆ 15%, ตลาดอื่นๆ 10% และรับจ้างผลิต 10%
“เราคิดว่าช่องทางการตลาดอื่นๆ ยังมีช่องว่างที่เราสามารถเข้าไปเจาะได้อีก โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านแฟรนไชน์ ซึ่งเราจะลงทุนเพิ่มเติมในส่วนนี้ โดยจะมีทีมเซลล์เข้าไปเสนองานกับร้านค้าต่างๆ รวมทั้ง การจัดทำเมนูเพื่อนำเสนอสินค้าให้ลูกค้ารับทราบ ซึ่งจะใช้งบประมาณไม่สูง เพราะเป็นโครงการที่กำลังจะริเริ่ม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดทำเมนู
ทั้งนี้ หากการจัดทำเมนูแล้วเสร็จก็สามารถดำเนินการได้ทันที ในระยะแรกจะเน้นลูกค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สมุทรสาคร และนนทบุรี เป็นหลัก นอกจากนี้ เรามีแผนที่จะขยายตลาดรับจ้างการผลิตอีกด้วย ซึ่งจะทำให้แบรนด์เจ้าจุกแข็งแกร่งและทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจและสร้างความมั่นคงให้แก่องค์กร” คุณญาณีกล่าว
ด้านแผนการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารขนาดความสูง 2 ชั้น เพื่อรองรับออเดอร์ของลูกค้าในส่วนของเบเกอรี่ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 6-7 ล้านบาท ซึ่งทยอยดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ ส่วนการลงทุนด้านเครื่องจักรไม่ได้ลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด เพราะได้ดำเนินการติดตั้งไปก่อนแล้วหน้านี้
สำหรับเป้าผลประกอบการในปีนี้ บริษัทวางเป้าการเติบโตไว้ให้เพิ่มจากปี 2556 อีกประมาณ 10% หรือมียอดขาย เพิ่มจาก 45 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขอาจต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย ซึ่งอาจอยู่ที่ 48 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมถ้วนหน้า ส่วนเป้ายอดขายในปี 2558 ขณะนี้ บริษัทยังไม่ได้มีการตั้งเป้าแต่อย่างใด โดยจะต้องรอดูว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาสำหรับเป้ารายได้ในปีต่อไป
คุณญาณีกล่าวต่อถึงจุดเด่นของแบรนด์เจ้าจุกว่า มีรสชาติอร่อย เข้มข้น คงคุณภาพที่ดี มีสินค้าออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตสินค้าตามมาตรฐานองค์การอาหารและยา และการผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค โดยคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรในกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน รวมทั้ง มีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในทุกขั้นตอน เพื่อความมั่นใจในคุณภาพ และสามารถทวนสอบกลับได้ เมื่อเกิดปัญหา ปัจจุบัน บริษัทผลิตสินค้าตามมาตรฐานองค์การอาหารและยา และได้รับการคัดสรรเป็น otop 4 ดาวของจังหวัดนนทบุรีในปี 2546
“เรามีการจัดอบรมพนักงานในด้านจิตสำนึกของผู้ผลิตต่อผู้บริโภค ผ่านการพูดคุยก่อนเข้างานของทุกวัน และจัดอบรมเต็มวันตามโครงการของทางภาครัฐ โดยมีวิทยากรมาให้ความรู้ การดำเนินการดังกล่าวทำให้พนักงานมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อผู้บริโภคมากขึ้น และได้ช่วยให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ขณะนี้ เรามีกำลังการผลิตคิดเป็น 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด หรือมีกำลังการผลิต 10,000 ถ้วย/วัน ซึ่งสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มได้อีกเท่าตัว เพื่อรองรับการขยายตลาดของ เซเว่น-อีเลฟเว่น และตลาดอื่นๆ ในอนาคต” คุณญาณีกล่าว
ส่วนปัญหาอายุสินค้าของเต้าหู้นมสดแบรนด์เจ้าจุก ซึ่งปัจจุบันมีอายุเพียง 6 วัน จึงเป็นข้อจำกัดทำให้ไม่สามารถขยายตลาดออกทั่วประเทศได้ ขณะนี้บริษัทได้ร่วมกับทาง เซเว่น-อิเลฟเว่นเพื่อร่วมกันพัฒนาขั้นตอนการผลิตเพื่อเพิ่มอายุสินค้า เป็น 10 วัน ซึ่งจะทำให้สินค้าสามารถขยายตลาดออกไปทั่วประเทศได้ และจะทำให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
คุณญาณีกล่าวถึงความคืบหน้าของการสร้างสินค้าแบรนด์ใหม่ “เจ้าจ้อย” ได้เริ่มดำเนินการมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่เจาะตลาดระดับล่าง และยังไม่มีตลาดที่จะรองรับอย่างจริงจัง ประกอบกับยังมีปัญหาในเรื่องของต้นทุนการผลิต โดยจะต้องผลิตสินค้าส่งในราคาไม่เกิน 6 บาท เพราะจะต้องผ่านตัวแทนจำหน่ายหลายทอด อีกทั้งยังไม่มีเซลล์ที่เข้าไปเจาะตลาด ดังนั้น บริษัทจึงไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปบุกตลาดนี้ แต่จะเน้นทำตลาดแบรนด์เจ้าจุกที่มีกลุ่มเป้าหมายตลาดระดับกลางจนถึงพรีเมี่ยม เพราะได้ราคาสูงและคุ้มค่ากว่า
ท้ายสุด บริษัทอยากจะฝากถึงลูกค้าว่า ขอขอบคุณลูกค้าทุกคนที่ให้การสนับสนุนและติดตามเจ้าจุกมาตั้งแต่เริ่มวางตลาดเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันลูกค้าบางคนยังคงรับประทานสินค้าของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทสัญญาว่าจะคงคุณภาพสินค้า และปรับปรุงมาตรฐานการผลิตให้ดีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย สะอาด ปลอดภัย ตามนโยบายของบริษัทที่ยึดมั่นเสมอมา
“ไบโอฟาร์ม” เปิดตัวสินค้าใหม่เสริมแกร่งธุรกิจ
ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ส่ง “อ๊อปตามิน (Optamin)” เจาะกลุ่มคนใช้คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ลั่นปีแรกยังไม่หวังผลกำไร เน้นสร้างแบรนด์เป็นหลัก เดินหน้าการตลาดเต็มร้อยด้วยงบ 15-20 ลบ. คาดเป้ารายได้ปีนี้ของบริษัทกว่า 1,500 ล้านบาท
คุณเศกสุข เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายยา, เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “อ๊อปตามิน (Optamin)” ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสายตา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 40 ปีในการดำเนินธุรกิจ
