November 22, 2024
×

Warning

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_017/suralers/photo

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_015/designAlt/success

×

Notice

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder:

Interview 2014

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

วี ฟิตเนสเตรียมผุด 4 สาขาภายในกลางปีนี้

วี ฟิตเนส ขยายเพิ่มอีก 4 สาขาในช่วงกลางปีนี้ ด้วยงบลงทุนกว่า 280 ล้านบาท หลังได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี คาดเป้าผลประกอบการปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

คุณฐนกฤต สุรกิจบวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วี ฟิตเนส โซไซตี้ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขยายสาขาว่าล่าสุดวี ฟิตเนสได้เปิดให้บริการวี ฟิตเนส โซไซตี้ สาขาเอสพลานาด รัชดาภิเษก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสาขาแห่งที่ 3 ต่อจากสาขาเมเจอร์ รัชโยธินและสาขาเมเจอร์ สุขุมวิท (เอกมัย) ซึ่งมีกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

วี ฟิตเนส โซไซตี้ สาขาเอสพลานาด รัชดาภิเษก ก่อสร้างด้วยงบลงทุนกว่า 120 ล้านบาท สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้ถึง 800-1,000 คน นอกจากนี้ภายในกลางปีนี้ วี ฟิตเนสยังเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 4สาขาประกอบด้วยสาขา สาขาเมเจอร์ ปิ่นเกล้าสาขาเจอะเวนิว ทองหล่อ สาขา Vie Hotel ราชเทวีและสาขาเมเจอร์ รังสิต

โดยสาขาเมเจอร์ ปิ่นเกล้า หรือสาขาที่ 4 จะเป็นสาขาที่จะมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ประมาณ 5,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณกว่า 120 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา คาดจะแล้วเสร็จและเปิดพร้อมใช้บริการในช่วงปลายเดือนเมษายน 2557 โดยมีคอนเซ็ปต์การออกแบบที่คล้ายคลึงกับสาขาอื่นๆ แต่จะแตกต่างในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานเพราะมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมมากกว่าสาขาอื่นๆ โดยภายในมีการเพิ่มในส่วนของสระว่ายน้ำ Out Doo r และมีสปา

สำหรับสาขาที่ 5 หรือสาขาเจ อะเวนิว ทองหล่อสาขานี้จะแตกต่างจากสาขาที่ผ่านมา โดยวางเป้าหมายให้เป็นฟิตเนสระดับพรีเมี่ยมภายใต้ชื่อ “วี ซิกเนเจอร์” ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 30 ล้านบาท มีพื้นที่ให้บริการประมาณ 1,000 ตารางเมตร โดยจะเน้นในเรื่องของความหรูหราแต่จะไม่ได้เน้นในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานมากนัก รวมทั้งจะจะเน้นการเทรนนิ่งเป็นกลุ่ม การเปิดคลาสเทรนนิ่งต่างๆ

สาขาที่ 6 หรือสาขา Vie Hotel ราชเทวี โดยสาขานี้จะใช้คอนเซ็ปต์เช่นเดียวกับสาขาที่ 5 โดยงบประมาณในการก่อสร้างกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 600-700 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโรงแรม Vie Hotel โดยภายในมีการให้บริการสปาเพิ่มเติม คาดว่าไม่น่าเกิน 1-2 เดือนในการเริ่มดำเนินการก่อสร้างเนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องการดีไซน์และการนำเข้าอุปกรณ์ทั้งหมดจากประเทศสหรัฐอเมริกา

ส่วนสาขาที่ 7 คือสาขาเมเจอร์ รังสิต โดยสาขานี้จะใช้คอนเซ็ปต์ “วี ฟิตเนส โซไซตี้” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาขนาดพื้นที่ของฟิตเนส อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางเมตรและใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 100 ล้านบาท

“ตามแผนการดำเนินงานที่เราได้วางไว้ เราอยากให้สาขาที่ปิ่นเกล้าก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยก่อน เพราะเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด รวมทั้งตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างถึง 2-3 สาขา ตนคิดว่าสาขาที่ 7 ต้องใช้ระยะเวลาราว 6 เดือนไปแล้วถึงจะเข้าไปดำเนินการ เพราะเราจะได้มีเวลาในการออกแบบ งานจะได้ไม่เร่งดำเนินการเร็วจนเกินไป”  คุณฐนกฤตกล่าว

คุณฐนกฤตกล่าวต่อถึงผลประกอบการทั้ง 7 สาขาในปีนี้คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ขั้นต่ำ 100 ล้านบาท โดยสาขาที่ 4 จะเป็นตัวแปรสำคัญ เนื่องจากเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่และมีลูกค้าที่ใช้บริการเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ตัวเลขผลประกอบการจะสามารถรับรู้ได้หลังจบไตรมาส 2/2557 อย่างแน่นอน

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

KCG เปิดแผนการลงทุน หนุนธุรกิจโตอย่างไม่หยุดยั้ง

KCG อัดงบลงทุนกว่า 1,000 ลบ. ซื้อที่ดินบวกผุดสำนักงานใหญ่ พร้อมเนรมิตศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ตอบรับความต้องการลูกค้า 14 จังหวัดภาคใต้ ควบคู่กับการปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าเดิม 2 แห่ง เล็งส่งชีสสูตรใหม่บุกตลาดไตรมาส 3  ตั้งเป้าปีนี้โต 20%

คุณตง ธีระนุสรณ์กิจ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ KCG ผู้นำเข้าสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเนยแข็งระดับโลก ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าบริโภคที่มีคุณภาพรายใหญ่ในประเทศไทย อาทิ เนยและชีส “อลาวรี่” บิสกิต “อิมพีเรียล” น้ำผลไม้เข้มข้น “ซันควิก” เปิดเผยรายละเอียดแผนการลงทุนในปีนี้ว่าจะเป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปี 2556 ประกอบด้วยการซื้อที่ดินและการก่อสร้างสำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากซอยสุขุมวิท 103/2

 โดยบริษัทใช้งบลงทุนรวม 750 ล้านบาท  แบ่งเป็นค่าที่ดินประมาณ 4 ไร่ จำนวน 500 ล้านบาทและค่าก่อสร้าง 250 ล้านบาท ซึ่งมีแผนจะลงเสาเข็มประมาณปลายไตรมาส 3 ปีนี้และมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2558

นอกจากนี้จะต่อเนื่องมาถึงการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี บนเนื้อที่ 20 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างเฟสแรกบนเนื้อที่ 10 ไร่ ใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท ซึ่งจะรวมทั้งค่าซื้อที่ดิน ค่าก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้า รวมทั้งอุปกรณ์ห้องเย็น ห้องแช่แข็ง ห้องเย็นอุณหภูมิเย็นธรรมดาและห้องซีล โดยจะแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานไตรมาส 4 ปีนี้

“เราใช้งบลงทุนก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ค่อนข้างสูง เพราะเรามีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ต้องเก็บในอุณหภูมิตามมาตรฐานการจัดเก็บของสินค้านั้นๆ รวมทั้งเป็นสำนักงานด้วย เราตั้งหลักโลจิสติกส์อยู่ที่สุราษฎร์ธานีเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการใน 14 จังหวัดภาคใต้ เพราะจากสุราษฎร์ธานีไปยังภูเก็ตใช้เวลาแค่ 4 ชั่วโมง แต่ถ้าจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ตจะใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพความคล่องตัวในการบริการก็จะได้ไม่เต็มที่” คุณตงกล่าว

