November 22, 2024
×

Warning

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_012/cpland/photo

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_012/victoria/photo

×

Notice

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder:

Interview 2014

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

AIE เปิดแผนการลงทุนปีม้า

คุณอนุรักษ์ ธารีรัตนาวิบูลย์ กรรมการบริหาร บริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด(มหาชน)หรือ AIEผู้ผลิตและจำหน่ายพลังงานทดแทนน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม และน้ำมันพืช ภายใต้แบรนด์ “พาโมลา” ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้

นิตยสารบิส โฟกัส : แผนการลงทุนในปัจจุบัน

คุณอนุรักษ์ :ปัจจุบันบริษัทได้มีการลงทุนใน 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 1. โครงการติดตั้งเครื่องจักรผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากกรดไขมันปาล์ม โดยบริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมโดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีเพื่อพัฒนาการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลให้สามารถรองรับวัตถุดิบตั้งต้นที่มีต้นทุนต่ำกว่าน้ำมันปาล์มดิบที่บริษัทใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ 70 ตัน/วัน โดยเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา คาดจะแล้วเสร็จและเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตในเดือนมิถุนายน 2557

2. โครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตไบโอดีเซลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการนำเมทานอลที่มีคุณสมบัติในการทำปฏิกิริยาให้ติดไฟ (Solvent) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงเมทานอลจากกระบวนการผลิตได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้ดำเนินการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว

3. โครงการก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเพื่อรองรับน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มมากขึ้น โดยก่อสร้างทั้งหมด 6 ถัง ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 3 ถัง ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และอีก 3 ถังที่เหลือ คาดจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมปีนี้ และ 4. โครงการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 400 ตัน/วัน โดยการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 150 ตัน/วัน

สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะสามารถคืนทุนและรับรู้รายได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ถ้าหากตลาดยังไม่มีการปรับลดราคาน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันไบโอดีเซล และภาครัฐมีระบบการควบคุมราคาน้ำมันให้คงที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทจะสามารถรับรู้กำไรตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน

นิตยสารบิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปีนี้

คุณอนุรักษ์ : บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการทำสัญญาซื้อขายน้ำมันไบโอดีเซลกับลูกค้าในปี 2557 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิม อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ BCP บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC เป็นต้น

นิตยสารบิส โฟกัส : แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ

คุณอนุรักษ์ : บริษัทมีการผลิตน้ำมันบริโภคอยู่ที่ 30% และน้ำมันไบโอดีเซล 70% โดยน้ำมันบริโภคมีการผลิตและจำหน่ายคงที่ ซึ่งจะเป็นไปตามการเติบโตของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่จะไม่รวดเร็วมากนัก นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา เป็นต้น

ส่วนน้ำมันไบโอดีเซลมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในปัจจุบันนโยบายของภาครัฐกำหนดให้ปรับลดการผลิต B7 เนื่องจากประสบปัญหาในเรื่องของวัตถุดิบที่ไม่เพียงพอต่อการผลิต  ซึ่งปรับลดลงเหลือ B4 หรือ B5 อย่างไรก็ตามหลังจากนี้อีกประมาณ 2 เดือน ผลปาล์มดิบชุดใหม่ก็จะออกมาสู่ตลาดมากขึ้น และต้องดำเนินการผลิต B7 ต่ออย่างแน่นอน ซึ่งทางบริษัทได้มีการขยายเครื่องจักรและถังเก็บเพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

นิตยสารบิส โฟกัส : การรับรองคุณภาพและมาตรฐานต่างๆ

คุณอนุรักษ์ :บริษัทมีเครื่องจักรในกระบวนการผลิตและระบบการจัดการในโรงงานที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงคุณภาพเป็นหลัก ซึ่งผลิตน้ำมันปาล์มดิบสกัดจากผลปาล์มที่มีความสดและคุณภาพดี อีกทั้งการผลิตจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายควบคุมคุณภาพ (QC) ทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานตั้งแต่การรับเข้าวัตถุดิบ, ระหว่างผลิต, บรรจุ, การเก็บรักษาและตลอดจนการจัดจำหน่าย

นอกจากนี้บริษัทยังมีห้อง Lab ในการตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น และได้ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานของกระทรวงพลังงานซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของผู้ประกอบการ รวมทั้งได้รับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2008, GMP, HACCP, HALAL, KOSHER, มอก. และ อ.ย.