โดยกลุ่มเป้าหมายเจาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน และกลุ่มคนที่ต้องทำงานและใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกวันและเป็นเวลานาน ซึ่งอ๊อปตามินจะช่วยในการป้องกันการเสื่อมสภาพของจอประสาทสายตา รวมทั้งการป้องกันโรค Computer Vision Syndrome หรือโรคซีวีเอส และลดการเสื่อมและช่วยบำรุงเส้นประสาทตาได้เป็นอย่างดี
“เราจะผลิตยาตัวใหม่ทุกๆ ปี สำหรับปีนี้คือ “อ๊อปตามิน” ซึ่งเป็นวิตามินบำรุงสายตา ที่เรามองว่าน่าจะสามารถทำตลาดได้เป็นอย่างดี โดยในปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมเล่นโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก มีการใช้งานทั้งอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งในแต่ละวันมักจะใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง โดยวิตามินนี้จะเป็นตัวช่วยในการบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี” คุณเศกสุขกล่าว
สำหรับกระแสตอบรับในปัจจุบันยังไม่ดีเท่าควร เนื่องสภาพของเศรษฐกิจในประเทศในปัจจุบัน ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนการทำโฆษณาและจัดโปรโมชั่นเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจะเน้นในเรื่องของ Advertorial หรือบทความเชิงความรู้ซึ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้เขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับตัวยาที่เป็นส่วนผสมในวิตามิน โดยเป็นตัวยาที่วงการแพทย์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้ง สหรัฐอเมริกาและยุโรป
ส่วนงบประมาณในการทำการตลาด บริษัทได้ตั้งไว้ใกล้เคียงกับการตั้งเป้ายอดขายของผลิตภัณฑ์อ๊อปตามิน ซึ่งในปีนี้กำหนดไว้ที่ 15-20 ล้านบาท โดยบริษัทมองว่าในปีแรกที่วางจำหน่ายอ๊อปตามิน ยังไม่เน้นการสร้างกำไรจากผลิตภัณฑ์ตัวนี้มากนัก แต่บริษัทเน้นการสร้างแบรนด์เป็นหลัก รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับกลุ่มลูกค้าที่สนใจในตัวผลิตภัณฑ์ให้มีจำนวนมากขึ้น
คุณเศกสุขกล่าวต่อถึงเป้าผลประกอบการของบริษัทว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการของบริษัทกว่า 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเป็นไปได้ตามเป้าหรืออาจจะใกล้เคียง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม สำหรับเป้าผลประกอบการในปีหน้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนการเติบโตของผลประกอบการในแต่ละปีเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8-10% โดยบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 85% และอีก 15% เพื่อส่งออก
คุณเศกสุขกล่าวต่อถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ว่า บริษัทมีความพร้อมในตลาด AEC มากว่า 15-20 ปีแล้ว เนื่องจากมีการผลิตและจัดจำหน่ายให้กับประเทศในกลุ่มอาเซียนมานาน โดยได้ผ่านการรับรองในเรื่องมาตรฐานในการผลิตหรือ GMP-PIC/S (หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยา) ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญในการผลิตและจำหน่ายยา ของกลุ่มประเทศยุโรป, อเมริกา และออสเตรเลีย
“เรามีความพร้อมในการเปิด AEC มาก เมื่อเทียบกับบริษัทยาอื่นๆ เราถือว่าเป็นผู้นำในด้านนี้ปัจจุบันยาของเราขายไปหลายประเทศในอาเซียน อาทิ มาเลเซีย, สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อยาเราไปขายในต่างประเทศ เราจะต้องขยับมาตรฐานของเราให้สูงขึ้น และได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP-PIC/S ซึ่งไบโอฟาร์มเป็นเจ้าเดียวที่มีมาตรฐานนี้ในประเทศไทย โดยในการทำมาตรฐานตัวนี้เราลงทุนไปกว่า 400-500 ล้านบาท” คุณเศกสุขกล่าว
คุณเศกสุขกล่าวถึงการขยายธุรกิจในอาเซียนว่า บริษัทได้มีการพิจารณาในการขยายตลาดในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม) ซึ่งปัจจุบันจะต้องมีการดำเนินการในเรื่องของการหาพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมธุรกิจ (Business Partner) ทั้งนี้บริษัทมีความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานในการที่จะสามารถขยายธุรกิจได้อย่างแน่นอน
ปัจจุบันทางบริษัทไบโอฟาร์ม ซึ่งเป็นบริษัทยาในประเทศก็ได้มีการติดต่อเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรแล้ว กับบริษัทยาข้ามชาติระดับ Top 10 ของโลก มากกว่า 5 บริษัท ซึ่งก็จะทำให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางด้านยาของกลุ่ม AEC ส่วนประเทศอินโดนีเซีย ยังประสบปัญหาในเรื่องของข้อจำกัดในการเปิดตลาดจากบริษัทต่างประเทศ จึงทำให้มีการเสียเปรียบในการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่าย
สำหรับสิ่งที่อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนและส่งเสริมเป็นอย่างมากคือการกระตุ้นการบริโภคยาที่ผลิตในประเทศ และการยอมรับในเรื่องของคุณภาพยาในประเทศที่มีมาตรฐานระดับสากลเช่นเดียวกับยาที่นำเข้ามา รวมถึงมีการป้องกันยาที่ไม่ได้คุณภาพและราคาถูกจากนอกประเทศ ซึ่งจะช่วยส่งผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจอุตสาหกรรมยาภายในประเทศอย่างยั่งยืน
“ชาโต เดอ เขาใหญ่” ต่อยอดธุรกิจ ผุดคอนโดมิเนียมสไตล์ชาโตฝรั่งเศส
ชาโต เดอ เขาใหญ่ เปิดตัวโครงการ “ชาโต เดอ เขาใหญ่ เดอะ เรสซิเด้นท์” คอนโดมิเนียมสุดหรูสไตล์ฝรั่งเศส บนเนื้อที่รวมกว่า 19 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 1,219.4 ลบ. คาดปิดการขาย มี.ค. ปีหน้า