 คุณตงกล่าวต่อว่าบริษัทยังได้ปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าที่จังหวัดขอนแก่นและเชียงใหม่อีกด้วย ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้ว เพราะทั้งสองศูนย์ฯ มีระยะเวลาการใช้งานมายาวนานประมาณ 10-15 ปีแล้ว ซึ่งในขณะนั้นมีพื้นที่พอดีกับการดำเนินธุรกิจแต่ไม่เพียงพอกับปัจจุบัน เพราะธุรกิจของบริษัทเติบโตเพิ่มมากขึ้น ทำให้ซัพพอร์ทได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงขยายพื้นที่ โดยใช้งบประมาณในการดำเนินงานทั้งสองศูนย์ฯ ประมาณ 50 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการลงทุนเพิ่มการผลิตชีสกลุ่มใหม่ โดยจะดำเนินการผลิตในโรงงานเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจะใช้เครื่องจักรในไลน์การผลิตใหม่ทั้งหมด โดยจะใช้งบประมาณเกือบ 50 ล้านบาท คาดว่าชีสสูตรใหม่น่าจะออกตลาดได้ประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้

คุณตงกล่าวต่อว่าธุรกิจของบริษัทจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่ม 10% ทุกปี โดยผลประกอบการในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจถึงแม้ว่าจะพลาดเป้าเล็กน้อย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองและลากยาวมาจนถึงปีนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกกลุ่มกันถ้วนหน้า

ส่วนในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าอัตราการเจริญเติบโตไว้ที่ 20% อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นบริษัทจึงได้มีการตั้งเป้าอัตราการเจริญเติบโตไว้ 3 ลำดับ ได้แก่ 10% 15% และ 20% โดยในแต่ละไตรมาสจะมีการแยกออกมา  ซึ่งไตรมาสแรกได้เกินเป้าเล็กน้อย ทั้งนี้ตนมั่นใจว่าอย่างน้อยในปีนี้จะเติบโต 10% เพราะบริษัทมีแผนการตลาด มีกลยุทธ์รองรับไว้อยู่แล้ว

“ในปีที่ผ่านมาเราเกือบทำได้ตามเป้า ถ้าไม่มีเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงปลายปี เพราะเป็นช่วงสำคัญของรายได้ที่จะเข้ามาของทุกกลุ่ม ทุกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นค้าส่ง ค้าปลีก ห้องอาหาร โรงแรม อุตสาหกรรมการบิน ซึ่งตกพร้อมหน้ากันหมด แต่ของเราตกเพียงเล็กน้อย ถือว่ายังอยู่ในอัตราที่เราพอใจ เราได้ 10% จากที่เราประมาณไว้ที่ 15%

สำหรับปีนี้ เราตั้งเป้าไว้ที่  20%  ซึ่งไตรมาสแรกเราเกินเป้านิดหน่อยแต่เราก็ต้องมาทำแผนด้วย เช่น แผนการตลาดเป็นอย่างไร การส่งเสริมการตลาดเป็นอย่างไร คู่แข่งเป็นอย่างไร เราร่วมมือกับผู้ค้าอย่างไร ความพร้อมของเราอยู่ในระดับใด แต่ละแผนกมีความพร้อมระดับใด เป็นต้น” คุณตงกล่าว

ด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 บริษัทได้มีการศึกษาและติดตามมาโดยตลอด เพราะไม่ใช่การแข่งขันเฉพาะในประเทศเราเท่านั้นแต่ต้องแข่งขันในตลาดเดียว โดยมีประเทศทั้งหมดในกลุ่ม AEC ทั้งนี้บริษัทยังไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใดว่าเมื่อเข้าสู่ AEC แล้ว ส่วนแบ่งการตลาดจะหายไปหรือทำตลาดได้ยากขึ้น โดยมีแผนรองรับไว้แล้ว ขณะนี้เตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนไปในต่างประเทศ ซึ่งสรุปไว้แล้วอาจจะไปประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มอาเซียน

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

กลุ่มไทคอนควักกระเป๋า 8,000 ลบ.รุกปีม้ารับ AEC

กลุ่มไทคอนทุ่มงบ 8,000 ลบ. เดินหน้าขยายการลงทุนเพิ่มทั้งซื้อที่ดินทำเลยุทธศาสตร์ การพัฒนาและก่อสร้างโครงการเต็มสูบ พร้อมตั้งเป้าปีนี้ขยายพื้นที่เช่าให้ได้ 250,000 ตร.ม.

คุณปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด หรือทีพาร์ค ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มไทคอนดำเนินธุรกิจให้เช่าในรูปแบบคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้ (Ready- Built Warehouses)  และคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit Warehouses) เปิดเผยถึงแผนการลงทุนของกลุ่มไทคอนในปี 2557 ว่าได้ตั้งงบลงทุน 8,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อที่ดินในทำเลยุทธศาสตร์ 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาทจะใช้ในการพัฒนาและก่อสร้างโครงการ  

สำหรับในปีนี้จะเน้นการก่อสร้างคลังสินค้าเป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้มีการซื้อที่ดินไว้เป็นจำนวนมากทั้งที่ภาคอีสาน (ขอนแก่น)  ภาคใต้(สุราษฏร์ธานี) และสมุทรปราการ (บางพลี) โดยจะเริ่มที่จังหวัดขอนแก่นเป็นที่แรกบนพื้นประมาณเกือบ 200 ไร่เพราะความต้องการในด้านการเช่าคลังสินค้ามีค่อนข้างสูง  ซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในกลางปีนี้และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในต้นปี 2558 

ส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีพื้นประมาณ 70 ไร่ จะเริ่มออกแบบภายในปีนี้และแผนการก่อสร้างกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาตัดสินใจ คาดว่าน่าจะดำเนินการได้ในราวปลายปีนี้  โดยทั้งสองแห่งจะดำเนินการเป็นเฟสและทยอยนำสินค้าออกมาให้เช่า ส่วนในปี 2557 จะมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมในภาคเหนือโดยอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและพิจารณาว่าจะเลือกจังหวัดใดระหว่างลำพูน ลำปางและเชียงใหม่

คุณปธานกล่าวต่อว่าวัตถุประสงค์ของการลงทุนในครั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นและรับตลาด AEC  โดยจุดแข็งของทีพาร์คคือการมีสถานที่หลายๆ แห่งไว้รองรับอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันก็มีสถานที่ทั้งหมด 29 แห่ง ซึ่งบางแห่งอาจจะมีพื้นที่ไม่พอแต่จะมีการขยายเพิ่มเติมในอนาคต

 รวมทั้งรองรับการขยายตัวของธุรกิจของกลุ่มไทคอนซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เนื่องจากปัจจุบัน ลูกค้านิยมเช่าพื้นที่คลังสินค้ามากกว่าที่จะสร้างเอง โดยบริษัทต่างชาติเน้นการเช่าอยู่แล้ว ประกอบกับขณะนี้ผู้ประกอบการคนไทยเริ่มมีการเช่าพื้นที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ด้านหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการเลือกสถานที่ในการดำเนินโครงการจะพิจารณาจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลักว่ามีความต้องการอย่างไร ทั้งนี้จากการสำรวจความต้องการลูกค้าในวังน้อยและบางพลีปัจจุบันพบว่าจะมีความต้องการในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศนอกจากจะแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศแล้วยังจะขยายสู่ภูมิภาคเอเชียร่วมด้วย โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาโครงการคลังสินค้าที่ประเทศเวียดนามและประเทศเมียนร์มา สำหรับเหตุผลที่จะเข้าไปลงทุนใน 2 ประเทศดังที่กล่าวมา เนื่องจากมีการขยายตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างสูงในอนาคต โดยประเทศเวียดนามจะมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่นเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่วนประเทศเมียนร์มาเพิ่งจะเปิดประเทศ ดังนั้นความต้องการหลายๆ อย่างน่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับในปี 2557 ทีพาร์คตั้งเป้าขยายพื้นที่เช่าให้ได้ 250,000 ตารางเมตร โดยพื้นที่จะปล่อยให้เช่าหลักๆ จะเป็นที่วังน้อย บางพลีและแหลมฉบัง ส่วนในภูมิภาคคาดว่าจะรับรู้ได้ในปีหน้า โดยคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เพราะขณะนี้มีหลายโปรเจคที่คุยกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มของธุรกิจที่ดำเนินอยู่ยังสามารถเติบโตได้ดี ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากสถานการณ์ทางการเมือง