นิตยสารบิส โฟกัส : หลักในการบริหารองค์กร

คุณอนุรักษ์ :บริษัทมีการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO ต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัวควบคุมคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงบริษัทยังมีการอบรมพนักงานทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งมีระบบในการดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ ที่ได้มีการร่วมกันวางแผนไว้ และล่าสุดบริษัทได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งได้มีการวางแผนการดำเนินงานมาหลายปี มีการตรวจสอบและประเมินคุณภาพทุกปี จึงทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ลูกค้า และซัพพลายเออร์ ตลอดมา

นิตยสารบิส โฟกัส : สิ่งที่อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน

คุณอนุรักษ์ :เนื่องจากที่ผ่านมาไม่สามารถควบคุมปริมาณการส่งออกได้อย่างชัดเจนหากมีแบ่งสัดส่วนในการส่งออกมากเกินไป จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล และจำเป็นที่จะต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศมาทดแทนในส่วนที่ไม่เพียงพอจึงก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

ตนจึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลและควบคุมปริมาณการส่งออกให้อยู่ในโควตาที่กำหนด และไม่ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ หากมีการควบคุมได้จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนในการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศได้มากขึ้น

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

C.P. Land เปิดแผนการลงทุน ลั่นภายใน 5 ปี ปักธงรบครบ 77 จังหวัด

C.P. Land ประกาศแผนการลงทุนเตรียมพัฒนาโปรเจคใหม่กว่า 20 จังหวัด คาดปีนี้โกยกำไรพันล้าน  พร้อมตั้งเป้าภายใน 5 ปี ผงาดครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ

คุณสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 20 จังหวัด มูลค่าการลงทุน 15,000 ล้านบาท โดยประกอบด้วย คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว อาคารสำนักงาน รวมทั้งโรงแรมอีก 4 แห่งทั้งในส่วนของการก่อสร้างใหม่และซื้อโรงแรมเก่านำมาปรับปรุงใหม่

 ส่วนการลงทุนในกรุงเทพฯ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยอาคารสำนักงานและรีเทล ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน 3 แปลงในย่านถนนวิภาวดีรังสิตและถนนรัชดาภิเษก เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท รวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC )

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนปรับโฉมซี.พี. ทาวเวอร์ สีลม ในส่วนของบริเวณด้านหน้าอาคาร ซึ่งจะใช้งบประมาณในการดำเนินการ 80 ล้านบาท โดยเป็นโครงการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรจีน ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ 

คุณสุนทรกล่าวต่อว่าในปีนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไร 1,000 ล้านบาทและมีแนวโน้มความเป็นไปได้สูง เพราะบริษัทมีแผนการดำเนินงานอย่างชัดเจนและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยรายได้จะมาจาก 1. คอนโดมิเนียม ซึ่งปัจจุบันมี Backlog ไม่ต่ำกว่า 5,000  ยูนิต ราคา 1,300,000-1,500,000 บาท/ยูนิต ซึ่งในปีนี้จะทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้รายได้ 3,000 ยูนิต

 2. รายได้จากการรับบริหาร 3 อาคาร ( ซี.พี. ทาวเวอร์ สีลม, ฟอร์จูนทาวน์, พญาไท) ซึ่งบริษัทได้นำเข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ซี.พี.ทาวเวอร์ โกรท มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท และจะมีรายรับตามสัดส่วนการถือหุ้น 33% 3. รายได้จากทั้งอาคารสำนักงานให้เช่าในต่างจังหวัด อาทิ ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น 4. รายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่าที่จะสร้างเสร็จในปีนี้  5. รายได้จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว

“ปีนี้ เราตั้งเป้ากำไร 1,000 ล้านบาท เรามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เพราะโครงการที่เรามีในช่วง 2 ปีไปได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต่างจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนพฤศจิกายนในปีที่ผ่านมา เราเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกัลปพฤกษ์ที่เชียงราย มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งขายหมดภายใน 2 สัปดาห์ เป็นต้น  ตอนนี้เรามีความพร้อมหลายด้าน มีกำลังทุนที่พร้อมจะลงทุน เราสามารถที่จะกู้ได้ในราคาดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเพราะชื่อเสียงของเรา เรามีวงเงินที่ใช้แบบไม่ต้องเสนอเป็นโครงการ เราซื้อเพื่อทำ ถ้าที่ดินที่เรามองไว้ราคา พันล้าน เรามีตุนไว้เยอะสามารถซื้อที่ได้ 3 แปลงพร้อมกัน”คุณสุนทรกล่าว

คุณสุนทรกล่าวต่อถึงทิศทางการดำเนินงานในระยะเวลา 5 ปีว่า บริษัทตั้งเป้าจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ครบทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งอย่างน้อยจังหวัดละ 2 อาคาร จากปัจจุบันที่ได้พัฒนาลงทุนไปแล้ว 16 จังหวัดทั้งในรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว อาคารสำนักงานให้เช่า อาทิ ขอนแก่น นครศรีธรรมราช นครราชสีมา อุดรธานี กาญจนบุรี ราชบุรี พิษณุโลก ลำปาง เชียงราย เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่ายังเติบโตได้ประมาณ 5% หากมีการลงทุนต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการลงทุนของภาครัฐอย่างน้อย 15% จากเงินงบประมาณแต่ละปีที่อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องระมัดระวังคือความเชื่อมั่นและย้ายฐานการลงทุนของต่างชาติไปยังประเทศที่การเมืองนิ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ ดังนั้นภาคเอกชนควรจะมีการลงทุนด้วยตนเองมากขึ้น

“ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมเรื่องการค้า ประเทศของเราแข็งแกร่งได้ก็เพราะเรื่องค้าขาย หลายคนบอกว่าเราเติบโตช้า แต่เราก็ฟื้นตัวเร็ว เรามีภาคเอกชนที่ค้าขายเป็นไม่แพ้ประเทศใดๆ ในอาเซียน บางครั้งถึงแม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราโตช้า แต่ตนมั่นใจว่าเราจะโตเกิน 5% ถ้ามีการลงทุน  ” คุณสุนทรกล่าว

คุณสุนทร  อรุณานนท์ชัย  กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด(มหาชน)   พบปะสื่อมวลชนในโอกาสเปิดแผนการดำเนินงานในปี 2557

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_012/cpland/photo{/gallery}

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

สินธรณีเทงบ 800 ลบ. เนรมิต วิคตอเรีย การ์เด้นส์

สินธรณี ทุ่มงบกว่า 800 ลบ. ผุดโครงการ“วิคตอเรีย การ์เด้นส์บนพื้นที่ 20 ไร่ จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พร้อมโชว์ผลงานเยี่ยมอวดผลประกอบการปี 56 โตเพิ่ม 20-30%

คุณวุฒิชัย เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการบริษัท สินธรณี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการ“วิคตอเรีย การ์เด้นส์ (Victoria Gardens)” ศูนย์การค้าสำหรับคนเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทันสมัย โดยใช้งบลงทุนในการก่อสร้าง 800 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ติดถนนเพชรเกษม ซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา คาดจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2557