คุณภัทร พลกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ชาโต เดอ เขาใหญ่ เรสซิเด้นท์เชียล จํากัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในพื้นที่เขาใหญ่ เปิดเผยว่า เดิมบริษัทดำเนินธุรกิจในรูปแบบโรงแรม และเพื่อเป็นการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงแรมและรีสอร์ท บริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการชาโต เดอ เขาใหญ่ เรสซิเด้นท์ (Chateau de Khoyai The Residence) โดยเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์ฝรั่งเศส จำนวน 5 อาคาร ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 19 ไร่ ในพื้นที่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มูลค่าโครงการกว่า 1,219.4 ล้านบาท
“ชาโต เดอ เขาใหญ่ เรสซิเด้นท์ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 19 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ของคอนโดมิเนียมเพียง 6 ไร่ ส่วนที่เหลืออีก 13 ไร่ จะเป็นพื้นที่สนามหญ้าสีเขียว ถนน สวนสวยโดยรอบโครงการ รวมทั้งพื้นที่ของอาคารล็อบบี้ สระว่ายน้ำ และลานอเนกประสงค์ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความเป็นส่วนตัวและมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ” คุณภัทรกล่าว
คุณภัทรกล่าวต่อว่า บริษัทได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 เฟส ซึ่งเฟส 1 เป็นคอนโดมิเนียมสูง 4 ชั้นและห้องใต้หลังคา 1 ชั้น จำนวน 3 อาคาร มีห้องพักทั้งหมด 159 ยูนิต และอาคารคลับเฮ้าส์ สูง 2 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวมทั้งสระว่ายน้ำ, สนามหญ้า และลานอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีความคืบหน้าของการก่อสร้างประมาณ 20% โดยอยู่ระหว่างการขึ้นโครงสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงตุลาคม 2558 ขณะนี้เฟส 1 มียอดจองแล้วกว่า 50% คาดจะสามารถปิดการขายได้ภายในเดือนมีนาคม 2558
ส่วนเฟส 2 เป็นคอนโดมิเนียมสูง 4 ชั้นและห้องใต้หลังคา 1 ชั้น จำนวน 2 อาคาร มีห้องพักทั้งหมด 106 ยูนิต ซึ่งจะเริ่มดำเนินการทันทีหลังจากเฟส 1 แล้วเสร็จ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2559 สำหรับคอนโดมิเนียมทั้ง 2 เฟส จะมีห้องพักทั้งหมด 4 รูปแบบ ประกอบด้วย
รูปแบบ A ห้อง Studio มีขนาดห้อง 37-39 ตารางเมตร จำนวน 90 ยูนิต, รูปแบบ B ขนาด 1 ห้องนอน มีพื้นที่ 75-80 ตารางเมตร จำนวน 51 ยูนิตและขนาด 1 ห้องนอน (หัวมุมโค้ง) มีพื้นที่ 80-82 ตารางเมตร จำนวน 4 ยูนิต, รูปแบบ C ขนาด 2 ห้องนอน มีพื้นที่ 114 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิตและขนาด 2 ห้องนอน (หัวมุมโค้ง ดูเพล็กซ์) มีพื้นที่ 120-130 ตารางเมตร จำนวน 3 ยูนิต และรูปแบบ D ขนาด 2 ห้องนอน (Attic) มีพื้นที่ 117-125 ตารางเมตร จำนวน 9 ยูนิต
โครงการชาโต เดอ เขาใหญ่ เรสซิเด้นท์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โถงล็อบบี้และ Concierge, สวนหย่อมรอบอาคาร, ตู้จดหมาย, ลานจอดรถ, ห้องประชุมขนาดใหญ่ (สำหรับ 200-300 คน), สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกาย, ห้องสมุด, สนามหญ้าและลานอเนกประสงค์ขนาดใหญ่, บริการทำความสะอาด, บริการร้านอาหาร, บริการซักรีด, ระบบรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และระบบ Card Reader เข้าออก เป็นต้น
คุณภัทรกล่าวต่อถึงวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโครงการนี้ว่า เนื่องจากบริษัทได้ทำการสำรวจและพบว่า คนส่วนใหญ่อยากได้สถานที่พักผ่อนในรูปแบบของคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้าน เพราะง่ายในการดูแลรักษา ซึ่งจะแตกต่างจากบ้านพักตากอากาศที่จะต้องมีการซ่อมแซมเป็นส่วนใหญ่ เพราะขาดการดูแลและบำรุงรักษา จึงทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อนจริงๆ
นอกจากนี้ จากผลสำรวจเกี่ยวกับพื้นที่เขาใหญ่พบว่า เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญและคนนิยมมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตั้งอยู่ไม่ไกลจากรุงเทพฯ รวมทั้งยังมีความแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ อาทิ พัทยาและหัวหิน เป็นต้น ซึ่งยังมีความวุ่นวายของการเป็นพื้นที่ชุมชนอยู่ แต่เขาใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เน้นความเป็นธรรมชาติจึงเหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ด้านกลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัว, กลุ่มคนที่มีบ้านหรือคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ที่ต้องการที่จะหลีกหนีความวุ่นวาย เป็นต้น ดังนั้น เขาใหญ่จึงเป็นสถานที่ที่ครอบครัวนิยมไปพักผ่อน โดยหลักๆ จะค้างอย่างน้อย 1 คืน เพื่อเป็นการพักผ่อนตากอากาศ เปลี่ยนบรรยากาศจากความวุ่นวายในเมืองหลวง
สำหรับแนวโน้มการแข่งขันในพื้นที่เขาใหญ่คุณภัทรกล่าวว่า ยังไม่รุนแรงเท่ากับคอนโดมิเนียมที่ติดแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และตนไม่ได้มีความกังวลในเรื่องการแข่งขันที่มีเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากในพื้นที่เขาใหญ่มีซัพพลายมากกว่าดีมานด์ ซึ่งสิ่งที่มีการแข่งขันสูงคือการหาดีมานด์คนที่จะมาซื้อมากกว่า ซึ่งบริษัทได้ใช้งบประมาณ 3% ของมูลค่าโครงการในการทำการตลาดทั้งลงหนังสือพิมพ์, บิลบอร์ด และ Direct to Consumer เป็นต้น
อย่างไรก็ตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เขาใหญ่ทั้งคอนโดมิเนียม วิลล่า ต่างก็มีจุดขายเป็นของตัวเอง อาทิ อสังหาริมทรัพย์สไตล์ญี่ปุ่น, อสังหาริมทรัพย์สไตล์สวนสนุกสวนน้ำ เป็นต้น สำหรับจุดขายของโครงการชาโต เดอ เขาใหญ่ เรสซิเด้นท์ จะเป็นสไตล์ฝรั่งเศส ซึ่งในพื้นที่เขาใหญ่ยังไม่มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใดที่เน้นรูปแบบนี้
