May 18, 2024
×

Warning

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_014/sumitomo

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_023/pttep/photo

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_023/jps/photo

×

Notice

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder:

Interview 2014

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ท่าอากาศยานดอนเมือง กับความสำเร็จ 1 ศตวรรษ

ว่าที่เรืออากาศโทจตุรงคพล สดมณี ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสครบรอบ 100 ปี ท่าอากาศยานไทย พร้อมทั้งเปิดแผนการดำเนินการปรับปรุงท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนี้

บิส โฟกัส : การจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสสนามบินดอนเมือง ครบรอบ 100 ปี

ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : ในปีนี้สนามบินดอนเมืองครบรอบ 100 ปี ซึ่งนับว่าเป็นสนามบินที่เก่าแก่ที่สุดของโลกและได้มีการจัดงานครบรอบไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ตลอดทั้งปี 2557 จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ แจกของที่ระลึกให้กับผู้โดยสาร การแสดงดนตรี การเดินขบวนพาเหรดและในช่วงสงกรานต์มีกิจกรรมสรงน้ำพระ การแห่ขบวนกลองยาว เป็นต้น

บิส โฟกัส : แผนการปรับปรุงสนามบินดอนเมือง

ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : เนื่องจากในปี 2554 ที่ผ่านมาสนามบินดอนเมืองประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่และสามารถเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม 2555 หลังจากนั้นสายการบินต่างๆ ก็ได้เริ่มกลับมาใช้ฐานการบินที่สนามบินดอนเมืองมากขึ้น ซึ่งมีผู้โดยสารประมาณ 3 ล้านคน/ปี ส่วนในปี 2556 จำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น 16.4 ล้านคน/ปี

ตนมองว่าอาคารสนามบินดอนเมืองได้ก่อสร้างมานาน บางอาคารก่อสร้างตั้งแต่ปี 2528 บางอาคารก็ก่อสร้างเมื่อปี 2534  และมองว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุง จึงได้เริ่มมีการหางบประมาณเพื่อดำเนินการปรับปรุงและฟื้นฟูสนามบินดอนเมืองโดยพื้นที่ชั้น 1 ที่โดนน้ำท่วมเกือบทุกอาคารยังไม่ได้มีการปรับปรุงและในระยะแรกที่เริ่มเปิดดำเนินการหลังน้ำท่วมเราเปิดดำเนินการเพียงแค่ Terminal 1 North Corridor Pier 2 3 และ 4 ให้บริการผู้โดยสารเท่านั้น

ทั้งนี้ตนได้กำหนดระยะเวลาในการพัฒนาสนามบินไว้ดังนี้ ระยะที่ 1 ในปี 2554-2555 ปรับปรุงและฟื้นฟูสนามบินดอนเมืองหลังจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ระยะที่ 2 ปี 2556-2557 จะดำเนินการปรับปรุง Terminal 2 Pier 5 South Corridor ซึ่งได้เริ่มดำเนินการของบประมาณตั้งแต่ปี 2556 ประมาณ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าการปรับปรุงแล้วกว่า 20% คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2557

ระยะที่ 3 ปี 2557-2559 จะดำเนินการปรับปรุงไฟสนามบิน ทางวิ่งฝั่งตะวันออก ปรับปรุงอาคาร Terminal สำหรับเครื่องบินส่วนตัว ขยาย North Corridor ไปด้านทิศเหนือเพิ่มอีก 4 หลุมจอด ปรับปรุงอาคาร Long Term Parking จากจอดรถ 3 ชั้น เป็น 8 ชั้น ปรับปรุง North Corridor Pier 2 3 และ 4 ปรับปรุง Terminal 1 ก่อสร้างลานจอดรถยนต์ 8 ชั้น บริเวณติดกับ Terminal 1 ปรับปรุงต่อเติม South Corridor ไปเชื่อมกับ Pier 6 เดิม ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังเดิม ปรับปรุงคลังสินค้า 1-4 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 และจะเริ่มดำเนินการหลังระยะที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สำหรับโครงการในอนาคตซึ่งเป็นระยะที่ 4 เมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงแล้วเสร็จในปี 2561 เรามีแผนที่จะสร้าง Terminal 3 ไปเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าของสายสีแดง พื่อให้บริการผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น การปรับปรุงคลังสินค้าด้านทิศใต้ให้เป็น  Airport Office  เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟและเราจะศึกษาหาข้อมูลการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดงฝั่งถนนวิภาวดีรังสิตกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวฝั่งถนนพหลโยธิน เพื่อให้ผู้โดยสารทั้งสองฝั่งถนนเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น

บิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปีนี้

ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : รายได้ของสนามบินดอนเมืองเพิ่มขึ้นมาก มีกำไรตั้งแต่ปี 2556 โดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทและในปี 2557 เราตั้งไว้ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมาและคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอน

บิส โฟกัส : จุดเด่นของสนามบินดอนเมือง

ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : ตนอยากให้สนามบินดอนเมืองเป็น  Fast Airport ซึ่งจะให้บริการด้วยความรวดเร็วที่สุด โดยกำหนดให้ผู้โดยสารภายในประเทศจะต้องขึ้นเครื่องภายใน 30 นาทีและผู้โดยสารระหว่างประเทศ จะต้องขึ้นเครื่องภายใน 1 ชั่วโมง เราตั้งใจไว้ว่าทุกๆ นาทีของเราจะบริการให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นและมีค่าใช้จ่ายถูก เนื่องจากระบบของสนามบินดอนเมืองเป็น Internet Check In รวมทั้งมีแรงจูงใจให้กับทุกสายการบินที่ประจำการอยู่และที่กำลังจะย้ายฐานการบินมาที่นี่ ทั้งการลดราคาให้กับสายการบินใหม่ประมาณ 10-30% เป็นต้น ซึ่งในอนาคตจะมีสายการบินย้ายฐานจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมาที่นี่ด้วย

ปัจจุบันเราดำเนินการติดตั้งระบบอัตโนมัติ Car Park โดยใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด เรายังมี Airport Help ซึ่งเป็นนักศึกษาที่สามารถพูดภาษาจีนได้ เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่ของสนามบินดอนเมืองจะเป็นชาวจีน รวมทั้งจะติดตั้งระบบตรวจอัตโนมัติ (Auto Channel) ตรวจคนเข้าเมืองสำหรับคนไทยแบ่งเป็น ขาเข้า 4 ชุดและขาออก 4 ชุด ในอนาคตเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC แล้วอาจจะใช้ได้กับประเทศกลุ่มสมาชิกแต่ก็จะต้องขึ้นอยู่กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองด้วย นอกจากนี้เราจะมีศูนย์ Airport System Control Centre ซึ่งจะเป็นศูนย์ควบคุมระบบทั้งหมดของสนามบินจากคอมพิวเตอร์ภายในห้องเดียวเพื่อการควบคุมที่สะดวกมากขึ้น

บิส โฟกัส : หลักการบริหารองค์กรและบริหารบุคลากร

ว่าที่ ร.ท.จตุรงคพล : ตนจะใช้หลัก 4 M คือ การบริหารกำลังคน (Man) วัสดุอุปกรณ์ (Materials) งบประมาณ (Money) และการบริหารจัดการ (Management) ซึ่งจุดที่ยากที่สุดก็คือการบริหารคน เพราะในปัจจุบันสนามบินดอนเมืองมีพนักงานกว่า 450 คนและ Out Source อีกประมาณ 800 คน

ตนเริ่มทำงานตั้งแต่ปี 2521 ปัจจุบันมีอายุงานกว่า 36 ปีและดูแลถึง 5 ท่าอากาศยานจากทั้งหมด 6 ท่าอากาศยานของบริษัท ตนพยายามถ่ายทอดการบริหารงานให้กับพนักงานทุกคนให้มีความรู้มากขึ้น โดยทุกๆ เช้าเวลาประมาณ 8 โมง จะมีการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อผิดพลาดและข้อแนะนำ ตนอยากให้ประเทศไทยเจริญเติบโตและผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็วและปลอดภัย เราจะวิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ และจะดำเนินการแก้ไขเพื่อป้องกันอย่างรัดกุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ ขึ้น