ขณะนี้มีความคืบหน้า 50% คาดจะสามารถคืนทุนและรับรู้กำไรได้ประมาณ 7 ปี ทั้งนี้บริษัทได้เริ่มเปิดจองพื้นที่ให้เช่าตั้งแต่ต้นปี 2556 ล่าสุดมียอดการจองพื้นที่แล้วกว่า 70% และคาดว่าจะสามารถปิดยอดการเช่าพื้นที่ได้ในไตรมาสแรกของปีนี้

โครงการวิคตอเรีย การ์เด้นส์ ได้รับแรงบันดาลใจจากกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมสวนสวยสไตล์วิคตอเรีย อังกฤษครบครัน ด้วยสินค้าจากร้านค้าแบรนด์ดังกว่า 200 ร้าน มีพื้นที่ให้เช่า 14,000 ตร.ม.และพื้นที่จอดรถที่สามารถรองรับได้ถึง 500 คัน รวมทั้งศูนย์การศึกษาคุณภาพ ร้านอาหารชั้นนำ สถาบันการเงิน และซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนของกลุ่มครอบครัว นักเรียน-นักศึกษา และรองรับกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการจุดนัดพบเพื่อเจรจาธุรกิจ หรือใช้เป็นที่สังสรรค์แห่งใหม่

ด้านจุดเด่นของโครงการคือตั้งอยู่ในทำเลที่การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเข้า-ออกได้จากถนนสายหลักเพชรเกษม และซอยเพชรเกษม 69 ซึ่งเชื่อมต่อถนนสำคัญอีกหลายสาย เช่น ถนนเอกชัย, ถนนพระราม 2, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี, ถนนพุทธมณฑลสาย 2, 3 และสาย 4 เป็นต้น มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมถึงมีกิจกรรมการตลาดภายในศูนย์การค้าตลอดปีเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ตลอดจนกิจกรรมด้านสุขภาพ ธรรมะ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และของดีประจำชุมชนต่างๆ

"เรามองว่าถนนเพชรเกษมเป็นทำเลที่จะเป็นจุดสำคัญ เราได้ทำการสำรวจแล้วพบว่ากลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ใกล้เคียงมีกำลังซื้อสูง ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ และมีบุตรหลานอยู่ในวัยกำลังศึกษา ซึ่งต้องการสถาบันกวดวิชาที่อยู่ใกล้บ้านและสะดวกต่อการเดินทาง ประกอบกับมีบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในขณะที่บริเวณดังกล่าวยังไม่มีศูนย์การค้าในลักษณะคอมมูนิตี้มอลล์เลย เราจึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการวิคตอเรีย การ์เด้นส์ " คุณวุฒิชัยกล่าว

คุณวุฒิชัยกล่าวต่อว่าในปีที่ผ่านมาผลประกอบการเติบโตเพิ่ม 20- 30%เมื่อเทียบกับปี 2555 โดยมีปัจจัยมาจาก1. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีสูงขึ้น 2.การทำตลาดและการขายเชิงรุกมากขึ้น 3.มีการพัฒนา Product ให้ตรงกับความต้องการลูกค้า และ 4.ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวองค์กร จึงมีการบอกต่อแนะนำ

ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทได้เดินหน้ากลยุทธ์การเติบโต ใน Segment ที่บริษัทมีความแข็งแกร่งและมุ่งเน้นไปทางด้านคอมเมอร์เชียลมากกว่าที่อยู่อาศัย  รวมถึงการบริการในรูปแบบการให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน โรงแรม รีเทล (ค้าปลีก) หรือ สำนักงานสำเร็จรูป ทั้งนี้บริษัทคาดว่าแนวโน้มการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาพรวมของเศรษฐกิจ การขยายเมือง ขยายเส้นทางการคมนาคมการสร้างรถไฟฟ้าต่าง ๆ ทำให้เกิดการลงทุนในทุกภาคส่วน

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_012/victoria/photo{/gallery}

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

แกรนด์ยูนิตี้ปลื้ม“ยู ดีไลท์เรสซิเดนซ์” กระแสตอบรับดี

แกรนด์ยูนิตี้เปิดตัวโครงการ“ยู ดีไลท์เรสซิเดนซ์”คอนมิเนียมสไตล์บ้านเดี่ยว ย่านทำเลทองพัฒนาการ-ทองหล่อ มูลค่าโครงการรวม 1,500 ลบ. ฟุ้งลูกค้าให้การตอบรับดีโดยมียอดขายกว่า90% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3,300 ลบ. ส่วนปี 2558 คาดรายได้พุ่ง 6,500 ลบ. มั่นใจตัวเลขเข้าเป้าโดยมี  Backlog กว่า 8,000 ลบ.