“จุดขายของเราที่สำคัญมีอยู่ 3 ข้อ คือ 1. ความเป็นชาโต ซึ่งในพื้นที่เขาใหญ่ทั้งหมด ถ้าเป็นสไตล์ฝรั่งเศสยังไม่มีที่ไหน 2. โลเคชั่นของเราถือว่าเป็นโลเคชั่นที่ได้วิวเขาใหญ่ เนื่องจากโครงการหันหน้าเข้าหาเขาใหญ่ รวมทั้งเป็นวิวที่กว้างและสวยที่สุด สามารถตอบโจทย์ในการพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ และ 3. เนื่องจากเราบริหารโรงแรมมาก่อน จึงมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี อาทิ เมื่อลูกค้าจะเข้ามาพักผ่อนก็สามารถโทรแจ้งเพื่อให้แม่บ้านทำความสะอาดได้ โดยที่ไม่ต้องลงมือปัดกวาดเอง” คุณภัทรกล่าว
ด้านสิ่งที่อยากจะฝากถึงลูกค้าคุณภัทรกล่าวว่า อยากให้ลูกค้าเข้ามาซื้อเพราะถือว่าเป็นโครงการที่ดีมาก เมื่อเทียบในเรื่องของรูปแบบและคุณภาพกับโครงการอื่นๆ ซึ่งจุดขายของโครงการนี้ตามที่ได้กล่าวไว้และจะหาจากโครงการอื่นไม่ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้โครงการยังมีโปรโมชั่นเพื่อสร้างความสบายใจให้กับลูกค้าในการรับซื้อห้องคืนภายในระยะเวลา 2 ปีอีกด้วย
“โปรโมชั่นในการรองรับความพึงพอใจของลูกค้าที่เรากำหนดขึ้นนี้ เพื่อสร้างความสบายใจให้กับลูกค้าที่จองห้องและมีการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อถึงวันที่จะโอนกรรมสิทธิ์ห้องให้ลูกค้า แต่ลูกค้ารู้สึกว่าไม่พึงพอใจต่อคุณภาพของห้องพักหรือบรรยากาศของห้องพักไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ซึ่งเรายินดีรับซื้อคืนพร้อมผลกำไร 8% ระยะเวลา 2 ปี โดยคิดจากยอดเงินจอง+ทำสัญญา ที่ลูกค้าชำระมาแล้ว หากลูกค้าสนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมตัวอย่างโครงการได้ที่ www.chateaudekhaoyai.com/residence หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.” คุณภัทรกล่าว
ไมด้า ทวารวดี แกรนด์ นครปฐม เตรียม Grand Opening ธ.ค. นี้
เครือโรงแรมไมด้าเนรมิต “ไมด้า ทวารวดี แกรนด์ นครปฐม” ด้วยงบลงทุนกว่า 1 พันลบ. บนพื้นที่กว่า 9 ไร่ เจาะกลุ่มลูกค้า Government, Corporate และ MICE ชูจุดเด่นการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมสไตล์ศิลปะทวารวดี ลั่นเล็งปักธงโรงแรมเพิ่มอีก 5 แห่งใน 5 จังหวัดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย
คุณเพิ่มศักดิ์ ยอดมิตร ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมไมด้า ทวารวดี แกรนด์ นครปฐม (Mida Dhavaravati Grande Hotel Nakorn Pathom) ในเครือโรงแรมไมด้า เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการเปิดโรงแรมดังกล่าวว่า เนื่องจากเจ้าของโรงแรมหรือคุณกมล เอี้ยวศิวิกูล ประธานกรรมการ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด(มหาชน) เป็นคนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม และมีความประสงค์ที่จะสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ในจังหวัดนครปฐม เพราะในพื้นที่มีแต่โรงแรมขนาดเล็ก รวมทั้งต้องการสร้างประโยชน์ให้แก่จังหวัด โดยจะก่อให้เกิดรายได้และก่อให้เกิดการจ้างงานเป็นจำนวนมาก
สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างเบื้องต้นจะอยู่ที่กว่า 1,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าการก่อสร้างอาคารกว่า 800 ล้านบาทและงานสถาปัตยกรรมกว่า 200 ล้านบาท พร้อมทั้งคาดว่าโครงการนี้จะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 ปี
โดยโรงแรมไมด้า ทวารวดี แกรนด์ นครปฐม ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อช่วงต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 85% ซึ่งเหลือเฉพาะในส่วนของการตกแต่งภายในตัวอาคารและพื้นที่โดยรอบของอาคาร (แลนด์สเคป) คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการบางส่วน (Soft Opening) ในเดือนพฤศจิกายน 2557 และมีกำหนด Grand Opening ในเดือนธันวาคม 2557
โรงแรมดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 9 ไร่ ประกอบด้วย 1 อาคาร แบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ อาคารโรงแรม ขนาดความสูง 7 ชั้น มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 195 ห้อง ประกอบด้วย Deluxe Room จำนวน 81 ห้อง, Pool View Room จำนวน 51 ห้อง, Chedi Room จำนวน 58 ห้อง, Executive Suite จำนวน 4 ห้อง และ Dhavaravati Suite จำนวน 1 ห้อง
รวมทั้ง อาคารประชุมสัมมนา ขนาดความสูง 3 ชั้น ซึ่งประกอบด้วยห้องจัดเลี้ยงและห้องประชุมสัมมนา จำนวน 13 ห้อง ประกอบด้วย Boardroom จำนวน 2 ห้อง รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 5-10 คน, Meeting room จำนวน 5 ห้อง รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 30-70 คน, Banquet room จำนวน 4 ห้อง รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 60 - 200 คน และ Dhavaravati Grand Ballroom จำนวน 2 ห้อง รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 1,000 คน
นอกจากนี้ภายในโรงแรมยังมีห้องอาหารต่างๆ ไว้บริการลูกค้า อาทิ All Day Dining ให้บริการอาหารไทย จีน และยุโรป, Chinese Restaurant ให้บริการอาหารจีนแบบฮ่องกงดั้งเดิมและกวางตุ้ง, Japanese Restaurant แบบฟิวชั่น, Karaoke บริการอาหาร Appetizers and Snacks และ BAKERY แบบ French Pastries อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ Out-door Pool, Day Spa, Fitness with Sauna Room, High Speed Wi-Fi, ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง และที่จอดรถรองรับได้กว่า 500 คัน