ส่วนจุดเด่นของบริษัทคือรูปแบบคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้และคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ ซึ่งจะมีการพัฒนาคลังสินค้าแบบพร้อมใช้ในหลากหลายรูปแบบและขนาดเมื่อลูกค้าเข้ามาเลือกก็จะสามารถตัดสินใจเช่าได้ทันที

“เมื่อลูกค้าตัดสินใจเช่าก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ภายใน 1-2 เดือน ทำให้ง่ายต่อการดำเนินงาน นอกจากนี้เรายังมีพื้นที่รองรับสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายธุรกิจเพิ่มได้ตามความต้องการเพื่อให้ง่ายและสะดวกสำหรับลูกค้า” คุณปธานกล่าว

ด้านหลักการบริหารตนจะมองถึงเรื่องทีมเวิร์ค การสื่อสาร เป็นหลัก โดยจะมีการประชุมทำความเข้าใจเพื่อให้เป้าหมายของบริษัทเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งการหาแนวทางในการแก้ปัญหาและการหาข้อสรุปที่ดีเพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้จะเน้นการให้ความเป็นกันเองแก่พนักงานเพื่อให้สามารถคุยและแก้ปัญหาร่วมกันและมีการวางแผนในอนาคตเพื่อเตรียมแผนรองรับในทุกๆ เรื่อง

คุณปธานกล่าวต่อว่าการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC จะเป็นผลดีกับประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยประเทศไทยจะมีจุดแข็งและโอกาสในหลายด้าน ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายไปยังภูมิภาคซึ่งนับเป็นการเชื่อมโยงในการทำธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อีกทางหนึ่ง ส่งผลให้การเปิดตลาดกว้างมากขึ้นสามารถต่อยอดธุรกิจได้หลายด้าน

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

สุรเลิศผุดโครงการ “เซอรีน ฮิลล์” คอนโดหรูบนเขาใหญ่

สุรเลิศ น้องใหม่อสังหาฯ เปิดตัวโครงการเซอรีน ฮิลส์ เขาใหญ่ (Serene Hills Khaoyai) บนพื้นที่ 28 ไร่ ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 2,000 ลบ.  เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นด์ เล็งก่อสร้างแล้วเสร็จต้นปี 2558

คุณวิทูร สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุรเลิศ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือของ บริษัท กระสอบปากช่อง จำกัด ผู้ผลิตกระสอบรายใหญ่ของไทย เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการเปิดตัวโครงการ เซอรีน ฮิลส์  เขาใหญ่(Serene Hills Khaoyai) ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกของบริษัทที่เริ่มต้นก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัวว่าเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสแรกปี 2557 บนพื้นที่ทั้งหมด 28 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 2,000  ล้านบาท

โครงการ เซอรีน ฮิลส์ เขาใหญ่(Serene Hills Khaoyai) ตั้งอยู่ที่ถนนธนะรัชต์ กม.7 อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยเป็นอาคารคอนโดมิเนียมสูง 4 ชั้น และลานจอดรถอีก 1 ชั้น (รวมห้องเก็บของ)  มีทั้งหมด 4 อาคาร จำนวน 86 ยูนิต โดยโครงการมีพื้นที่สีเขียวถึงประมาณ 70% ของพื้นที่โครงการทั้งหมดเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสบรรยากาศของธรรมชาติและขุนเขาอย่างเต็มที่ คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จต้นปี 2558

ทั้งนี้บริษัทได้เริ่มเปิดขายโครงการเมื่อพฤษภาคม 2556  ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับดีจากลูกค้า โดยมียอดขายประมาณ 50%  คาดว่าจะปิดการขายได้ 100%  ภายในไตรมาส 3 -4  ปีนี้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นด์ที่มีความต้องการบ้านหลังที่ 2 ท่ามกลางบรรยากาศสงบและอากาศดีๆ บนเขาใหญ่ โดยวางแนวคิดโครงการภายใต้โจทย์ที่ต้องการสร้างคอนโดมิเนียมคุณภาพซึ่งให้ความรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านเดี่ยวและมีความเป็นส่วนตัวสูง

คุณวิทูรกล่าวต่อว่าแนวคิดในการออกแบบตกแต่งโครงการเซอรีน ฮิลส์ เขาใหญ่ (Serene Hills Khaoyai)  ได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมสไตล์ นิว อิงแลนด์ (New England) ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกาแถบ บอสตัน คอนเนคติกัต เป็นแหล่งที่ผู้ดีอังกฤษรุ่นแรกๆ ที่ได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในอเมริกา ดังนั้นรูปแบบสถาปัตยกรรมของโครงการจะเน้นความเรียบหรูและความอยู่สบายเหมาะกับสภาพพื้นที่และภูมิอากาศบนเขาใหญ่ พร้อมการตกแต่งภายในทุกยูนิตด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุดจาก ชนินทร์ ลิฟวิ่ง (Chanintr Living) เพื่อเอกลักษณ์ที่มีสไตล์อย่างแท้จริง

“ Chanintr  Living เป็นผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากอเมริการวมทั้งจากยุโรปด้วย ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์เกรดซุปเปอร์พรีเมี่ยมและเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพมาตรฐานเป็นอย่างมากที่เรานำมาใช้ในโครงการนี้เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องการดีไซน์และการตกแต่งซึ่งต้องการให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด” คุณวิทูรกล่าว

นอกจากนี้ ผนังของแต่ละยูนิตได้ถูกออกแบบให้แยกออกจากกัน แต่ละชั้นมีเพียง 5  ยูนิต และเพียง 3  ยูนิตในอาคารแบบ Duplex เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย พร้อมระเบียงนั่งเล่นขนาดใหญ่แบบ Enclosed Balcony ที่เชื่อมต่อเป็นส่วนหนึ่งกับห้องนั่งเล่นในทุกยูนิต สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ได้แก่ สระว่ายน้ำส่วนตัวทุกอาคาร คลับเฮ้าส์ ที่จอดรถประจำครบทุกยูนิต  1  คัน

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_017/suralers/photo{/gallery}

คุณวิทูรกล่าวต่อว่าโครงการเซอรีน ฮิลส์ เขาใหญ่ (Serene Hills Khaoyai)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ระดับพรีเมี่ยมที่มีทิวเขาโอบล้อมเหมือนกำแพงธรรมชาติและพยายามคิดฟังค์ชั่นการใช้สอยให้มีประโยชน์การใช้งานให้ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยให้มากที่สุด สำหรับการเดินทางโครงการตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่เพียง 800  เมตร ซึ่งสะดวกสบายในการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ

ด้านจุดเด่นของบริษัทนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทน้องใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แต่วิธีการจัดการและการบริหารงานจะมีทีมงานที่เป็นมืออาชีพเข้ามาทำงานทั้งหมด โดยบริษัทมอบหมายให้บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้บริหารงานขายและจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้กับโครงการ เซอรีน ฮิลส์ เขาใหญ่ (Serene Hills Khaoyai)  ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยลูกค้ามั่นใจได้ว่าทีมงานของบริษัทเป็นทีมงานที่มีประสบการณ์