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

เบนซ์อมรรัชดากับความสำเร็จกว่า 4 ทศวรรษ

คุณวรรณภา ตั้งบรรยงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบนซ์อมรรัชดา จำกัดให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสาร บิส โฟกัส ในโอกาสดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี แผนการลงทุน แผนการตลาดและทิศทางการดำเนินงาน เป้าหมายการเติบโตในปีนี้ รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้

นิตยสารบิส โฟกัส :  ความสำเร็จของเบนซ์อมรรัชดา

คุณวรรณภา :  บริษัทเริ่มก่อตั้งโดยคุณอมร ตั้งบรรยงค์ ปัจจุบันดำเนินกิจการมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ ซึ่งเริ่มดำเนินธุรกิจโดยการขายรถมือสอง ปัจจุบันสำนักงานตั้งอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษก โดยที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเจริญเติบโตต่อเนื่องและมีสาขาอยู่ที่ชะอำ จ.เพชรบุรี  ซึ่งจะเน้นจำหน่ายรถเบนซ์มือสอง มีการบริการซ่อมหลังการขายตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ 

บริษัทมีธุรกิจในเครืออยู่หลายบริษัท เช่น บริษัท Star Serv เป็นศูนย์ซ่อมรถเบนซ์ราคาประหยัดที่รองรับลูกค้าที่ได้ซื้อรถจากบริษัทเบนซ์อมรรัชดา, บริษัท อมรวิชั่น (บางกอก) จำกัด ดำเนินการเพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ เป็นต้น ด้านจุดเด่นของเบนซ์อมรรัชดาจะเป็นในเรื่องการบริการหลังการขาย รับประกันซ่อมค่าแรงฟรีตลอดระยะอายุการใช้งาน และมั่นใจในการรับประกันอะไหล่ทุกชิ้น 1 เดือนเต็ม และรับประกันอะไหล่สำคัญ 1 ปี  ซึ่งเป็นคุณภาพมาตรฐานที่บริษัทยึดมั่นดำเนินการมาโดยตลอด

นิตยสารบิส โฟกัส : วางแผนการลงทุนในปีนี้และปีหน้าไว้อย่างไร

คุณวรรณภา :  แผนการลงทุนต่อเนื่องจากปี 2555 -2556   ซึ่งเป็นธุรกิจของเครืออมร กรุ๊ป ล่าสุดได้มีการลงทุนก่อสร้างอาคารสำหรับในเครือซึ่งมีชื่อว่าบริษัท อมรเพรสทีจ จำกัด โดยเริ่มดำเนินก่อสร้างเมื่อปลายปี 2555  เป็นอาคารสูง 6 ชั้น โดยเป็นศูนย์ดีลเลอร์รถใหม่  BMW มีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากเบนซ์อมรรัชดาประมาณ 800 เมตรก่อนถึงปั้มปิโตรนาส ใช้งบลงทุนในการก่อสร้างประมาณ 150  ล้านบาท  โดยได้มีการส่งมอบอาคารประมาณเดือนสิงหาคม 2556  และเปิดดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมาและได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าดี

โดยนับเป็นครั้งแรกในการจำหน่ายรถใหม่เพราะตลอดระยะเวลที่ผ่านมาาบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับรถมือสองมาโดยตลอด ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของบริษัทที่จะพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับตลาดรถยนต์ในปัจจุบัน โดยต้องบริหารงานภายใต้นโยบายของเยอรมนีที่เป็นออโตไลน์ดีลเลอร์ของ BMW  ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ในระดับอินเตอร์ว่าดำเนินงานอย่างไรและเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบริษัทที่จะสามารถนำมาพัฒนาในธุรกิจได้

สำหรับวัตถุประสงค์ในการเปิดศูนย์รถยนต์ BMW เนื่องจากมองว่าตลาดรถมือสองในประเทศไทยแนวโน้มค่อนข้างเติบโตได้ยากขึ้น ข้อจำกัดในการทำธุรกิจรถมือสองมีมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทจะต้องหันมาทำธุรกิจด้านรถใหม่ ซึ่งมองว่า BMW เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ในหลายประเทศมียอดขายชนะรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์ และคาดว่าในอนาคตภาพรวมน่าจะเติบโตได้ดี ประกอบกับกลยุทธ์ของบริษัทที่มีชื่อเสียงดีมาโดยตลาดนั้นคือการบริการหลังการขายที่จะส่งผลให้การทำตลาดในเรื่องรถใหม่เติบโตได้ดีในอนาคต

ส่วนแผนการลงทุนของเบนซ์อมรรัชดาในปี 2557 ยังไม่มีแผนเปิดธุรกิจใหม่ แต่จะมีในเรื่องการตั้งงบลงทุนในด้านการทำโปรโมชั่นและประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังต้องดูสถานการณ์ในการปรับกลยุทธ์เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันอีกด้วย โดยแนวโน้มในเรื่องราคาคาดว่าน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถ เนื่องจากผู้บริโภคที่จะซื้อสินค้าได้ในปัจจุบันอย่างน้อยต้องมองแล้วว่าจะต้องคุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายไปซึ่งค่ายรถก็จะเหนื่อย ดังนั้นจึงต้องมีการทำโปรโมชั่นตลอดปี

นิตยสารบิส โฟกัส : วางแผนการตลาดไว้อย่างไร

คุณวรรณภา : งบประมาณในด้านการตลาดจะตั้งไว้ที่ 10% จากยอดขายซึ่งเป็นกำไรจากการขาย โดยในแต่ละปีก็จะใช้งบอยู่ที่ประมาณ 5-10 ล้านบาท/ปี แต่ในปีนี้ยังไม่ได้ตั้งไว้เนื่องจากได้รับผลกระทบดังที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น ด้านการวางแผนการตลาดจะเน้นการทำโปรโมชั่นตลอดปีเพื่อกระตุ้นการซื้อของลูกค้าให้มากขึ้น

นิตยสารบิส โฟกัส : กลุ่มลูกค้าของบริษัทเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหน

คุณวรรณภา :  สำหรับกลุ่มลุกค้าของเบนซ์อมรจะมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้วเนื่องจากเปิดดำเนินการมานานและจะพยายามจะรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้คงอยู่ ซึ่งลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป โดยจะเริ่มมีฐานะมั่นคงแล้วและจะเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของเบนซ์อมรรัชดาซึ่งจะแตกต่างจาก BMW โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 28 - 40 ปี

นิตยสารบิส โฟกัส : ตั้งเป้าผลประกอบการในปีนี้และปีหน้าไว้อย่างไร

คุณวรรณภา :  สำหรับเป้ายอดขายในปี 2556  ตั้งยอดขายไว้  240  คัน โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 20 คัน  จากเดิมเคยตั้งเป้าไว้เดือนละ 30  คัน  คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการตั้งราคาของรถใหม่ที่มีผลกระทบต่อรถมือสอง  ด้านแนวโน้มการเติบโตในปี 2557  หากไม่มีสถานการณ์ใดๆ มากระทบ คาดว่าจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1 และ 2

 

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive


Sumitomo Mitsui revealed the progress of project “Chao Phraya River Crossing Bridge”

Sumitomo Mitsui revealed the 60% progress of Chao Phraya River Crossing Bridge at Nonthaburi 1 in which the company is confident to deliver the project to the Department of Rural Roads in time. The project is featured as the first large bridge in Thailand that has been constructed using concrete and cable strength together.

               Mr. Kavee Kingkate, Project Coordinator of Sumitomo Mitsui Construction Co., Ltd (SMC) revealed that ITD-SMCC Joint Venture, comprising of Italian-Thai Development Public Company Limited and Sumitomo Mitsui Construction Company Limited, is proceeding with Chao Phraya River Crossing Bridge at Nonthaburi 1 road construction project, worth 3,796 million baht. The project owner is Department of Rural Roads, Ministry of Transport.