“ในปลายปีนี้เราได้เตรียมเปิดตัวโรงแรม ไมด้า ทวารวดี แกรนด์ นครปฐม ซึ่งจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของจังหวัดนครปฐม เพราะมีห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ รองรับงานใหญ่ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เป็นโรงแรมต่างจังหวัดที่มีมาตรฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการเทียบเท่าโรงแรมขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่วนในอนาคต เรามีแผนที่จะเตรียมเปิดตัวโรงแรมเรดิสัน บลู หัวหิน ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ติดหาดหัวหิน รวมทั้งยังมีโครงการที่จะเปิดโรงแรมแห่งใหม่ ในพื้นที่จังหวัดระยอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (สมุย) และจังหวัดนครพนม” คุณเพิ่มศักดิ์กล่าว
คุณเพิ่มศักดิ์ กล่าวต่อว่า บริษัทได้มีการแบ่ง Segment กลุ่มลูกค้าทั้งในท้องถิ่นและส่วนกลาง ดังนี้ กลุ่ม Government 30%, กลุ่ม Corporate/MICE 30%, กลุ่ม Wholesale (Inbound) 20% และอีก 20% จะเป็นกลุ่ม Walk-In รวมทั้ง ยังรองรับลูกค้าจากกลุ่มอาเซียน ภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจและทำให้โรงแรมมีการเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ส่วนแนวโน้มของธุรกิจภายหลังการเปิดตัวโรงแรมแล้ว คุณเพิ่มศักดิ์กล่าวว่า ฝ่ายบริหารของโรงแรม ได้จัดทำแผนการตลาดและแผนการขายประจำปี 2558 เพื่อสร้างโอกาสต่อยอดธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับการที่ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเต็มรูปแบบในปี 2558 ซึ่งทิศทางทั้งหมดจะสอดรับกับเป้าหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ต้องการให้ชาวต่างชาติได้รับความสุขจากการเดินทางเข้ามารู้จัก สัมผัสวิถีไทย และสอดคล้องกับ นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ซึ่งกำหนดให้ปีหน้าเป็นธีม " ปีท่องเที่ยววิถีไทย " โดยจังหวัดนครปฐมมีศักยภาพสูง และโดดเด่นในด้านการท่องเที่ยวในเชิงศิลปวัฒนธรรม
จังหวัดนครปฐม เป็นจังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ทำให้ภาคการท่องเที่ยวมีการเจริญเติบโตมากขึ้น มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดมากมาย อาทิ องค์พระปฐมเจดีย์, พระราชวังสนามจันทร์, พุทธมณฑล, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ, พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง, วัดไร่ขิง, ตลาดดอนหวาย และลานแสดงช้างและฟาร์มจระเข้ สามพราน เป็นต้น
นอกจากนี้ จังหวัดนครปฐมยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา, มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, มหาวิทยาลัยมหามงกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยในพระราชูปถัมภ์, คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนนายร้อยตำรวจ, สถาบันวิชาทหารเรือชั้นสูง, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม และสถาบันศิลปกรรม เป็นต้น
ด้าน อาจารย์ภูเบศวร์ โหยประดิษฐ์ ที่ปรึกษางานด้านสถาปัตยกรรม ในเครือโรงแรมไมด้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวถึงที่มาในการออกแบบโรงแรมภายใต้สถาปัตยกรรมสไตส์ศิลปะทวารวดีว่า เพื่อเป็นการสืบสานตำนานเมืองนครปฐม ซึ่งทวารวดี เป็นหนึ่งในอาณาจักรโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออกที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย อาณาจักรทวารวดีเจริญรุ่งเรืองขึ้นในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย โดดเด่นที่สุดทั้งในด้านสถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตคือ ดังนั้น ที่นครปฐมแห่งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่ทางโรงแรมจะได้ร่วมเผยแพร่ ความงดงามแห่งอดีต ที่ฉายผ่านเรื่องราวมายังปัจจุบัน ร้อยเรื่องราวผ่านสถาปัตยกรรมอันงดงาม
นอกจากนี้ ยังเป็นการจำลองรูปแบบสถาปัตยกรรมอันงดงามของสมัยทวารวดี โดยอัญเชิญมาอยู่ในจุดสูงสุดของโรงแรม เพื่อเป็นมิ่งขวัญและความเป็นศิริมงคล โดยเจตนาถ่ายทอดตำนานเมืองนครปฐมให้เป็นที่รู้จักแก่บุคคลทั่วไป ซึ่งใช้งานสถาปัตยกรรมแบบทวารวดี จำลองเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ มียอดแหลมอยู่ด้านบนสูงสุดของตัวอาคาร และมีโครงสร้างอาคารโดดเด่นอิงสถาปัตยกรรมแบบทวารวดี สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปะ
อนึ่ง กลุ่มโรงแรมไมด้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (Mida Hotels & Resorts) เป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่บริหารงานและมีคนไทยเป็นเจ้าของธุรกิจ บริษัทบริหารองค์กรและบริการลูกค้าด้วยอัธยาศัยไมตรีแบบไทยๆ กลุ่มโรงแรมไมด้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกอบด้วย 1.ไมด้า ซิตี้ รีสอร์ท (Mida City Resort) โรงแรมสไตล์รีสอร์ทใจกลางเมืองอยู่ตรงข้ามกับศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ 2. ไมด้า โฮเทล งามวงศ์วาน (Mida Hotel Ngamwongwan) บนถนนงามวงศ์วาน 3. ไมด้า เดอ ซี หัวหิน (Mida De Sea Hua Hin) ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมเชอราตัน หัวหิน 4. ไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี (Mida Resort Kanchanaburi) รีสอร์ทร่มรื่น เป็นส่วนตัว ติดแม่น้ำแควใหญ่ 5. เลคไซด์ ชาย์ บาย ไมด้า โฮเทล กาญจนบุรี (Lake Side Chalet by Mida Hotels&Resort) บ้านพักเป็นหลังริมทะเลสาบ พร้อมห้องประชุมขนาดใหญ่และสนามกอล์ฟ และ 6. ไมด้า กอล์ฟ คลับ (Mida golf club) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี สวรรค์สำหรับนักกอล์ฟ ด้วยสนามที่สวยงาม ร่มรื่น และท้าทาย
ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่งลุยก่อสร้างโครงการคุณภาพ
ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการนายน์ บาย แสนสิริ มูลค่างานประมาณ 1 พันลบ.เล็งส่งมอบงานต้นปีหน้า พร้อมโชว์ Backlog 7-8 พันลบ. ฟุ้งงานล้นมือยาวถึงปี 2559 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3.7 พันลบ.