สำหรับหลักการบริหารงานคือการเลือกคนที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมทำงานและพยายามที่จะให้ทุกคนทำงานร่วมกันให้ผลงานออกมาดีที่สุด ส่วนตนเมื่อจะทำอะไรก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าจะทำพลาดบ้างแต่ถ้าทำดีที่สุดทุกคนก็จะรับรู้ได้และทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ  นอกจากนี้ฝากถึงลูกค้าว่าโครงการนี้ บริษัทตั้งใจออกแบบอย่างพิถีพิถัน พยายามจัดการในทุกรายละเอียดให้ออกมาดีที่สุด รวมทั้งนำสิ่งดีๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อให้คอนโดมิเนียมเป็นเหมือนบ้าน มีความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย

ด้านคุณบัณฑูร  ดำรงรักษ์  หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่าโครงการนี้ ตนกล้าพูดได้ว่าด้วยขนาดพื้นที่ การออกแบบ และการตกแต่งภายใน ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่คุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุดโครงการหนึ่งบนเขาใหญ่ในขณะนี้ เพราะตัวสินค้าได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีผู้ประการรายใดเล่นตลาดในระดับนี้  ดังนั้นจึงเป็นโครงการที่ดีมีไซด์เหมาะสม มีการเลือกเฟอร์นิเจอร์และวัตถุดิบที่ดี ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดีและมั่นใจว่าเป็นโครงการที่น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เดินหน้า 3 โปรเจคเกาะติดแนวรถไฟฟ้า

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เทงบกว่า 2,550 ล้านบาทผุด 3 โครงการใหญ่ติดแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ปลื้มกระแสตอบรับจากลูกค้าดี โดยบางโครงการปิดการขายได้ 100%

คุณพีระพงศ์ จรูญเอก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการและเตรียมการก่อสร้าง 3 โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ประกอบด้วยโครงการเดอะ ไนท์ สุขุมวิท 107 ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคาร 2 ,โครงการไนท์บริดจ์ สุขุมวิท 107 อยู่ระหว่างการก่อสร้างชั้นที่ 12 และโครงการไนท์บริดจ์ สกาย ริเวอร์ โอเชี่ยน อยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตก่อสร้าง โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2,550 ล้านบาท

โครงการเดอะ ไนท์ สุขุมวิท 107 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 งาน 3 ตารางวา ประกอบด้วย  2 อาคาร 120 ยูนิต แบ่งเป็นอาคารเดอะ ไนท์ 1 จำนวน 70 ยูนิต และอาคารเดอะ ไนท์ 2 จำนวน 50 ยูนิต โดยใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 คาดจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2557 โดยมีความคืบหน้ากว่า 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% จะอยู่ในส่วนของงานตกแต่งภายใน

ปัจจุบันโครงการเดอะไนท์ สุขุมวิท 107 ได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยอาคารเดอะ ไนท์ 1 สามารถปิดการขาย 100% ส่วนอาคารเดอะ ไนท์ 2 มียอดขายแล้ว 30-40% คาดจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะสามารถปิดการขายได้ 100%

สำหรับจุดเด่นโครงการนี้คือการออกแบบในสไตล์วินเทจสุดหรูเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันด้วยการออกแบบอย่างลงตัว ตอบโจทย์การพักอาศัยของคนรุ่นใหม่ ด้วยห้อง 1 Bedroom และ 2 Bedrooms ที่มีขนาดตั้งแต่ 23 ตร.ม.ไปถึง 44 ตร.ม. เพื่อตอบโจทย์ในสไตล์ที่ลูกค้าต้องการ

ส่วนโครงการไนท์บริดจ์ สุขุมวิท 107 เป็นอาคารชุดพักอาศัย สูง 25 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 267 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการ 1-1-56 ไร่ มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25-57 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 1.9-5.2 ล้านบาท โดยใช้งบการลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสแรกในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาสแรกปีหน้า ปัจจุบันมียอดขายหมดแล้ว

โครงการไนท์บริดจ์ สุขุมวิท 107 มีการออกแบบโครงการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “Arty–Vintage-Passion” ท่ามกลางกลิ่นอายความงดงามของศิลปะแบบอังกฤษ ในสไตล์ Modern Vintage ซึ่งเป็นการประยุกต์ความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบวินเทจมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมปัจจุบันที่ Mix & Match หรูหราตามแบบฉบับที่อยู่อาศัยย่าน Knightsbridge ที่เป็นศูนย์กลางของมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับการตกแต่งห้องและพื้นที่ส่วนกลางของอาคาร โดยมีพื้นที่สวนอยู่ที่บริเวณชั้น 22 ส่วนดาดฟ้าชั้นบนสุดสามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา

คุณพีระพงศ์กล่าวต่อถึงโครงการไนท์บริดจ์ สกาย ริเวอร์ โอเชี่ยนว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตก่อสร้าง ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 32 ชั้น จำนวน 468 ยูนิต บนพื้นที่ 1-3-60 ไร่ ติดรถไฟฟ้า BTS สถานีสมุทรปราการ โดยมีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท คาดจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ ไตรมาสสองปีนี้ และจะแล้วเสร็จในไตรมาสสี่ปี 2559 ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จพร้อมกับรถไฟฟ้า BTS โดยเปิดขายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70%

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

โซลเวย์ คว้ารางวัลธงขาว-ดาวเขียว

โซลเวย์ เพอรอกซิไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายสารเคมีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในระดับชั้นนำของไทย รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ตอกย้ำนโยบายคุณภาพด้านการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ล่าสุดทุ่มงบกว่า 20 ล้านเหรียญยูโรก่อสร้างโรงงานใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง คาดจะสามารถเริ่มเดินเครื่องในช่วงครึ่งปีแรก 2558

คุณศิริพร วุฒิเลาหพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซลเวย์ เพอรอกซิไทย จำกัด กล่าวว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา บริษัท โซลเวย์ เพอรอกซิไทย จำกัด บริษัท เอ็มทีพี เอชพี เจวี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มบริษัทโซลเวย์ในประเทศไทย รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ประจำปี 2556 (รางวัลธงขาว-ดาวเขียว)

โดยบริษัท โซลเวย์ เพอรอกซิไทย จำกัด และบริษัท เอ็มทีพี เอชพี เจวี (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัลธงขาว-ดาวเขียวเป็นปีที่สองติดต่อกัน ในขณะที่บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลธงขาว-ดาวเขียวเป็นปีที่เจ็ดติดต่อกัน พร้อมด้วยรางวัลพิเศษ คือรางวัลธงขาว-ดาวทอง

“โรงงานของเราตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย เราดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยเป็นประจำ เรามั่นใจว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ สอดคล้องกับรางวัลนี้และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นนโยบายที่จะทำให้โรงงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการบริหารจัดการด้านการกำจัดของเสีย นอกจากนี้ยังมีการดำเนินงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชนหรือกิจกรรม CSR เช่น ร่วมสนับสนุนโครงการของรัฐบาลในด้านความปลอดภัยบนท้องถนนของคนในชุมชนรอบๆ โรงงาน โดยริเริ่ม ‘โครงการ Helmets for Kids’ หรือโครงการเดินทางปลอดภัยสวมหมวกนิรภัยมาโรงเรียนให้แก่เยาวชนในท้องถิ่นจังหวัดระยอง เป็นต้น” คุณศิริพรกล่าว

ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ส่วนขายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สู่ตลาดทั่วไปไว้ที่ 1,700 ล้านบาทหรือเพิ่มอีก 15% จากปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนการจะปรับขยายเป้าผลประกอบการ เพื่อรองรับการขยายการดำเนินงาน ซึ่งจะมีการพิจารณาจากความต้องการของตลาดในปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้น

ล่าสุดบริษัทได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตโซเดียมไบคาร์บอเนตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยจะใช้เงินลงทุนกว่า 20 ล้านเหรียญยูโรหรือประมาณเกือบ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อเดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมาและคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 โดยจะมีกำลังผลิตรวม 100,000 ตันต่อปี

“เราได้เริ่มวางแผนการก่อสร้างโรงงานโซเดียมไบคาร์บอเนตเมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI เมื่อเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา รวมทั้งจะมีการนำเทคโนโลยีรุ่นใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิตโซเดียมไบคาร์บอเนต ซึ่งจะช่วยลดการเกิดของเสียจากกระบวนการผลิต ส่งผลดีต่อการแปรรูปเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานและเพิ่มผลผลิต” คุณศิริพรกล่าว

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟเปิดแผนการลงทุนรับปีม้า

ดร.สมศักดิ์ วาทินชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับแผนการลงทุน กลยุทธ์ทางการตลาด เป้าผลประกอบการในปี 2557  และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้

บิส โฟกัส : แผนการลงทุนในปี 2557

ดร.สมศักดิ์ : บริษัทจะขยายโรงงานบนพื้นที่ 4 ไร่ 2 งาน โดยจะเป็นไลน์ออโตเมชั่นหรือใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนแรงงานคนและจะนำแรงงานจากหน่วยงานผลิตไปเป็นหน่วยงานติดตั้งแทน เนื่องจากปัจจุบันแรงงานคนหายาก สำหรับมูลค่าการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 195 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างโรงงาน 120  ล้านบาทและค่าเครื่องจักรหุ่นยนต์ซึ่งจะนำเข้าจากประเทศเยอรมนีเพื่อเสริมศักยภาพการผลิต 4 เครื่อง 75 ล้านบาท

โดยจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี ซึ่งจะเริ่มตอกเสาเข็มในเดือนเมษายนนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2558 หลังจากนั้นจะทดสอบเครื่องจักรประมาณ 1-2 เดือนและเริ่มการผลิตได้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2558  เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยปัจจุบันบริษัทสั่งซื้อเครื่องจักรเและมีผู้รับเหมาแล้ว

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายสาขาในส่วนภูมิภาค (Branch Office) โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 อาทิ จังหวัดระยองและนครศรีธรรมราช  ส่วนในปี 2559 จะขยายไปที่จังหวัดขอนแก่นและเชียงใหม่ รวมทั้งมีแผนที่จะจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศคือประเทศนิวซีแลนด์และประเทศออสเตรเลีย โดยมอบหมายให้ดีลเลอร์ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้ดูแลและควบคุม 2 ประเทศนี้ซึ่งได้มีการดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2556 แล้ว

บิส โฟกัส : วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ได้รับหลังจากขยายโรงงานเสร็จ

ดร.สมศักดิ์ : วัตถุประสงค์ในการขยายโรงงานประกอบด้วย 1.เพื่อขยายตลาดรองรับ AEC  รวมไปถึงอินเดีย จีน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 2.ลดแรงงานคนโดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งส่งผลให้ง่ายต่อการควบคุม 3.ลดต้นทุน 

ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อขยายโรงงานแล้วเสร็จคือยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือจากปกติที่มียอดขายประมาณ 360 ล้านบาท/ปี จะส่งผลให้มีรายได้เพิ่มเป็น 720 ล้านบาท/ปี

บิส โฟกัส : งบประมาณการตลาดปี 2557

ดร.สมศักดิ์ : ปีนี้จะใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 8 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1.ใช้สำหรับ R & D (Research and Development) งานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการดูงานในต่างประเทศร่วมด้วย  2.การจัด Exhibition ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ อาทิ นิตยสาร  เป็นต้น

บิส โฟกัส : กลยุทธ์การตลาด

ดร.สมศักดิ์ : จะเน้นกลุ่มลูกค้าเก่าและขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยการจัดสัมมนาให้กับลูกค้าฟรีในเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ห้องปฏิบัติการและอาคารห้องปฏิบัติการ ซึ่งใน 1 ปี จะมีการอบรม 2 ครั้งให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีวิทยากรของบริษัทและเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ในการอบรมซึ่งจะเน้นเรื่องความปลอดภัยและเรื่องสุขภาพในการใช้ห้องปฏิบัติการในการอบรม

ในส่วนของลูกค้าใหม่ภายในประเทศจะต่อเนื่องจากลูกค้าเก่าซึ่งจะเป็นบริษัทในเครือของลูกค้าเก่าโดยจะต่อยอดให้มาเป็นลูกค้าของบริษัทได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการบอกปากต่อปากถึงคุณภาพสินค้าของบริษัท นอกจากนี้ก็จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มเติมอีกในส่วนลูกค้าในต่างประเทศที่บริษัทได้เปิด Exhibition และอบรมในต่างประเทศ

บิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปี 2557  

ดร.สมศักดิ์ : ตั้งเป้าไว้ที่ 360 ล้านบาท โดยเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 20% และหลังจากที่ขยายโรงงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า ดังนั้นจึงตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2558 ไว้ที่ 500 ล้านบาท

บิส โฟกัส : กำหนดนโยบายการดำเนินงานในปีนี้ไว้อย่างไร

ดร.สมศักดิ์ : ประกอบด้วย  1.Customer Service & Total Quality Service โดยมีการบริการหลังการขายที่ดีอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่านั้นคือการบริการอย่างมืออาชีพ  2.Lab Consulting & Training  โดยมีการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาทางด้านแล็บวิทยาศาสตร์ให้กับลูกค้าและผู้ที่สนใจ  3.Customer Relationship  การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า  4.Innovative & Science Technology การสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านแล็บวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย  5.Professional Engineering Sales พนักงานขายมีความเป็นมืออาชีพ เชี่ยวชาญ ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดจะเรียกว่ากลยุทธ์การขายแบบ Turnkey Solution (One Stop Service) โดยบริษัทจะออกแบบ ผลิต ติดตั้ง บริการหลังการขายตามความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร

บิส โฟกัส : สัดส่วนการจำหน่ายในต่างประเทศ

ดร.สมศักดิ์ : ในปี 2556 ที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายในต่างประเทศอยู่ที่ 10% อาทิ อินเดีย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น สำหรับในปีนี้จะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเพิ่มเป็น 15% เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท ส่วนในปี 2558 จะเพิ่มเป็น 20%

บิส โฟกัส : การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558

ดร.สมศักดิ์ : ตนมองว่าการเข้าสู่ AEC ในปี 2558 จะทำให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้นและมีโอกาสในหลายๆ ด้านๆ โดยเบื้องต้นบริษัทได้มีการทำตลาดไว้นานแล้วและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อครองใจลูกค้าไว้ให้คงอยู่เช่นเดิม รวมทั้งยังเป็นโอกาสที่มองหาลูกค้าใหม่เพิ่ม นอกจากนี้ตนต้องการให้ SME เร่งการพัฒนาในด้านคุณภาพของสินค้าเพื่อไม่ให้ประเทศอื่นมาตีตลาดบ้านเราและเพื่อเป็นการเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งในด้านการแข่งขันอีกด้วย

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_015/designAlt/success{/gallery}