            Sumitomo Mitsui Construction Co., Ltd. proceeds the construction of the extradosed 6-lane Chao Phraya River Crossing Bridge with a 460 m span length and a 200 m main span, worth 860 million baht. The rest is preceded by Italian-Thai Development Public Company Limited.

Highlights of the bridge are that it is the widest in Thailand with extradosed 6-lane and Thailand’s first bridge with the use of concrete and cable supporting together. Due to its high cost, the cable is used to partially support the bridge which can save the project owner’s budget a lot while maintaining the durable weight support as well. The thickness of the girder is reduced compared to the other bridges, such as Phra Nangklao Bridge, because the cable helps supporting the weight. The total 96 cables are divided into the left and right equally, 48 cables each.

Construction began on May 2, 2012 is currently progressed by 61%. The foundation and pylons with 58 meters sea level height have been completed. The remaining is the bridge ground (excluding the poles). It is expected to deliver to the Department of Rural Roads in time by early December this year.

“The remaining 39% is complex structure that would take longer than foundation because the new innovation is used for the first time in Thailand. The workers may not be familiar and will take some time for adaptation. However, we have well set the work system for each step of execution with the closely monitoring by the expert engineers and team”.

 “The operation at present is faster than the plan by 2%. We are confident that it will be delivered to the project owner in time, meeting the safety requirements and can be opened for actual drives. The time to official opening will be set by the Department of Rural Roads” said Mr. Kavee.

The issue mostly encountered in the project implementation is a labor shortage. However, the company solved it by hiring sub-contractors to supply the labor to meet the demand. The construction workers are mainly Thai at over 50% and the rest are foreign workers (Philippines and Cambodia). The weather conditions cause a little affect on structure works.

 “When completed, the bridge is expected to largely benefits the public by well relieving the traffic from Phra Nangklao Bridge and Rama 5 Bridge. The overall traffic will be better drastically and the public will have more alternative” said Mr. Kavee.

Mr. Kavee added the highlights of Sumitomo Mitsui Construction Co., Ltd. that its parent company in Japan is an expert in the construction of pre-stressed concrete bridges which is the number one in Japan experiencing over 1,000 bridge construction projects. The company team has been experienced and highly expertise in construction of concrete bridge overhanging the river in which the company is the first one in Japan and has brought this innovation to Thailand.

The project portfolio in Thailand includes Phra Pinklao Bridge, Phra Pokklao Bridge, Rama 7 Bridge, Rama 5 Bridge, original Phra Nangklao Bridge, Pathum Thani Bridge, and the latest is this project. The company also invented and is the first company in Thailand that constructs the concrete bridge overhanging to the river.

In addition, the company guarantees its works for 2 years. If there are any damages to project caused by the construction by the company during the warrantee period, the company will fix them with free of charge. However, the company has not received any complaints to fix the major cases, such as bridge. Throughout the past operation, there were only minor cases only.

In the construction, the company will follow the format and requirements of the clients with the closely monitoring by engineers to complete the work as scheduled and to resolve the issues in a timely manner. In addition, the project owner can verify the works at any time.

Chao Phraya River Crossing Bridge at Nonthaburi 1 road and connecting roads have a total length of approximately 4.3 kilometers with 6 lanes. The bridge has been constructed to 1 kilometers length. The project consists of 6 parts of construction: (1) a 6-lane bridge crossing Chao Phraya River with its slopes; (2) 2 at-grade roads to an interchange at Petchaburi road and Ratcha Phruek Road; (3) bridge over intersections on Nonthaburi bypass; (4) 6-lane ground level road; (5) other works such as the lighting system, drainage system, and utilities system; (6) utilities works of the Metropolitan Waterworks Authority and TOT.   

The project consists of bridge and connecting road at ground level starting at Nonthaburi 1 Road, close to Sri Boonyanon School. The beginning is on the south of Piboon Songkram Pier 4 and Talad Kwan community turning to the southwest and crossing Chao Phraya River to the west at the south of Aom Non Canel.

The path is in the area between Shrine of the City Pillar and Chalerm Kanjanapisek Park. Then, the path turns to the west cutting through Wat Don Prom – Nonthaburi pier at km 1+300 and parallel to Wat Bot Don Prom – Nonthaburi pier at km 2+600. The project ends at bridge crossing Rachaphruk road.

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_014/sumitomo{/gallery}

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

บางจากควักกระเป๋ากว่า 1.2 หมื่นลบ.ปรับโฉม-รุกธุรกิจทั้งในและต่างประเทศดันรายได้เพิ่ม

บางจากปิโตรเลียมเปิดแผนการลงทุนปี 2557 ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 12,000 ลบ. เพิ่มศักยภาพการผลิตของโรงกลั่นฯ และขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน พร้อมขยายธุรกิจพลังงานทดแทนและลงทุนในธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง

คุณวิเชียร  อุษณาโชติ  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2557 ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตของโรงกลั่นฯ และขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน รวมทั้งขยายธุรกิจพลังงานทดแทนและลงทุนในธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 12,000 ล้านบาท  

โดยบริษัทมีแผนขยายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีหลายโครงการในประเทศญี่ปุ่นเสนอให้บริษัทเข้าไปลงทุน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 30-50 เมกะวัตต์และอยู่ระหว่างการพิจารณาและเข้าตรวจสอบกิจการ (Due Diligence)  คาดว่าจะได้ข้อสรุปประมาณกลางปีนี้

สำหรับในปีนี้ธุรกิจโรงกลั่นฯ จะมีการกลั่นเฉลี่ย 90,000 – 94,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากมีแผนหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 15 มิถุนายนนี้ ขณะที่ประเมินค่าการกลั่นอยู่ที่เฉลี่ย 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและมีแผนลงทุนในโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพ พลังงาน  และสิ่งแวดล้อม (3E : Efficiency  Energy and Environment Improvement Project) วงเงิน 7,000 ล้านบาท

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของโรงกลั่นฯ ซึ่งผ่านการอนุมัติการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA : Environmental Impact Assessment) เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4  ปี ทำให้มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาทต่อปี

คุณวิเชียรกล่าวต่อว่าในส่วนของธุรกิจค้าปลีกมีแผนจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ 260  ล้านลิตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีก่อนหน้า โดยในปีนี้จะขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 70 แห่ง รวมเป็น 1,130 แห่งทั่วประเทศและพัฒนาสถานีบริการน้ำมันรูปแบบใหม่ให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย และสวยงาม (Rebranding) ประมาณ 100 แห่ง ใช้เงินลงทุนรวม 1,200 ล้านบาท ขยายสถานีบริการ E85 เพิ่มเป็น 150 แห่งและสถานีบริการ E20 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทนของภาครัฐ  รวมทั้งตั้งเป้าจะขยายร้านสะดวกซื้อบิ๊กซีมินิในสถานีบริการน้ำมันบางจากภูมิภาคต่างๆ เพิ่มเป็น 150 แห่งและเพิ่มร้านกาแฟอินทนิลเป็น 400 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ พร้อมจับมือพันธมิตรธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียง เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่และเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-oil

ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพไบโอดีเซลและลงทุนผลิตเอทานอลเพิ่ม โดยโรงงานผลิตไบโอดีเซล B100  ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 450,000 ลิตรต่อวัน ทำให้มีกำลังการผลิตรวม 810,000 ลิตรต่อวัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาผู้รับเหมาก่อสร้าง คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2558 ส่วนธุรกิจผลิตเอทานอลอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเพิ่ม โดยอาจจะสร้างโรงงานขึ้นใหม่หรือเข้าร่วมทุนกับโรงงานที่มีอยู่เดิมเพื่อรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น

คุณวิเชียรกล่าวต่อว่าขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ เฟส 3 ทั้ง 5 แห่งคือที่อำเภอประโคนชัยและอำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิและอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กำลังการผลิตจำหน่ายรวม 48 เมกะวัตต์ จะเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป ทำให้ปี 2557 มี EBITDA เพิ่มขึ้นกว่า 700 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อรวมกับเฟส 1 และเฟส 2  จะมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 118 เมกะวัตต์ และมี EBITDA เพิ่มขึ้นในปีนี้รวมทั้งสิ้นเป็น 2,200 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยชดเชยรายได้จากปริมาณกลั่นที่ลดลงของธุรกิจโรงกลั่นฯ

ส่วนความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2557 จากการคาดการณ์ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) จะอยู่ที่ระดับ 92.60 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มจากปี 2556 ที่ระดับ 91.29 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจของประเทศเอเชียที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 100-105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ซีฟโก้โชว์ Backlog 1,600 ลบ.