คุณสุภาพ จรัลพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทได้รับความไว้วางใจจากบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการนายน์ บาย แสนสิริ โดยเป็นอาคารสูง 30 ชั้น 2 อาคาร ซึ่งบริษัทรับผิดชอบในส่วนของงานโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และงานระบบ มูลค่างานประมาณ 1,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อกลางปี 2556 ปัจจุบันมีความคืบหน้าประมาณ 70% ซึ่งในส่วนของงานโครงสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะส่งมอบงานราวต้นปี 2558
สำหรับจุดเด่นที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากแสนสิริให้รับผิดชอบในโครงการนี้ เนื่องจาก ที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมงานก่อสร้างโครงการแรกคือ เดอะเบส พระราม 9 และได้สร้างความมั่นใจให้แก่แสนสิริเป็นอย่างมากว่า บริษัทมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดีในทุกด้านๆ โดยสามารถตอบสนองความต้องการได้ในทุกๆ เรื่อง อีกทั้งยังส่งมอบงานได้ก่อนระยะเวลาที่กำหนดอีกด้วย ทั้งนี้ความรับผิดชอบในการส่งมอบงานเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทต้องขอขอบคุณแสนสิริที่ได้ให้ความไว้วางใจให้บริษัทร่วมสร้างสรรค์โครงการคุณภาพเสมอมา
คุณสุภาพ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ล้นมือจนถึงปี 2559 ซึ่งจะสามารถรับงานใหม่ได้ในปลายปี 2559-ต้นปี 2560 มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวม Backlog ของปี 2557 ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2556 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2558 ประมาณ 4,000 ล้านบาท และปี 2559 ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยงานหลักๆ จะเป็นของแสนสิริ, อนันดา, Q.House เป็นต้น
“ในแต่ละปีเราเติบโตอยู่ที่ 20-30% แต่ตอนนี้กำลังปรับฐานการเติบโต เนื่องจากต้องการพัฒนาบุคลากร เรามองว่าการเติบโตเร็วจนเกินไปอาจจะทำให้ไม่สามารถรับงานได้ทั้งหมด เพราะบุคลากรเราอาจยังไม่พร้อม จึงมีบางโครงการที่ต้องบอกปัดไปก่อน เราต้องพร้อมจริงๆ จึงจะรับงานได้ โดยต้องการให้ลูกค้าได้รับงานที่ดีมีคุณภาพมาตรฐานมากที่สุด” คุณสุภาพกล่าว
คุณสุภาพ กล่าวต่อว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา บริษัทรับรู้รายได้ประมาณ 2,500-2,600 ล้านบาท ซึ่งในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 3,700 ล้านบาท และปี 2558 ตั้งเป้ารับรู้รายได้ไว้ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอนเนื่องด้วยมี Backlog ที่ทยอยรับรู้รายได้อยู่แล้ว
สำหรับกลยุทธ์ที่บริษัทใช้ในการทำงานให้เหนือกว่าคู่แข่ง ประกอบด้วย 4 แนวทาง ดังนี้ 1.ราคาที่สามารถแข่งขันได้และมีกำไรพอประมาณ 2.การส่งมอบงานได้ตรงเวลา หรือส่งมอบก่อนเวลาที่กำหนด 3.คุณภาพมาตรฐาน ซึ่งจะรวดเร็วเพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องมีคุณภาพมาตรฐานที่ดีด้วย 4.การบริการหลังการขาย โดยดูแลลูกค้าหลังจากที่ส่งมอบงาน รวมทั้งการช่วยเหลือตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งทั้ง 4 แนวทางไม่ว่าอยู่ในธุรกิจใดก็ควรจะมี
ด้านแนวโน้มธุรกิจที่ดำเนินอยู่ ตนมองว่ายังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลที่ออกมาแล้ว ประกอบกับการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ยังคงดีอยู่ โดยมีงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง บริษัทได้รับความไว้วางใจจากหลายๆ บริษัท ให้ก่อสร้างโครงการ แต่บริษัทไม่สามารถรับงานได้เพราะมีงานล้นมืออยู่แล้ว
“อีกสักประมาณ 6-7 ปีจะมีรถไฟฟ้าเพิ่มอีกหลายสาย ทำให้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพราะคนต้องการที่พักอาศัยอยู่ในเมืองและต้องการความสะดวกสบาย ปัจจุบัน คนจะนิยมพักอาศัยในคอนโดมิเนียมเยอะมาก เพราะบ้านมีราคาแพง ดังนั้น จึงทำให้อสังหาริมทรัพย์เติบโตตามการเพิ่มขึ้นของรถไฟฟ้าเช่นกัน” คุณสุภาพกล่าว
ส่วนการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 บริษัทมีการพัฒนาคนเพื่อให้พร้อมในการทำงานให้เป็นระบบและระเบียบ เพราะคนไทยยังขาดระเบียบ ยังไม่รู้จักหน้าที่ ขาดการเรียนรู้ ดังนั้นจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้ หากทำได้ก็จะมีภูมิคุ้มกันที่จะสามารถไปแข่งกับคนอื่นได้ อย่างไรก็ตามภาคเอกชนของประเทศไทยยังมีความเข้มแข็งจึงไม่น่าเป็นห่วงมากนักเพราะมีการปรับตัวได้เก่ง
“การเปิด AEC ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะกลัวว่าชาวต่างชาติจะเข้ามาแข่งขันกับคนไทยในเรื่องการรับเหมาแต่สำหรับตนไม่ได้กังวลและวิตกแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ประมาทเพราะธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่ใครจะทำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ถิ่นฐานของตัวเอง” คุณสุภาพกล่าว
ด้านหลักการบริหารตนจะให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับหนึ่งเพราะคนเป็นผู้ควบคุมเครื่องมือทุกอย่าง รองมาคือการให้ความสำคัญกับระบบ ทั้งนี้หากธุรกิจเติบโตจะต้องมีระบบที่ดีมารองรับในด้านเทคโนโลยี ดังนั้นต้องรู้จักการนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงจะสามารถให้งานออกมามีคุณภาพตามที่ต้องการ ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งหมด 400 คน
ซิโน-ไทย ประกาศศักยภาพ 52 ปี อวดผลงานเด่น “บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต”
52 ปีซิโน-ไทย ตอกย้ำบริษัทก่อสร้างระดับชั้นแนวหน้าของประเทศ โชว์ผลงานคุณภาพ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” มูลค่างาน 1,700 ลบ. สร้างสถิติลงกินเนสส์ บุ๊ก ครั้งที่ 2 คาดสิ้นปีมี BACKLOG 50,000 ลบ. ลั่นรายได้ปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนปีหน้าวางเป้าเพิ่มอีก 10%
คุณภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่า เป็นสนามแข่งรถที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งบริษัทดำเนินการแบบ Turnkey ทั้งการออกแบบและก่อสร้างโดยมี Concept Design จากบริษัท Tilke ผู้ออกแบบสนามแข่งระดับโลก มูลค่างาน 1,700 ล้านบาทจากมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาการก่อสร้าง 490 วัน ตามสัญญา ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2556 - 4 ตุลาคม 2557
โครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 1,000 ไร่ ใจกลางเมืองบุรีรัมย์ โดยนับเป็นสนามแข่งระดับมาตรฐาน FIA (Federation Internationald de l’ Automobike) หรือสหพันธ์รถยนต์นานาชาติ, Grade1T และ FIM Grade A ที่สามารถรองรับการแช่งขัน F1, GT1, GT2, และ GT3 ภายใต้การรองรับสหพันธ์รถจักรยานยนต์นานาชาติ (Federation Internationald de Motocyclisme)
สนามแห่งนี้เป็นสนามที่มีระบบ Race Control มูลค่า 30 MB ที่ใช้ควบคุมการแข่งขันที่ทันสมัยมาก รวมถึงมาตรฐานวัสดุและวิธีการก่อสร้างจะเป็น Spec ที่สูงระดับ International / High Standard ซึ่งมากกว่าค่าปกติภายในประเทศ แม้กระทั่งการปูยาง Asphaltic ที่มีความเรียบเป็นพิเศษ ปูถึง 3 ชั้น โดยรถ Paver ปูยางภายในประเทศไม่สามารถปูได้ จึงต้องนำเข้ามาใหม่สำหรับสนามแข่งนี้โดยเฉพาะ ปัจจุบันสนามแข่งแห่งนี้ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา
“สนามแข่งรถแห่งนี้นับเป็นสนามที่ก่อสร้างได้เร็วที่สุดในโลก เราใช้เวลาในการดำเนินการเพียง 422 วัน ซึ่งเสร็จก่อนสัญญาว่าจ้าง และนับเป็นโครงการ 2 ในบุรีรัมย์ที่ได้ลงบันทึกกินเนสส์ บุ๊ก ต่อเนื่องจากโครงการแรกคือสนามฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งใช้เวลาในการก่อสร้าง 248 วัน ส่วนหนึ่งที่ทำให้การก่อสร้างสามารถดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว จะมาจากเจ้าของโครงการด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าคุณเนเวินเป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจได้ในทุกๆ เรื่อง และอยู่ที่ไซต์งานตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาในด้านนโยบายสามารถถามและได้คำตอบทันที ส่วนปัญหาในด้านเทคนิคเราจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจเอง นอกจากนี้ ในอนาคตมีความเป็นได้ว่าเราอาจได้ร่วมงานจากคุณเนวินอีก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยในเรื่องการก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว” คุณภาคภูมิกล่าว
ส่วนจุดเด่นที่บริษัทได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้รับผิดชอบก่อสร้างโครงการนี้ คือคุณภาพการก่อสร้างและระยะเวลาดำเนินการที่รวดเร็ว รวมทั้งความปลอดภัยในการทำงาน โดยไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด รวมทั้ง ปัญหาหรืออุปสรรคในโครงการแทบไม่มี เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากกัมพูชา ดังนั้นจึงไม่ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ประกอบกับโครงการไม่ได้ใช้แรงงานจำนวนมาก แต่จะใช้เครื่องจักรเป็นหลักมากกว่า สำหรับปัญหาจริงๆ คือสภาวะอากาศในช่วงหน้าฝน แต่บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
คุณภาคภูมิกล่าวต่อถึงโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปัจจุบันว่า ประกอบด้วย
1. งานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภคที่สำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) สัญญาที่ 2, โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ท่าพระ-หลักสอง) สัญญาที่ 4, โครงการสะพานต่างระดับ (จรัญสนิทวงศ์-กาญจนาภิเษก), โครงการถนนใน สปป. ลาว และโครงการถนนของกรมทางหลวง เป็นต้น
2. งานก่อสร้างด้านอาด้านอาคารที่สำคัญ อาทิ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต, โครงการรัฐสภาใหม่, โครงการอาคารที่ทำการศาลฎีกา, โครงการสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ และโครงการออกแบบและก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่และอาคารแวดล้อม บริษัท กสท.เป็นต้น
3. งานก่อสร้างด้านพลังงานที่สำคัญ ได้แก่ โรงไฟฟ้าหนองแซง, โรงไฟฟ้าอุทัยและโรงไฟฟ้าขนอม 4.งานก่อสร้างด้านอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น โครงการ Ichthys Onshore LNG
ส่วนโครงการในอนาคต บริษัทมองว่า เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนตามแผนงานของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คสช. โดยแผนงานหลักของ คสช. ในระยะใกล้จะมีการประมูลโครงการต่างๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต), โครงการรถไฟฟ้าทางคู่ และโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่ารัฐบาลจะผลักดันโครงการลงทุน 24,000 ล้านบาทให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจก่อสร้างในอนาคต
คุณภาคภูมิกล่าวต่อถึง BACKLOG ว่า เมื่อต้นปี 2557 จะอยู่ที่ประมาณ 51,000 ล้านบาท แต่ ณ สิ้นไตรมาส 3 จะลดลงเหลืออยู่ที่ 40,000 ล้านบาท เพราะบริษัทได้ทำงานและทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพของบริษัทที่สามารถรับงานได้ปีละ 20,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้น BACKLOG ที่มีอยู่จะสามารถทำงานต่อเนื่องได้อีก 2 ปี
อย่างไรก็ตาม BACKLOG ในปีนี้มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น เพราะจะมีงานที่จะออกมาในไตรมาสที่ 4 เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียวและรถไฟฟ้ารางคู่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานภาคเอกชนที่เข้าร่วมประมูล ก็จะประกาศผลในช่วงไตรมาส 4 เช่นกัน โดยคาดว่าอาจได้รับงานเพิ่มอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะมี BACKLOG ใกล้เคียงกับต้นปีที่ผ่านมา 50,000 ล้านบาท
ด้านเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในปีนี้และปีหน้า คุณภาคภูมิกล่าวว่า ตนยังคงเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและไม่ก้าวกระโดด โดยที่ผ่านมามีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 10-20% ต่อเนื่องติดต่อกันมา 3-4 ปีแล้ว สำหรับในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในด้านรายได้ประมาณ 10-15% จากปี 2556 แต่เนื่องปัญหาทางด้านการเมือง ทำให้งานของภาครัฐในช่วงกลางปี 2556 จนถึงกลางปี 2557 แทบจะไม่มีงานใหม่ออกมาประมูล หรือถ้ามีก็จะยังไม่มีการเซ็นสัญญา ส่งผลให้รายได้ในปี 2557 น่าจะอยู่ในระดับคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556 หรือประมาณ 21,000 ล้านบาท
ส่วนในปี 2558 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย ประกอบกับรัฐบาลใหม่ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจก่อสร้าง ดังนั้น บริษัทจึงวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้เพิ่มจากปี 2557 ประมาณ 10%
“ในปีนี้ คาดว่าแนวโน้มการเติบโตของเราในแง่ของรายได้ จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทำให้โครงการลงทุนใหม่ๆ ของภาครัฐออกมาน้อย อย่างไรก็ตาม เรามีเป้าหมายในด้านผลกำไร ซึ่งจะต้องเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้” คุณภาคภูมิกล่าว