บิส โฟกัส : จุดเด่นของผลิตภัณฑ์

ดร.สมศักดิ์ : ประกอบด้วย 1.เป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ติดตั้งระบบ Fully Knockdown 100%  2.ไม่มีการปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง 3.สินค้ามีอายุการใช้งานยาวนานโดยใช้กาวกันน้ำในห้องแล็บซึ่งสามารถแช่น้ำได้ตลอด 24 ชม. 4.คุณภาพมาตรฐานของสินค้าของบริษัทจะใช้มาตรฐาน SEFA มาควบคุมซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก 

นอกจากนี้บริษัทจะเน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและชุมชนรอบข้างในด้านสิ่งแวดล้อมร่วมด้วยเพื่อให้บริษัทสามารถอยู่ร่วมกับชุมชุนได้อย่างมีความสุขและยั่งยืนในอนาคต โดยบริษัทนับเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในการทำตู้ดูดควันไอกรดสารเคมีเป็นเจ้าแรก

บิส โฟกัส : หลักการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพที่ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ

ดร.สมศักดิ์ : ในส่วนของหลักการบริหารงานด้านบุคคลจะใช้ HRM HRD และ HR พุทธะ ซึ่งเป็นการใช้บริหารงานบุคคลเชิงพุทธศาสนา โดยการให้พนักงานมีส่วนร่วมในทุกๆ มิติแบบ 360 องศา อาทิ Vision (วิสัยทัศน์)  Mission (พันธกิจ) เป็นต้น โดยทั้งองค์กรร่วมกันคิดไม่ใช่แค่เพียงผู้บริหารเท่านั้น จึงทำให้บริษัทประสบผลสำเร็จได้ในวันนี้ ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 200 คน

นอกจากนี้ บริษัทยังส่งเสริมด้านการศึกษาฟรี โดยส่งบุคลากรไปเรียนหลักสูตร "การพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศในการจัดการ" (Mini Master of Management Program - MMM) จัดโดยคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ซึ่งจะส่งพนักงานระดับหัวหน้าไปเรียนเพื่อให้สามารถทำงานในหลายๆ ด้านและเสริมศักยภาพให้เรียนรู้ในทุกส่วนที่ยังไม่รู้

เนื่องจากตนต้องการให้บุคลากรมีองค์ความรู้ทั้งเชิงวิชาการและเชิงประจักษ์ ถ้าไม่ส่งเสริมความรู้ให้พนักงานอาจจะทำให้การพัฒนาเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงเน้นส่งเสริมด้านนี้เป็นพิเศษ สำหรับหลักเกณฑ์การพิจาณาในการเลือกจะต้องเป็นคนเก่ง มีคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่าแต่คนที่เข้ามาใหม่ก็มีโอกาสได้รับเลือกเช่นกันถ้าตรงกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณา

บิส โฟกัส : มีการจัดทำโครงการ CSR อย่างไรบ้าง  

ดร.สมศักดิ์ : กิจกรรม CSR ที่บริษัทเราดำเนินการประกอบด้วย 1.โครงการ 1 โรงเรียน 1 ห้องแล็บ โดยมอบให้กับโรงเรียนวัด สำหรับโครงการนี้เราจะดำเนินการร่วมกับลูกค้าเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนวัดที่ยังขาดแคลน 2.ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ บริจาคติดตั้งตู้ดูดควันไอกรดสารเคมีฟรีไม่น้อยกว่า 36 โรงเรียน 3.บริจาคเฟอร์นิเจอร์ให้กับศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดปันเสา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อใช้ในห้องต่างๆ เช่น ศาลา ห้องน้ำ เป็นต้น

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

คลิงเกอร์ (ไทยแลนด์) ยิ้มรับ BOI หนุนต่อยอดธุรกิจ

คุณเจตพล โสมสุภางค์ศรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท คลิงเกอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัสในโอกาสได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในโครงการขยายไลน์การผลิตกึ่งออโตเมติกสำหรับปะเก็นกึ่งโลหะพร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ มูลค่าโครงการรวม 88  ล้านบาท  เป้าหมายผลประกอบการ รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้  

นิตยสารบิส โฟกัส : รายละเอียดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI  

คุณเจตพล :  บริษัทได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เมื่อเดือนตุลาคม 2556  ที่ผ่านมา ในโครงการขยายไลน์การผลิตกึ่งออโตเมติกสำหรับปะเก็นกึ่งโลหะพร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ มูลค่าโครงการรวม 88  ล้านบาท  ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการพิจารณาอนุมัติ เนื่องจากยังติดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอน โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีนำเครื่องจักรและวัตถุดิบ

นิตยสารบิส โฟกัส : วัตถุประสงค์ในการขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI

คุณเจตพล : บริษัทต้องการเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตและจะจำหน่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายดังนี้ 1.จำหน่ายในประเทศออสเตรเลีย 30%  ซึ่งเป็นการส่งคืนให้กับสำนักงานใหญ่ที่ประเทศออสเตรเลีย 2.จำหน่ายในเอเชีย 20%  อาทิ สิงคโปร์  มาเลเซีย เป็นต้น 3.จำหน่ายในประเทศไทย 50%  อาทิ ภาคใต้  โรงกลั่นในมาบตาพุด เป็นต้น

นิตยสารบิส โฟกัส : กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด/ปี

คุณเจตพล : สำหรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากติดตั้งเครื่องจักรเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นซึ่งสมมุติว่าจากเดิมถ้าเราผลิตได้ 36,000 ชิ้น/ปี  คาดว่าจะเพิ่มเป็น 150,000 ชิ้น/ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีแรกคาดว่าในปีต่อๆ ไปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเท่าตัว

นิตยสารบิส โฟกัส : รายละเอียดการติดตั้งเครื่องจักรใหม่

คุณเจตพล : เครื่องจักรที่นำเข้ามาติดตั้งในเบื้องต้นประกอบด้วย 1.เครื่องตัดเลเซอร์ 1  เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องมือ 2  มูลค่าประมาณ 6-7 ล้านบาท โดยเป็นเครื่องที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น แต่เรานำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย สำหรับประโยชน์ของเครื่องนี้คือจะสามารถทำให้ควบคุมต้นทุน เวลาและวัตถุดิบได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น  2. เครื่องม้วนปะเก็นกึ่งออโตเมติก  มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเครื่องจักรอื่นๆ อีกหลายเครื่องที่ยังไม่ได้นำมาติดตั้ง รวมมูลค่าเครื่องจักรทั้งหมดที่จะนำเข้ามาติดตั้ง 35  ล้านบาท โดยได้เริ่มติดตั้งเครื่องจักรเมื่อกลางปี 2556 ที่ผ่านมา คาดว่าจะดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานได้สมบรูณ์ 100%  หลังจากนี้อีก 1-2  ปีข้างหน้า

นิตยสารบิส โฟกัส : วางเป้าหมายผลประกอบการในปีนี้ไว้อย่างไร

คุณเจตพล : ในปี 2556 เราตั้งเป้าผลประกอบการไว้ที่ 40 ล้านบาท แต่ทำได้ 43.5  ล้านบาท  ซึ่งเกินเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยรายได้ส่วนใหญ่ 95% มาจากตลาดในประเทศและในปี 2557 ตั้งเป้าผลประกอบการไว้ที่ 95  ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากมีตลาดต่างประเทศร่วมด้วย