ซีฟโก้ ผู้นำในวงการการก่อสร้างฐานรากเสาเข็มลั่นปี 57 มุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวทางที่วางไว้ อวด Backlog ปีที่ผ่านมา 1,300 ล้านบาท ส่วนปีนี้มีอยู่ในมือ 1,600 ล้านบาท ฟันกำไรปีก่อนกว่า 130 ล้านบาท เตรียมจัดงานครบรอบ 4 ทศวรรษอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนธันวาคม

คุณณรงค์ ทัศนนิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าธุรกิจหลักของบริษัทคืองานวางเสาเข็มและมีตลาดอยู่ในวงเฉพาะ อาทิ อาคารสูงที่มีน้ำหนักมากๆ โครงขนาดใหญ่ (ทางด่วน รถไฟฟ้า อาคารสำนักงานของราชการ คอนโดมิเนียม ศูนย์การค้า โรงแรม) เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทไม่สามารถสร้างงานเองได้แต่จะต้องทำร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ดังนั้นการดำเนินงานในปีนี้จึงอยู่ในทิศทางปกติตามที่เคยได้ดำเนินการตลอดมา

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าบริษัทจะสร้างงานเองไม่ได้ แต่เมื่อโครงสร้างงานใหม่ๆ เกิดขึ้นมาตามภาวะเศรษฐกิจที่มีความต้องการงานจึงทำให้บริษัทได้รับงานจากโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งไม่เคยไม่มีงานและเมื่อมีโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่าจะเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปร่วมงาน

“กว่า 30  ปีที่ผ่านมา เรามีงานเข้ามาตลอดและทำแทบไม่ทัน ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น โดยในปีที่ผ่านมา เรามี Backlog 1,300 ล้านบาทและในปีนี้เรามี Backlog 1,600 ล้านบาท ซึ่ง 60% จะมาจากงานโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ ทางด่วนศรีรัช รถไฟฟ้าสายสีเขียว ไบเทคเฟส 2 เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีก 40% จะเป็นงานจากงานภาคเอกชน เช่น คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

 เมื่อเรารับงานมาและส่งมอบให้แก่เจ้าของโครงการแล้วจะทำให้ Backlog ลดลง ดังนั้นในปีนี้เราจะต้องรับงานเพิ่มอีกเพื่อให้มูลค่า Backlog อยู่ในระดับกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าปริมาณงานที่ได้รับและส่งออกจะสัมพันธ์กันหรือไม่นั้นเพราะจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการสร้างโปรเจคใหม่ๆ ของทั้งทางภาครัฐและเอกชน” คุณณรงค์กล่าว

สำหรับงานใหม่ในปีนี้จะเป็นงานภายในประเทศทั้งหมดและจากภาคเอกชน 100% ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการประมูลงานหลายโครงการ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท แต่คาดว่าจะได้รับงาน 50% หรือมูลค่า 400-500 ล้านบาท โดยในเดือนมีนาคมนี้จะได้ข้อสรุปและทยอยรับรู้งานที่จะต้องดำเนินการ ส่วนงานใหม่ในต่างประเทศ ขณะนี้มีงานที่ประเทศเมียนมาร์เพียงแห่งเดียวซึ่งเป็นงานของภาคเอกชนเช่นกัน โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการตอกเสาเข็มของโครงการคอนโดมิเนียม นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานประมูลที่ประเทศเมียนมาร์อีก 2 โครงการซึ่งจะเป็นงานเสาเข็มอาคารสูง คอนโดมิเนียม โรงแรม คาดว่าจะสรุปผลได้ภายใน 1-2 เดือนนับจากนี้

“งานที่เราไปทำที่เมียนมาร์จะเป็นงานของเอกชนและเป็นโปรเจคที่ 2 ที่เราไปทำต่างประเทศต่อจากสิงคโปร์ ซึ่งเราจะเข้าไปทำร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อความสะดวกในการทำงาน เช่น การหาแรงงานในท้องที่ การซื้ออุปกรณ์ การติดต่อราชการ เป็นต้น แต่ลูกค้าของเราจะเป็นคนไทยเพียงแต่เราต้องไปทำงานที่เมียนมาร์เท่านั้นเอง ดังนั้นการสรุปข้อตกลงจึงค่อนข้างนานกว่าการรับงานในเมืองไทยและต้องชัดเจน เพราะว่าเราต้องขนสินค้าไปดำเนินการที่นั้น

ส่วนประเทศอื่นๆ ในปีนี้ เรายังไม่ได้มองไว้ เนื่องจากงานในประเทศก็ล้นมือแล้ว แต่ในอนาคตหากมีแผนที่จะรับงานต่างประเทศก็อยู่ในแถบอาเซียนที่ใกล้ตัวเราและจะพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนเป็นหลัก ประกอบกับในปัจจุบันงานในประเทศยังมีอีกมากมายซึ่งจะเห็นได้จากการที่มีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามารับงานในบ้านเราเป็นจำนวนมาก” คุณณรงค์กล่าว

ด้านเป้าผลประกอบในปี 2556 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,307 ล้านบาท มีผลกำไร 139.27 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ บริษัทคาดว่าตัวเลขผลประกอบการจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาและจะไม่แตกต่างกันมากนักเพราะดำเนินธุรกิจในแนวทางเดียวกัน ประกอบมี Backlog ไม่ทิ้งห่างกัน สำหรับอัตราการเจริญเติบโตของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 10-20% ทุกๆ ปี

คุณณรงค์กล่าวต่อว่าในปีนี้บริษัทครบรอบ 40 ปีในการดำเนินธุรกิจและมีแผนจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบในวันที่ 19 ธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยจะจัดงานสัมมนาเชิงวิชาการเพราะบริษัทเป็นบริษัทที่ก่อสร้างเชิงวิชาการด้านงานฐานราก งานใต้ดิน งานเสาเข็ม ซึ่งจะมีการเชิญนักวิชาการระดับโลกประมาณ 2-3 ท่านเพื่อมาบรรยายพิเศษและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างกันเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่าความรู้ความสามารถของบริษัททัดเทียมระดับโลก เนื่องจากในอดีตที่บริษัทเริ่มทำธุรกิจก็ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก (อังกฤษ ฝรั่งเศส) และที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจัดสัมมนาเชิงวิชาการและเดินทางไปสัมมนาต่างประเทศบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะสร้างคนทำงานรุ่นใหม่ด้วยการให้ทุนการศึกษาแก่พนักงานในองค์กรเท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างจากที่ผ่านมาที่ให้ทุนการศึกษาแก่บุคคลทั่วไป สำหรับพนักงานในองค์กรที่จะได้รับทุนจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตรครูสมาธิเป็นเวลา 6 เดือน 96  ชั่วโมงซึ่งเป็นหลักสูตรของพระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) และเป็นที่ยอมรับทั่วไปในระดับสากล เพื่อให้คนที่เรียนมีจิตแข็งแกร่ง มีพลัง มีความคิดในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น มีความรับผิดชอบ สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ทั้งนี้นอกจากจะส่งผลดีต่อพนักงานโดยตรงแล้วยังส่งดีและช่วยยกระดับองค์กรอีกด้วย เนื่องจากจะทำให้ไม่มีปัญหาลักขโมยและปัญหายาเสพติด
สำหรับหลักสูตรนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม CSR ของบริษัทในทางจิตภาพ ซึ่งที่ที่ผ่านมาจะเน้นให้ในเชิงกายภาพ เช่นการบริจาคสิ่งของต่างๆ การให้ทุนการศึกษาและอื่นๆ อีกมากมาย แต่บริษัทยังไม่ได้คืนกำไรให้แก่สังคมในเชิงจิตภาพมาก่อน โดยบริษัทได้เปิดศูนย์สมาธิซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิศ เปิดสอนทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.00-20.30 น.และในแต่ละวันจะมีคนมาเรียนประมาณ 40-50 คน/วัน ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี พนักงานของบริษัทจะเรียนจบหลักสูตรนี้สูงถึง 80%

“ตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจและได้มาถึงปีที่ 40 ในปีนี้ ตนถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะเราเริ่มต้นธุรกิจจากคนๆ เดียว มีพนักงาน 5 คน ซึ่งทำงานด้วยความอุตสาหะและเหนื่อยยาก ทำงานด้วยมือเปล่า ณ เวลานี้ ตนรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เริ่มจากศูนย์และเติบโตเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” คุณณรงค์กล่าว

ส่วนจุดเด่นของบริษัทที่ลูกค้าไว้วางใจใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การดำเนินธุรกิจมายาวนานถึง 4 ทศวรรษ 2.บริษัทมีความรู้ความชำนาญในธุรกิจที่ดำเนินการเป็นอย่างมาก โดยมีผลงานที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมากมายและมากกว่าผู้ประกอบการรายๆ อื่น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ประมาณ 50% ล้วนแต่เป็นผลงานของบริษัท 3.ราคายุติธรรม 4. การบริการที่ดีและการดำเนินงานเสร็จทันตามกำหนดระยะเวลา ไม่ล่าช้า

คุณณรงค์กล่าวต่อถึงหลักการบริหารองค์กรว่าประกอบด้วย 1.การติดตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน 2.การรู้เขารู้เรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง 3.การเห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่เอาเปรียบผู้อื่นและยอมเสียเปรียบบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะกับลูกน้อง ซึ่งจะทำให้ทำงานกับเรายาวนาน รวมทั้งคู่ค้าที่อยากจะทำธุรกิจค้าขายกับบริษัทเป็นเวลายาวนานเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามหากเราทำธุรกิจกับใครแล้วเอาเปรียบ จะทำให้ไม่มีใครอยากทำงานและค้าขายกับเรา ทั้งนี้เมื่อเรายอมเสียเปรียบบ้างเล็กน้อย เมื่อเราไปทำธุรกิจร่วมกับใครก็สบายใจ มีแต่เพื่อนและจะทำให้คนที่อยู่ร่วมกับเราสบายใจ  4.การซื่อสัตย์  5.การรักษาคำมั่นสัญญา

“การรักษาคำมั่นสัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจ สมัยก่อนเราเริ่มต้นจากธุรกิจที่ไม่มีอะไรเลย มีแต่คำมั่นสัญญาว่าการทำงานจะต้องเสร็จ ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องเสร็จจริงๆ หากเราทำงานไม่เสร็จก็ต้องยอมให้ลูกค้าปรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หัวใจในการดำเนินธุรกิจของเราคือ ซื่อสัตย์ ผลงานคุณภาพ การตรงต่อเวลา ซึ่งทำให้ยืนอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เราภาคภูมิในผลงานทุกผลงานไม่ว่าจะเป็นงานขนาดเล็กหรือใหญ่ แต่งานธุรกิจเข็มเจาะอาคารขนาดใหญ่ เรานับเป็นเจ้ารายแรกที่ทำในประเทศไทยและเป็นความภาคภูมิใจมากที่สุด” คุณณรงค์กล่าว

ส่วนภาพรวมธุรกิจในปี 2557 คาดว่าในส่วนของภาคเอกชนอาจจะมีการชะลอการลงทุน เพราะมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน การกู้เงินจากธนาคารจะยากมากยิ่งขึ้น ค่าเงินบาทมีความผันผวน ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย อาทิ เหล็ก อุปกรณ์อาคารต่างๆ เป็นต้น และแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับงานของภาครัฐคาดว่าจะลดลงเช่นกัน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทแต่อย่างใด เพราะมี backlog รองรับเพียงพอตามที่ได้กล่าวไปแล้วเบื้องต้น

ด้านปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทได้แก่ปัญหาแรงงาน โดยปัจจุบันใช้แรงงานกัมพูชาสูงถึง 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% จะเป็นแรงงานไทย เนื่องจากในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมทำอาชีพรับจ้างและเป็นปัญหาระดับประเทศ ซึ่งจะสังเกตุได้จากการที่มีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากเข้ามาทำงานในประเทศไทย เช่น เมียนมาร์ กัมพูชา เป็นต้น และในอนาคตเมื่อแรงงานเหล่านั้นกลับประเทศ จะส่งผลให้เกิดวิกฤตแรงงานในประเทศไทยอย่างแน่นอน

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

รพ.สมิติเวช ศรีราชา อัดงบ 800 ล้านบาท เนรมิตอาคารผู้ป่วย-อาคารจอดรถ

รพ.สมิติเวช ศรีราชา ทุ่มงบประมาณ 800 ลบ. ก่อสร้างอาคารผู้ป่วย 12 ชั้นและอาคารจอดรถ 8 ชั้น  เล็งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการพฤษภาคม 2557 ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้ไว้ที่ 1,800 ลบ.

นายแพทย์นพดล  นพคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เปิดเผยรายละเอียด เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยและอาคารจอดรถใหม่ว่าเริ่มดำเนินการตอกเสาเข็มประมาณเดือนมิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งใช้งบประมาณรวมทั้ง 2  อาคารประมาณ 800 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอัตราเพิ่มมากขึ้นทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกดังนั้นโรงพยาบาลจึงต้องมีการขยายพื้นที่เพื่อรองรับการให้บริการแบบครบวงจร

สำหรับอาคารผู้ป่วยหลังใหม่จะเป็นอาคาร D สูง 12 ชั้น มีพื้นที่ทั้งหมด  24,000  ตร.ม.ใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 500  ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารผู้ป่วยนอก 4  ชั้นและผู้ป่วยใน 8 ชั้น  โดยมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 70% คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในส่วนของ OPD ชั้น 1 ได้ปลายเดือนมีนาคม–ต้นเดือนเมษายน 2557 นี้  ส่วน OPD ชั้น 2, 5, 6  คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนพฤษภาคม 2557

“อาคารหลังใหม่จะทยอยเปิดเพื่อให้บริการ โดยจะเปิดให้บริการในส่วนของ OPD ผู้ป่วยนอก  2  ชั้นและผู้ป่วยใน 2 ชั้นก่อน หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ เปิดให้บริการเพิ่มในชั้นต่างๆ  ซึ่งชั้นที่ 1 เป็นศูนย์อายุรกรรม  ชั้นที่ 2  เป็นศูนย์สูตินารี (แม่และเด็ก)  ชั้น 3 เป็นศูนย์ศัลยกรรม (ห้องผ่าตัดใหม่) อาทิ ห้องส่องกล้องในการผ่าตัดที่ทันสมัย  ห้องสวนหัวใจขยายหลอดเลือด  ห้องผ่าตัดหัวใจ  เป็นต้น

 ชั้น 4  เป็นศูนย์โรคหัวใจที่ไม่ใช่การผ่าตัดและเป็นศูนย์ทันตกรรมที่ทันสมัย โดยในอนาคตอาจมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งเบื้องต้นวางแผนไว้คร่าวๆ ดังที่กล่าวมาก่อนและแผนในอนาคตจะพัฒนาให้ชั้น 12 เป็นโรงพยาบาลสำหรับคนญี่ปุ่นของภาคตะวันออก โดยจะมีการบริการทั้งทางการแพทย์และความสะดวกด้านอื่นๆ อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน อาทิ ร้านอาหาร เป็นต้น  คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณต้นปี 2558”  นายแพทย์นพดลกล่าว

นายแพทย์นพดลกล่าวต่อถึงการก่อสร้างอาคารจอดรถว่าจะเป็นอาคารสูง 8  ชั้น  ใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 200  ล้านบาท โดยมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 95%  เพื่อรองรับรถของผู้ป่วยและญาติที่มาใช้บริการกับโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ที่มาใช้บริการจะเป็นลูกค้าระดับพรีเมี่ยม โดยสามารถรับรถได้ประมาณ 520 คัน นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีพื้นที่เหลือบริเวณด้านล่างที่สามารถรองรับรถได้เพิ่มอีก ทั้งนี้เมื่อรวมพื้นที่ทั้งหมดจะทำให้รองรับรถได้ประมาณ 900–1,000 คัน

ด้านผลประกอบการในปี 2556  ที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 1,580  ล้านบาทหรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10.5%   ส่วนเป้าผลประกอบการในปี 2557 ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 14.4%  หรือ 1,800 ล้านบาท  โดยคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เนื่องจากอาคารใหม่เสร็จเรียบร้อยและสามารถเข้าใช้บริการได้และในปี 2558   โดยตั้งเป้าผลประกอบไว้ที่ 2,000  ล้านบาท

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

PTT Nets 3 Top Awards.