คุณภาคภูมิกล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันบริษัทครบรอบ 52 ปีในการดำเนินธุรกิจ โดยในปีนี้จะเป็นปีที่เน้นพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร โดยอาศัยช่วงที่ชะลอตัวของงานก่อสร้าง เพื่อพัฒนาทักษะ พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ หรือเรียกว่าเป็นปีแห่งการพัฒนาของบริษัท เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานที่คาดว่าจะสดใสของธุรกิจก่อสร้างในปี 2558-2559
อนึ่ง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (STECON) เป็นบริษัทก่อสร้างระดับชั้นแนวหน้าของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2505 ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานทุกประเภท มีลูกค้าทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยลักษณะงานก่อสร้างจะมีตั้งแต่โครงการก่อสร้างที่เป็นโครงการขนาดกลางไปจน ถึงโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องอาศัยความชำนาญและเทคโนโลยีระดับสูง
เพลินใจ กรุ๊ป ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ระยอง เปิดตัว “เดอะเพรสทีจ เพลินใจ 4” เขย่าตลาด
เพลินใจ กรุ๊ป สานต่อโครงการเดิม เร่งก่อสร้างโครงการเดอะเพรสทีจ เพลินใจ 4 บนพื้นที่ 31 ไร่ จำนวน 84 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 350 ลบ. มั่นใจกระแสตอบรับดี
คุณณัฏฐนันท์ คุณาจิระกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพลินใจ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเดอะเพรสทีจ เพลินใจ 4 ว่า เป็นโครงการต่อเนื่องจากเพลินใจ 4 จำนวน 84 ยูนิต ซึ่งประกอบด้วยทาวน์เฮาส์ จำนวน 26 ยูนิต บ้านแฝด จำนวน 20 ยูนิต ส่วนที่เหลือเป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 350 ล้านบาท โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ 31 ไร่ ถนนเลี่ยงเมืองสาย 3 จังหวัดระยอง ห่างจากใจกลางเมืองไม่เกิน 5 กม. และอยู่ตรงกันข้ามกับศูนย์การค้าดิโอโซน ไลฟ์สไตล์มอลล์
ปัจจุบันโครงการมียอดจอง 50% ส่วนใหญ่เป็นยอดจองของบ้านเดี่ยว ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถปิดการขาย 100% ประมาณกลางปี 2558 หลังจากนั้นจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า โดยบ้านเดี่ยวเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อต้นปี 2557 และมีความคืบหน้าในการดำเนินการ 70% ส่วนบ้านแฝดจะอยู่ที่ประมาณ 50% สำหรับทาวน์เฮ้าส์กำลังจะเริ่มก่อสร้าง และคาดว่าน่าจะปิดการขายได้เร็วเพราะราคาไม่สูงมาก เริ่มต้น 1.9 ล้านบาท
คุณณัฏฐนันท์กล่าวต่อว่า จุดเด่นโครงการคือทำเล ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี เนื่องจากถนนเส้นเลี่ยงเมองมีความเจริญอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการซื้อโครงการนี้ นอกจากจะได้บ้านแล้วยังได้กำไรที่ดินอีกด้วย นอกจากนี้ ตัวบ้านจะเน้นการอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยหลังคาจะถูกแบบให้ไม่เก็บความร้อน เมื่อลูกค้าเข้าไปอยู่จะรู้สึกเย็นสบาย เนื่องจากใช้วัสดุในการก่อสร้างที่มีคุณภาพ
รวมทั้งมีสวนสาธารณะในพื้นที่ส่วนกลางประมาณ 5 ไร่ เพื่อให้ลูกค้าออกกำลังกาย นอกจากนี้ โครงการนี้นับได้ว่าสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัวทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่ช้อปปิ้งใกล้เคียง ซึ่งเพียงข้ามถนนก็สามารถหาซื้อของได้ที่คอมมูนิตี้มอลล์ได้อย่างสะดวกสบาย
ด้านกลุ่มเป้าหมายของโครงการจะเน้นกลุ่มอายุเริ่มต้นตั้งแต่ 25-45 ปีที่ชื่นชอบธรรมชาติ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันอาทิ กล้องวงจรปิด, ประตูรั้วรีโมท, แอร์ และสัญญาณกันขโมยที่ดูได้จากมือถือ เป็นต้น
“เราค่อนข้างมั่นใจในศักยภาพของโครงการเพราะเราเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ในจังหวัดระยองและมีพื้นที่อีกมากที่จะพัฒนาโครงการในอนาคต และมั่นใจว่าลูกค้าเชื่อมั่นเราเพราะเราทำโครงการมาหลายโครงการแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาโดยตลอด อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าโครงการในอนาคตจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นเดียวกัน” คุณณัฏฐนันท์กล่าว
คุณณัฏฐนันท์กล่าวต่อว่า บริษัทยังมีแผนจะเปิดตัวอีก 1 โครงการคือเดอะ เมทโทร เพลินใจ 5 โฮมออฟฟิศ จำนวน 200 ยูนิต มีทั้งหมด 3 เฟส ซึ่งจะทยอยก่อสร้างที่ละเฟสๆ ไป ปัจจุบันกำลังสร้างเฟสแรก จำนวน 36 ยูนิต ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 ยูนิต ในสไตล์โมเดิร์น หลังจากนั้นจะเปลี่ยนแบบเพื่อไม่ซ้ำกัน เจาะกลุ่มเป้าหมายในเชิงพาณิชย์ ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท
ส่วนโครงการในอนาคตที่จะดำเนินการคือโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์, โฮเทลเซอร์วิส และคอนโดมิเนียม คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการเซอร์วิสอพาร์ท์เม้นท์และโฮเทลเซอร์วิสในช่วงกลางปี 2558 บนพื้นที่ 2.5 ไร่ครึ่ง ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมเป็นโครงการโลว์ไรส์สูง 7 ชั้น 3 อาคาร จำนวนกว่า 200 ยูนิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิสเนส เป็นต้น คาดว่าปลายปี 2558 จะเริ่มก่อสร้างเซลล์ออฟฟิศ
ด้านแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกในปัจจุบันค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากส่วนกลางจำนวนมากเข้ามาเปิดตัวโครงการในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ที่ดินในระยองมีราคาแพงที่สุดในประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีราคาสูงเกือบ 4,000 เท่าเมื่อเทียบจากปี 2524 และคาดว่าจะสูงได้อีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างใด เพราะมีจุดแข็งในเรื่องศักยภาพทำเลของโครงการที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่งและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในทุกๆ ด้าน
สำหรับสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจับจ่าย เนื่องจาก ปัจจุบันค่อนข้างเงียบ ทำให้ผู้ประกอบการทำการตลาดยาก อีกทั้งยังมีคู่แข่งจำนวนมาก อย่างเช่น การลดภาษีการโอนบ้าน เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีความต้องการโอนบ้านในระยะเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการหมุนเงินได้รวดเร็วเช่นกัน สำหรับในส่วนของบริษัทจะต้องทำการตลาดให้มากขึ้น โดยเน้นหาลูกค้าเพิ่มในสื่อออนไลน์