นิตยสารบิส โฟกัส : ทิศทางการดำเนินงานในปี 2557

คุณเจตพล : ปัจจุบันเรามีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 10%  หากดำเนินการเพิ่มไลน์การผลิตและติดตั้งเครื่องจักรเรียบร้อยจะสามารถผลิตสินค้าออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะขยายตลาดและมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 50% เนื่องจากเป็นสินค้าที่ทางอุตสาหกรรมต้องใช้อยู่แล้วและถัดจากนี้อีก 3  ปี ตั้งเป้ามีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 65% ถึงแม้ว่าการตลาดมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงแต่เรามั่นใจในสินค้าของเราที่มีคุณภาพมาตรฐานและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสนับสนุนให้กับลูกค้า รวมทั้งการให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับเรื่องปะเก็น ซึ่งการทำอุตสาหกรรมปะเก็นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเป็นเรื่องของ Engineering โดยตรง เรามีทีมที่สนับสนุนในส่วนนี้ไว้รองรับอยู่แล้วซึ่งจะเป็นจุดเด่นที่เหนือคู่แข่งและจะส่งผลให้เราเป็นผู้นำตลาดด้านนี้ในอนาคต

นอกจากนี้จะโฟกัสเรื่องการขยายไลน์การผลิตและติดตั้งเครื่องจักรเป็นหลักซึ่งจะครอบคลุมการดำเนินงานทั้งหมดของแผนงานในอีก 2 ปีถัดไปจากนี้ อย่างไรก็ตามการทำให้ระบบต่างๆ เสร็จสมบูรณ์จะต้องใช้เวลา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยนำเข้าเครื่องจักร เมื่อระบบทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อยเราจะต้องพัฒนาคุณภาพบุคลากรเพื่อสนับสนุนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบ IT เพื่อให้เดินไปพร้อมกันด้วย โดยเราจะลงระบบ IT ใหม่ทั้งหมดเพื่อเซ็ตระบบในการสนับสนุนการทำงานให้ครอบคลุมการทำงานในทุกส่วน โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 5  ล้านบาท

และเรายังมีแผนที่จะเพิ่มตลาดในต่างประเทศนั้นคือประเทศเวียดนาม โดยร่วมมือกับเซลล์ของสำนักงานใหญ่ในประเทศออสเตรเลียซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดประเทศเพื่อนบ้านของเราช่วยหาลูกค้าเพิ่ม ซึ่งเรามองว่าเวียดนามเป็นตลาดที่ใหญ่ในระดับหนึ่งแต่ยังไม่ใหญ่เท่าตลาดในบ้านเรา โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2556  ที่ผ่านมา

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

เคเอฟซี ลุยตลาดไดร์ฟทรู พร้อมเทงบ 2.2 พันลบ. ตอกย้ำแบรนด์

เคเอฟซี รุกตลาดรูปแบบไดร์ฟทรู เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ทุ่มทุนกว่า 2.2 พันล้านบาทขยายสาขาและตอกย้ำแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ประกาศเติมสาขาครบ 800 สาขาในปี 2563 ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศรองรับการเติบโตของจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น

คุณแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนภายใต้แบรนด์ เคเอฟซี กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 30 ปี โดยมีร้านเคเอฟซีเปิดให้บริการกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ

ส่วนในระยะยาว คาดว่ายอดขายของแต่ละสาขาจะสามารถเติบโตได้ถึง 50% โดยเฉพาะการเปิดร้านเคเอฟซีในรูปแบบสาขาไดร์ฟทรู เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและต้องการความรวดเร็วในการรับประทานอาหารทั้งที่รับประทานในร้านและสั่งซื้อกลับบ้านของลูกค้า รวมทั้งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดได้เปิดสาขาแรกที่ถนนศรีนครินทร์

ด้านแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทได้เตรียมทุ่มงบกว่า 2.2 พันล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณเปิดสาขาใหม่ 900 ล้านบาท งบประมาณการตลาด 650 ล้านบาท งบประมาณในการปรับปรุงร้าน 450 ล้านบาทและงบประมาณในด้านอื่นๆ 200 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งสิ้น 50 สาขา แบ่งเป็นสาขาในรูปแบบไดรฟ์ทรู สแตนด์อะโลน 10 สาขา โดยใช้งบประมาณ 30-40 ล้านบาทต่อสาขา

“ในปีนี้เคเอฟซีมุ่งเน้นที่จะตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 50 สาขาเป็นรูปแบบไดร์ฟทรูรอบๆ กรุงเทพฯ รวมทั้งการเปิดร้านในอำเภอรองจากอำเภอเมืองในแต่ละจังหวัดตาม Hyper Market อาทิ เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี เป็นต้น และรูปแบบร้านที่อยู่ในห้าง Shopping Mall ทั่วไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ” คุณแววคนีย์กล่าว

นอกจากนี้ในปี 2563 เคเอฟซีมีความมั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาได้ถึง 800 สาขา ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเคเอฟซีเปิดสาขาได้มากกว่าที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อให้เข้าถึงปณิธานของเคเอฟซีที่มุ่นมั่นที่จะเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของชุมชนและสามารถสร้างงานให้กับคนในชุมชนนั้นๆ ด้วย

คุณแววคนีย์กล่าวต่อถึงด้านการตลาดในปีนี้ว่าเคเอฟซีมีการสร้างการรับรู้และตอกย้ำแบรนด์ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ โซเชียลเน็ตเวิร์ค รวมทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งแต่ละโปรโมชั่นที่จะออกมามุ่งเจาะกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่นและวัยทำงาน

ด้านเป้าผลประกอบการในปี 2556 ที่ผ่านมา เติบโตเพิ่มขึ้น 10% และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 15% เพิ่มจากปีก่อนด้วยการเพิ่มสาขาและทยอยเปิดสาขาใหม่ตลอดทั้งปี รวมทั้งการขยายตัวของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าแนวโน้มของตลาดในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน รวมทั้งกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ยังให้การตอบรับผลิตภัณฑ์จากเคเอฟซีเป็นอย่างดี ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคุณภาพและรสชาติที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยเป็นอย่างดี

“เราให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นสร้างประสบการณ์และผลิตภัณฑ์คุณภาพ ความปลอดภัย รวมทั้งใช้ไก่สดปรุงใหม่ๆ ในร้านและรสชาติอร่อยถูกปากคนไทยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ จึงทำให้เคเอฟซีเป็นผู้นำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน โดยมีเป้าหมายขยายส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 50% ในปี 2557” คุณแววคนีย์กล่าว

สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 นับเป็นโอกาสดีที่แบรนด์ของคนไทยจะไปตีตลาดในต่างประเทศมากขึ้น สำหรับ KFC ได้มีการเตรียมความพร้อมในการศึกษาทำเลที่ตั้งของสาขาต่างๆ ที่อยู่รอบๆ บริเวณจังหวัดชายแดนซึ่งเป็นเมืองเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและมีการเข้า-ออกของคนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

คุณแววคนีย์กล่าวต่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารงานคือ “คน” โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นซึ่งจะส่งผลให้พนักงานและองค์กรประสบความสำเร็จ ในปัจจุบันบริษัทมีพนักงานในสำนักงานประมาณ 300 คนและพนักงานประจำร้านไม่น้อยกว่า 15,000 คน

“เรามีพนักงานเป็นจำนวนมากและเราได้นำวัฒนธรรมมาจากคุณเดวิด โนแวค ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยัม! แบรนด์ส อิงก์ ซึ่งคุณเดวิดอยากให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นในตนเองว่าเมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว เราจะต้องประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างความมุ่งมั่นที่จะคิดเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จตามจุดหมายในแต่ละวัน” คุณแววคนีย์กล่าว