PTT received three quality awards from Alpha Southeast Asia Magazine which reaffirmed PTT as a Thai Premier Multinational Energy Company marked by excellence in investor relations management and world-class professionalism. The company targets additional investment of 5.5 billion baht this year.

Mr. Wirat Uanarumit, PTT PLC. Chief Financial Officer, revealed that the company has received awards from Alpha Southeast Asia Magazine, a leading journal of institutional investment, banking, and capital markets of Southeast Asia, in three aspects which include Most Organized Investor Relations, Most Consistent Dividend Policy, and Best Annual Report in Thailand.  The awards reaffirmed PTT as a Thai Premier Multinational Energy Company marked by excellence in investor relations management and world-class professionalism.

By such a success comes from PTT focusing on stakeholders in all sectors, such as shareholders, bondholders, employees and society, as well as focusing on the public about the energy stability and utilization efficiency in the future in order to provide the competitive price of petroleum products with the best value for money. The company also highly focuses on in providing transparent news and information to investors based on the fact.

Mr. Wirat said the performance of PTT in 2013 was approximately 95 billion baht and the performance in 2014 which was announced in Q2 was approximately 587 billion baht. The investment in 2014 is targeted at 55 billion baht. The investment plan for the entire group is nearly 200 billion baht. The five-year investment plan (Year 2014-2018) is targeted at 300 billion baht and the entire group investment at 900 billion baht, mostly invested in PTT and PTTEP.

PTT’s major investment plans consist of :

     1. Natural gas – to increase imports of LNG gas in which the first phase is carried out. The plant is located in Map Ta Phut, Rayong Province, with Capacity on gas imports LNG about 5 million tons / year with an investment of about 30,000 million baht. However, due to the demand for gas in Thailand has increased every year which is expected to have an annual average increase of approximately 4.7 percent in the next five years (Year 2014-2018), the current import capacity may be insufficient.

     2. PTT thus invests in phase 2 to serve the growing needs in the future by expanding Capacity LNG Import Terminal to be able to import gas of additional 5 million tons/year, which is estimated investment of over 20 billion baht and expected to be completed in 2017. After phase 2 completed, the total import capacity by 2 phases will be 10 million tons/year.

     3. Improvement of onshore pipes – PTT has the natural gas pipe network mainly in Thailand from Central through North and Northeast to deliver gas mainly to power plants. Currently, the pipe line 4 is under construction with 30 billion baht investment, expected to be completed by late 2015.

     4. Investment in oil business – PTT possesses 1,386 gas stations across Thailand and top market share. It plans to expand and renovate the stations to be larger and have community malls in stations to provide full range of convenience for customers. It will also expand the gas stations to neighboring countries such as Laos, Myanmar and Cambodia with investment of approximately one billion baht per year.

     5. Investment in LPG Import Facility to support increased imports of LPG gas – Due to low prices compared to world prices, the supply of LPG is insufficient to meet demand in Thailand which is heavily growing. PTT plans to invest in the expansion LPG Import Terminals for approximately 30 billion baht. Currently, it imports LPG from abroad about 1.8 – 1.9 million tons/year.

Mr. Wirat said the opening of the ASEAN Economic Community (AEC) in 2015 will be opportunities for Thailand and PTT in investments and more growth. AEC has a total of 10 countries which will have the fastest economic growth in the world in the next 10-20 years because it is a new emerging economy. Thailand is in the best strategic location that can connect with many countries, resulted in the opportunities for economic growth of Thailand is very high in the future.

“We hope that PTT will have a growth rate similar to the growth of the country. PTT will move forward steadily and be the national oil company of Thai aiming for benefits and prosperities to Thai people. We want Thai people to proud of PTT. PTT will do everything possible to meet all needs of people for the maximum benefits in energy” – Said Mr. Wirat.

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ปตท.สผ. ปรับแผนลงทุนปี 58

ปตท.สผ. เดินแผนรับมือราคาน้ำมันผันผวน เล็งชะลอโครงการใหม่ที่มีความเสี่ยงสูงบวกมุ่งลดต้นทุนเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ประกาศความมั่นใจพร้อมบุกต่างประเทศเต็มร้อยหนุนเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

คุณสมพร ว่องวุฒิพรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานโครงการต่างประเทศ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานว่าจะมุ่งเน้นตามวิสัยทัศน์ขององค์กรคือเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมชั้นนำในเอเชียที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและหัวใจสีเขียว และมีเป้าหมายใน 3 มิติ ประกอบด้วย Big, Long, Strong

โดยในส่วนของ Big บริษัทมีเป้าหมาย จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 600,000 บาร์เรลในปี 2563  จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตประมาณ  350,000  บาร์เรล ณ ไตรมาสที่ 3  ส่วน Longตั้งเป้าในการรักษาอายุสำรองปิโตรเลียมให้ได้ 10 ปี ด้าน Strong จะมองในเรื่องของผลตอบแทนที่สามารถแข่งขันได้กับบริษัทน้ำมันรายอื่นๆ 

“ในด้านการเติบโต เราจะมองสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ถ้าเป็นธุรกิจเดิมในประเทศ เราจะไม่แตะ ส่วนธุรกิจใหม่ๆ ที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา เราก็อยากจะพัฒนาให้ได้ตามแผน ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตและสอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้ตามแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี” คุณสมพรกล่าว

สำหรับในปี 2558 บริษัทได้มีการปรับแผนการลงทุนใหม่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการสำรวจใหม่ๆ หรือโครงการที่มีสัมปทานอยู่แล้วที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงสูง อาจต้องมีการชะลอหรือพิจารณาทบทวนให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้นเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนและได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม อาทิ โครงการในทะเลน้ำลึก, โครงการออยล์ แซนด์ ในแคนาดา, แหล่งก๊าซในออสเตรเลีย เป็นต้น ส่วนโครงการที่ได้ลงทุนและผลิตแล้ว ซึ่งมีมาร์จิ้นเพียงพอและถึงแม้ว่าจะมีกำไรลด บริษัทจะยังคงไว้เช่นเดิม 

ด้านการดำเนินงานทั่วไป บริษัทจะมุ่งไปที่เรื่องการลดต้นทุนหรือ  Cost Cutting  โดยจะปลูกฝังให้อยู่ในการทำงานและพัฒนาเป็นวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งได้มีการจัดตั้ง Cost Efficiency Committee และมีตัวแทนจากทุกหน่วยงานเพื่อร่วมระดมความคิดในการหากระบวนการในการลดต้นทุนทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ทั้งนี้ หากบริษัทสามารถทำให้ต้นทุนมีประสิทธิภาพในราคาที่แข่งขันได้ จะทำให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม นโยบายการลดต้นทุนจะต้องพิจารณาดำเนินการให้มีความเหมาะสมทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและมาตรฐานในการดำเนินงาน

นอกเหนือจากโครงการต่างๆ ของบริษัทที่อยู่ระหว่างการสำรวจหรือสำรวจใหม่แล้ว ในปีหน้าบริษัทอาจพิจารณาซื้อโครงการใหม่ในราคาที่เหมาะสมภายใต้การพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุน โดยจะโฟกัสโครงการที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทมีความคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์มากกว่าถ้าจะไปลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ หรืออาจเป็นเฟสของโครงการที่ผลิตแล้ว ซึ่งจะสามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนได้ทันที

 

คุณสมพรกล่าวต่อว่าปัจจุบัน บริษัทมีโครงการสำรวจ พัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยและต่างประเทศ รวม 45 โครงการใน 11 ประเทศ สำหรับการลงทุนในต่างประเทศที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดคือโครงการในประเทศเมียนมาร์ เพราะเป็นฐานการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากประเทศไทยซึ่งได้ดำเนินการมายาวนานถึง 25 ปีแล้ว โดยในปีนี้บริษัทมีการผลิตแล้ว 3 โครงการ  ประกอบด้วย โครงการยาดานา, โครงการเยตากุน และโครงการซอติก้า ซึ่งในปีนี้ โครงการซอติก้าได้เริ่มการผลิตก๊าซส่งให้ประเทศเมียนมาร์ จำนวน 60 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และส่งให้ประเทศไทย 240 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน

อีกทั้ง บริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการสำรวจอีกหลายแปลงในประเทศเมียนมาร์ ขณะนี้มีบางแปลงที่ค้นพบปิโตรเลียมแล้ว คือ แปลงเอ็ม 3 ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการประเมินผลเพิ่มเติมตามแผนงาน โดยได้เริ่มดำเนินการเจาะหลุมประมาณ 4-6 หลุม เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการหาแนวทางพัฒนาและหาราคาก๊าซที่เหมาะสม ทั้งนี้ หากทุกอย่างลงตัว บริษัทอาจพิจารณาตัดสินใจลงทุนพัฒนาร่วมกับพาร์ทเนอร์ต่อไป  สำหรับโครงการนี้จะสามารถสนับสนุนการใช้ก๊าซของพม่าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นแหล่งที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งใกล้เมืองย่างกุ้ง

นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทจะเริ่มการผลิตน้ำมันดิบในประเทศแอลจีเรีย ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทร่วมทุนกับเวียดนาม และบริษัทน้ำมันแห่งชาติของแอลจีเรีย โดยบริษัทถือสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 35 คาดว่าจะเริ่มผลิตก๊าซได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ของปีหน้า กำลังการผลิต 20,000 บาร์เรล/วัน

รวมทั้งอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจในสาธารณรัฐโมซัมบิก ถึงแม้ว่าจะมีสัดส่วนการร่วมทุนไม่มากนัก ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.5 แต่เป็นโครงการที่มีปริมาณก๊าซสูงมาก โดยบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) พิจารณาที่จะนำก๊าซเหลวธรรมชาติหรือ LNG มาใช้ประโยชน์ในประเทศไทย คาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนของโครงการได้ในปีหน้าและคาดว่าสามารถเริ่มผลิตและขาย LNG ครั้งแรกได้ในปี 2562

“โครงการในสาธารณรัฐโมซัมบิกเป็นโครงการที่ใหญ่มาก โดยมีการมองปริมาณก๊าซว่าจะอยู่ที่ 60-70 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต เทียบกับปริมาณก๊าซในอ่าวไทยปัจจุบันซึ่งมีประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หากโครงการนี้สามารถเกิดเป็นรูปธรรมจะสร้างมูลค่าได้เป็นอย่างมาก และจะเป็นกู๊ดซัพพลายเพราะโลจิสติกส์ระหว่างตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกากับประเทศไทยค่อนข้างเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นแหล่ง LNG ให้แก่ประเทศอื่นๆ อีกด้วย” คุณสมพรกล่าว

ส่วนแนวโน้มการขยายธุรกิจในระยะยาวของบริษัท ตนมองว่าในอนาคตการขยายกำลังการผลิตภายในประเทศคงจะมีไม่มากนัก ทั้งนี้ หากต้องการให้บริษัทมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่านี้ การลงทุนในต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถขยายโครงการได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นองค์กรจึงได้มีการปรับแผนและเตรียมความพร้อมในการลงทุนในต่างประเทศดังที่กล่าวไปแล้วเบื้องต้น 

“เรามีความเชื่อมั่นและมีความพร้อมในการไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะมีการวางระบบและระเบียบต่างๆ ไว้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยประเทศที่อยากจะเข้าไปลงทุนจะเป็นประเทศที่เรามีฐานการผลิตและมีประสบการณ์อยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นการต่อยอดธุรกิจไปเรื่อยๆ มากกว่าจะไปลงทุนในประเทศใหม่ ๆ” คุณสมพรกล่าว

คุณสมพรกล่าวในตอนท้ายถึงปริมาณการขายโดยรวมของบริษัทในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาว่า ตัวเลขคงไม่ทิ้งห่าง อาจบวกหรือลบเล็กน้อย แต่คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากโครงการระยะสั้นยังคงต้องดำเนินการต่อเนื่องเพราะบริษัทได้ลงทุนไปแล้ว ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนในปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1,417 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  (เทียบเท่า 45,905 ล้านบาท)

อนึ่ง ปตท.สผ. เป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของคนไทย มีพันธกิจหลักในการสรรหาปิโตรเลียมเพื่อสนองความต้องการใช้พลังงานทั้งภายในประเทศ และประเทศที่ไปลงทุน รวมทั้งสามารถนำเป็นรายได้กลับคืนสู่ประเทศไทย ปตท.สผ. เป็นบริษัทมหาชน หนึ่งในสิบบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทุนตามตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ปตท.สผ.ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการมีส่วนร่วมรับผิดชอบสังคม โดยปฏิบัติตามหลักกฎหมายของประเทศไทยและประเทศที่ปตท.สผ.เข้าไปดำเนินการ โดยใส่ใจและสนับสนุนด้านสุขอนามัย ความปลอดภัย ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม ของชุมชนในพื้นที่พร้อมสนับสนุนสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีส่วนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้แก่ ด้านการศึกษา และการส่งเสริมด้านสุขภาพอนามัยให้แก่ชุมชน ปตท.สผ.มุ่งเน้นการปฏิบัติจรรยาบรรณธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินงานทางธุรกิจเป็นอย่างโปร่งใส่และสามารถตรวจสอบได้ โดยเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่แท้จริงแก่ผู้ถือหุ้นต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับตามกฎหมายที่ได้ตกลงร่วมกันในสัญญากับประเทศเจ้าของพื้นที่ที่บริษัทได้เข้าไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_023/pttep/photo{/gallery}

ปตท.สผ. ได้ลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย  สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เวียดนาม โอมาน อัลจีเรีย ออสเตรเลีย  แคนาดา สาธารณรัฐโมซัมบิก สาธารณรัฐเคนยา และลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ปตท.สผ. อีกด้วย

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

“เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้” โชว์ 3 เมกะโปรเจค

เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบและที่อยู่อาศัย ชู 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมเฉียด 1.5 หมื่นลบ. คาดรายได้ปีนี้ 2.6 พันลบ. ตั้งเป้าปีหน้าเติบโตเพิ่ม 100% เตรียมพัฒนาโครงการสำเพ็ง 2 เฟส 5 Q2 ปีหน้า

คุณทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการซึ่งประกอบด้วย

     1. โครงการอาคารพาณิชย์และพื้นที่ให้เช่าภายใต้โครงการสำเพ็ง 2 มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดตัวเมื่อปี 2555 และก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อไตรมาส 4 ปี 2556  ปัจจุบันเฟส 1 และ 2 มียอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 90% และคาดว่าภายในช่วงต้นปี 2558 จะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้เช่าได้ทั้งหมด

ส่วนเฟส 3 และ 4 คาดว่าจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้เช่าได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 และจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้เช่าได้หมดในช่วงปลายปี 2558 ปัจจุบันทั้ง 2 เฟสมียอดขาย 3,700 ล้านบาท พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถปิดการขายพื้นที่ได้ทั้งหมดในช่วงปลายปี 2558 เช่นกัน

นอกจากนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 22-23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการสำเพ็ง 2 ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ โดยเป็นคอนโดมิเนียม สูง 25 ชั้น จำนวน 1 อาคาร และสูง 16 ชั้น จำนวน 6 อาคาร มีทั้งหมด 2,787 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 470 ยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 753 ล้านบาท

     2. โครงการไมอามี่ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน  5,010 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 120 ไร่มูลค่าโครงการกว่า 5,500 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตจาก EIA คาดว่าจะได้รับการอนุมัติและสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนมกราคม 2558 โดยโครงการนี้ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ล่าสุดมียอดขายแล้วกว่า 40% หรือประมาณ 2,200 ล้านบาท และมีแผนเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ในช่วงไตรมาส 4/2558

“จุดเด่นโครงการนี้คือทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งอยู่บนถนนสุขุมวิท จังหวัดสมุทรปราการ ด้านหน้าโครงการติดแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทราปราการ-บางปู) ส่วนด้านหลังโครงการติดทะเล ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกในประเทศไทยที่ติดทะเล อยู่ใกล้กรุงเทพฯ และมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านด้วย” คุณทนงศักดิ์ กล่าว

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_023/jps/photo{/gallery}

สำหรับโครงการที่ 3 คือ โครงการทิวลิป สแควร์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมหรูสไตล์ยุโรปแห่งแรกในย่านอ้อมน้อย มีทั้งหมด 1,030 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ จำนวน 95 ยูนิต รวมทั้ง คอมมูนิตี้มอลล์  โดยตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการนี้ได้ผ่านการอนุมัติจาก EIA เรียบร้อยแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง  และมียอดขายแล้วกว่า 40% หรือประมาณ 800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2558

คุณทนงศักดิ์ กล่าวถึงเป้าผลประกอบการในปีนี้ว่า คาดว่าตัวเลขจะจบที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจว่ามีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน เนื่องจากผลการดำเนินงานในช่วง 11 เดือนของปีนี้มีรายได้ 2,300 ล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่รับรู้จากโครงการสำเพ็ง 2 เฟส 1-2 ส่วนในปี 2558 คาดว่าจะสามารถเติบโตเพิ่มจากปี 2557 เท่าตัวหรือ 100% 

ด้านแผนการลงทุนในปี 2558 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการสำเพ็ง 2 เฟส 5 บนพื้นที่ 40 ไร่ ในรูปแบบคอนโดมิเนียมและอาคารแนวราบเชิงพาณิชย์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณไตรมาส 2 ปีหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาทำเลที่ตั้ง และจะดำเนินการพัฒนาโครงการตามคอนเซ็ปต์คอมเมอร์เชียลโลว์ไรส์เช่นเดิม

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

“วอยซ์ คอร์ปอเรชั่น” ชูนวัตกรรมใหม่

วอยซ์ คอร์ปอเรชั่นโชว์ศักยภาพพัฒนาหุ่นยนต์ UBOT หุ่นยนต์ขนของภายในโรงงาน ตอกย้ำผู้นำด้านการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย เล็งเจาะกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมเบา

คุณวิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอยซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจตัวแทนผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายหุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่น ถูพื้น ภายใต้แบรนด์ “iClebo” และผลิตหุ่นยนต์ UBOT เปิดเผยว่า หุ่นยนต์ UBOT เป็นนวัตกรรมล่าสุดที่บริษัทได้ดำเนินการพัฒนาให้สามารถขนของในโรงงาน โดยตรงกับวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งบริษัทที่มุ่งเน้นที่จะเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับหุ่นยนต์ และในปัจจุบันเป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้

“เราพัฒนาหุ่นยนต์ UBOT มาปีกว่าแล้ว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เราสามารถพูดได้ว่า เราเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์ที่ใช้ขนของในโรงงานได้ ซึ่งการนำเข้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่น iClebo และการคิดค้นผลิตหุ่นยนต์ UBOT อาจจะไม่สำคัญเท่าที่เราวางการดำเนินธุรกิจที่จะเป็นองค์กรที่ทำเกี่ยวกับหุ่นยนต์ โดยในประเทศไทยยังไม่มีใครทำ ส่วนใหญ่จะทำเกี่ยวกับเครื่องจักรกลโรงงานมากกว่า ดังนั้นเราจึงถือว่าเป็นเจ้าเดียวและเจ้าแรกในประเทศไทยที่ทำธุรกิจด้านนี้” คุณวิบูลย์กล่าว

สำหรับจุดเด่นและจุดแข็งของหุ่นยนต์ UBOT คือ สามารถเคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ได้อย่างอัตโนมัติในสถานที่ต่างๆ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดทางเดินสำหรับหุ่นยนต์ และตีรางหรือตีเส้นทางบนพื้น ซึ่งการตั้งค่าและปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินของหุ่นยนต์สามารถทำได้ง่าย ด้วยการตั้งค่าและป้อนข้อมูลเส้นทางของโรงงานในซอฟแวร์ที่แสดงผลบนหน้าจอบนตัวหุ่นยนต์ได้อย่างสะดวกและสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 80-100 กิโลกรัม

โดยหุ่นยนต์ UBOT จะแตกต่างกับหุ่นยนต์ทั่วไป ในเรื่องของการเคลื่อนที่ ซึ่งหุ่นยนต์ทั่วไปจะเคลื่อนที่ด้วยการตีรางหรือตีเส้นทางบนพื้น เพื่อให้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ตามเส้นทางที่วางไว้ จึงทำให้ยุ่งยากหากมีการย้ายจุดการทำงานไปยังจุดอื่น ในปัจจุบันหุ่นยนต์ UBOT ยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดอุตสาหกรรมมากนัก อย่างไรก็ตามลูกค้าที่มีการสั่งซื้อนวัตกรรมชิ้นนี้ไปใช้งานแล้วและมีความพึงพอใจเป็นอย่างดี

ด้านกลุ่มเป้าหมายของหุ่นยนต์ UBOT บริษัทมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าประเภทโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเบาเป็นหลัก เนื่องจากหุ่นยนต์ UBOT ยังมีขนาดเล็กและไม่สามารถที่จะขนของที่มีน้ำหนักมากได้ แต่ในอนาคตจะมีการพัฒนาในส่วนของการรับน้ำหนักให้เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังเล็งเจาะกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลมากขึ้นอีกด้วย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีโครงการที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ UBOT อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มจากฮาร์ดแวร์หุ่นยนต์เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยจะเริ่มดำเนินการภายในไตรมาสแรกของปี 2558 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหาวัสดุอุปกรณ์ที่มีความแข็งแรง สามารถใช้งานและรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ส่วนระบบซอฟแวร์ไม่จำเป็นต้องพัฒนาเพราะสามารถนำระบบเดิมมาใช้งานได้

สำหรับมุมมองในการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น บริษัทได้มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1.B2C (Business to Consumer) หรือกลุ่มลูกค้าภาคครัวเรือน ซึ่งซื้อเพื่อใช้งานภายในบ้าน และ 2.กลุ่ม B2B (Business to Business) หรือกลุ่มลูกค้าประเภทองค์กร อาทิ โรงงาน โรงพยาบาล เป็นต้น

“การพัฒนาหุ่นยนต์ของเรา แบ่งออกเป็น 2 Segment คือ B2C และ B2B โดยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เราจะมีการพิจารณาตาม Market Segment และดูความต้องการของแต่ละ Segment ว่าต้องการหุ่นยนต์ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแบบใด และสินค้าใดที่จะสามารถเข้าไปตอบสนองต่อความความต้องการของแต่ละกลุ่มได้ ต่อจากนั้นเราจึงจะพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าต่อไป” คุณวิบูลย์กล่าว

Page Visitor

010755003
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
825
6107
34589
101719
147900
10755003
Your IP: 13.58.184.90
2024-05-18 04:20
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.