ด้านกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรหรือ CSR เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจด้านอาหาร ดังนั้นจึงมีแนวคิดจัดทำโครงการ CSR ในด้านอาหาร โดยร่วมสนับสนุนโครงการอาหารโลก หรือ WFP (The World Food Programme) ในการระดมทุนทรัพย์ตามสาขาต่างๆ ของ KFC อาทิ โครงการช่วยเหลือด้านอาหารในประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้รับความผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน เป็นต้น

ส่วนในประเทศไทย บริษัทได้เข้าร่วมโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อให้นักเรียนมีอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการบริโภคตลอดปีการศึกษา โดยใช้ผลผลิตการเกษตรที่ผลิตขึ้นภายในโรงเรียนมาประกอบอาหาร และนำเงินที่ได้รับบริจาคในแต่ละสาขาเข้าร่วมสมทบกองทุน

“การวางกล่องรับบริจาคในแต่ละสาขา ถือเป็นการตอบโจทย์ในการรับบริจาคได้เป็นอย่างดีเพราะเราสามารถบริหารจัดการเงินทุกบาททุกสตางค์ได้ด้วยตัวเองและนำมาสะสมเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อสมทบทุนในโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในทุกๆ ปี รวมทั้งเรายังภูมิใจที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเพื่อถวายเงินสมทบกองทุนอีกด้วย” คุณแววคนีย์กล่าว

คุณแววคนีย์กล่าวปิดท้ายว่านอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการร้านน้องหูหนวก ซึ่งเป็นร้าน KFC ที่มีแต่เฉพาะพนักงานคนหูหนวก โดยให้บริการเป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่ไทม์ สแควร์ ซึ่งได้เริ่มเปิดรับสมัครคนหูหนวกมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยให้สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการประชาสัมพันธ์ข่าวนี้ให้คนหูหนวกได้รับทราบ

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์เปิดแผนงานปี 2557

คุณกฤษดา ชวนะนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์ จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับแผนการดำเนินงาน การลงทุน การตลาดในปี 2557  และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้

บิส โฟกัส : นโยบายการดำเนินงานในปี 2557

คุณกฤษดา : แผนงานของบริษัทที่ต้องดำเนินการในขณะนี้คือการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นโอกาสและมีความพร้อมมากกว่าคนอื่นก่อนที่จะเกิดการแข่งขัน ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องกังวล ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทวิจิตรภัณฑ์ปฏิบัติและยึดมั่นมาตลอดคือการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันก็มุ่งสร้างสรรค์ความยั่งยืนด้วย ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่กลุ่มธุรกิจเรามองคือไม่เพียงแต่เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้ว เพราะถ้าเราหยุดเมื่อไหร่คนอื่นก็จะทันและแซงเราไป แต่เราจะก้าวอย่างไรให้มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีความเสี่ยงได้ง่าย ถ้ามุ่งเฉพาะการเติบโตแล้วไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันต่อเหตุการณ์ก็จะสู้กับใครไม่ได้ สุดท้ายก็จะแพ้กับสถานการณ์เอง ไม่ได้แพ้ให้กับคู่แข่ง ตรงนี้เป็นหัวใจของกลุ่มบริษัทที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเราพยายามทำเวิร์คช็อปตลอดเพื่อนำไปพัฒนาว่าควรจะปรับตัวอย่างไร มองภาพธุรกิจในอนาคตอย่างไร รวมไปถึงมองวิสัยทัศน์ระยะยาวใน 5 ปี  10 ปี ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพื่อไปสู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในอนาคต

บิส โฟกัส : แผนการลงทุนในปี 2557

คุณกฤษดา : ในปีนี้จะมีการลงทุนเพื่อพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า ซึ่งจะใช้งบลงทุนประมาณกว่า 100  ล้านบาท โดยจะใช้ในการทำตลาด การผลิตและการปรับปรุงระบบ ซึ่งไม่ได้ใช้เฉพาะเป็นโครงการใดโครงการหนึ่ง

ทั้งนี้ด้วยสภาวะต่างๆ เราคงต้องชะลอการลงทุนเล็กน้อยแต่กำลังมองหาโอกาสที่กำลังจะลงทุน ซึ่งมีหลายๆ โครงการที่เราคิดว่าน่าสนใจ เช่น การปลูกปาล์มในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเนื่องจากการลงทุนในต่างประเทศต้องใช้เงินทุนสูงและมีความเสี่ยงสูง ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ก็จะไม่ทำ  เพราะมองว่าในสภาวะตอนนี้ เราต้องดูสภาวะเศรษฐกิจให้แน่นอนก่อนเพราะทางกลุ่มบริษัทต้องการพัฒนาและก้าวอย่างมั่นคง

บิส โฟกัส : แผนการตลาดในปี 2557

คุณกฤษดา : สำหรับการตลาดในปีนี้ ตนเชื่อว่าจะมีความท้าทายอีกมากมายไม่ใช่เฉพาะในอุตสาหกรรมปาล์มเท่านั้นแต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย โดยเราต้องวิเคราะห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตแต่ในขณะเดียวกันเรามองว่าปีนี้เป็นปีรับ เราไม่เคยหยุดนิ่งพยายามเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสคือจะไม่เร่งผลิตมากนัก ซึ่งจะทำให้มีเวลาคุยกับทีมเพื่อหาแนวทางตั้งรับในวิกฤติต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นปีที่ต้องระวัง เน้นการเตรียมความพร้อม โดยจะเริ่มบุกจริงจังในปี 2558  แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโดยรวมของปีหน้าด้วย

โดยอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องมีความพร้อมซึ่งสิ่งที่มากับเกษตรเหมือนน้ำขึ้น น้ำลง ซึ่งถ้าในช่วงน้ำลง ถ้ามีขันก็ไม่สามารถตักน้ำได้ ในขณะเดียวกันเมื่อโอกาสมาถึงแล้วไม่มีวัตถุดิบหรือไม่พร้อมและเดินหน้าไม่ได้จะเป็นปัญหาใหญ่เช่นเดียวกับน้ำขึ้นแล้วตักไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายสำหรับเราเนื่องจากกลุ่มวิจิตรภัณฑ์มีกำลังการผลิตค่อนข้างมาก เมื่อรวมทั้งกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกับรายใหญ่ๆ ของประเทศเราจะอยู่อันดับต้นๆ จึงต้องมีความพร้อมในการดำเนินการในทุกด้านและทุกช่วงโอกาสที่จะมาถึง

เราจะพยายามทำธุรกิจในเชิงรุกมากกว่าที่จะเป็นธุรกิจในเชิงแก้ปัญหาซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งเพราะเราเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งจะมีปัญหาเข้ามาทุกๆวัน ถ้าไม่สามารถก้าวผ่านปัญหารายวันได้ก็จะติดกับการแก้ปัญหาอยู่เรื่อยไป

บิส โฟกัส : กำลังการผลิต ณ ปัจจุบันของบริษัท

คุณกฤษดา : กำลังการผลิตรวมของกลุ่มวิจิตรภัณฑ์อยู่ที่ 180 ตัน/ชั่วโมง  ส่วนวิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 120 ตัน/ชั่วโมง ในกลุ่มวิจิตรภัณฑ์จะใช้วัตถุดิบสำหรับการผลิตน้ำมันปาลม์ดิบ 180,000 กิโลกรัม/ชั่วโมง ทั้งนี้การมีกำลังการผลิตมากนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ดังนั้นจึงต้องคุยกับทีมงานตลอดเวลา อย่างเช่น ในช่วงเวลาที่วัตถุดิบออกมาน้อยเราจะทำอย่างไรและเตรียมความพร้อมอย่างไร เป็นต้น

Page Visitor

012537863
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
10849
18787
99156
345654
432245
12537863
Your IP: 18.222.113.135
2024-11-22 12:17
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.