คุณเนรมิต สร้างเอี่ยม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัดเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการยู ดีไลท์ว่าเป็นคอนโดมิเนียมสูง 27 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ 4 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา ตั้งอยู่ในย่านทำเลทองแถวพัฒนาการ – ทองหล่อ มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณเดือนพฤษภาคม 2555และแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน  รวมทั้งได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าแล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

โครงการยู ดีไลท์เรสซิเดนซ์ (พัฒนาการ - ทองหล่อ) มีทั้งหมด 676 ยูนิต ประกอบด้วย 1 Bed Room มีพื้นที่ใช้สอย 26 ตร.ม., 1 Bed Room Panoมีพื้นที่ใช้สอย 35 ตร.ม., 1 Bed Room Plus มีพื้นที่ใช้สอย 37 ตร.ม., 1 Bed Room Deluxe มีพื้นที่ใช้สอย 40 ตร.ม.และ 2+1 Bed Room มีพื้นที่ใช้สอย 70 ตร.ม.

ทั้งนี้ภายในโครงการประกอบไปด้วย 1. Gate Community ประตู้รั้วเปิด-ปิดอัตโนมัติ ด้วยระบบ RFID พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง และกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ 2. โถงต้อนรับ มีการออกแบบเรียบง่าย สบายทั้งการมองเห็นและสัมผัสได้จริงในบรรยากาศแบบ Semi-Outdoor 3. คลื่นสนามหญ้า ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเดินเล่น พักผ่อน รายล้อมด้วยธรรมชาติ

4. ห้องสมุด 2 ชั้น ออกแบบให้อยู่ริมอาคารฝั่งที่ติดกับคลองเพื่อให้ได้บรรยากาศของการพักผ่อนในวันว่างไม่ว่าจะเป็นมุมชั้นล่างโปร่งโล่งหรือความเป็นส่วนตัวที่ชั้นบน5. ศาลาท่าน้ำ บรรยากาศธรรมชาติริมน้ำ เหมาะสำหรับการผ่อนคลายทำกิจกรรมสบายๆในครอบครัว 6. สระบัว รายล้อมด้วยธรรมชาติสไตล์ไม่น้ำไทยๆ เพิ่มบรรยากาศให้น่าอยู่ ร่มรื่นใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น

7. Jogging Lane อออกกำลังกายด้วยจ๊อกกิ้งเลนบนดาดฟ้ากลางพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 8. ห้องออกกำลังกายและ Sauna & Steam  รวมความครบครันทุกความต้องการในที่เดียว ทั้งการออกกำลังกาย และผ่อนคลายในแต่ละวัน และ 9. Infinity-edged Swimming Pool สระว่ายน้ำดีไซน์พิเศษเสมือนไร้ขอบกั้นระหว่างคุณกับอิสระของท้องฟ้า

สำหรับจุดเด่นของโครงการคือขนาดห้องหน้ากว้าง7.6 เมตร โดยทุกห้องจะติดเป็นผนังกระจกเพื่อให้สามารถรับแสงสว่างได้ยามเช้า รวมทั้งสามารถชมวิวทิวทัศน์ข้างนอกได้อย่างลงตัวและทำให้ห้องดูกว้างขวางไม่อึดอัด ส่วนการจัดแบ่งพื้นที่ห้องได้ถูกคำนวณมาเป็นอย่างดีซึ่งทำให้ระยะการใช้สอยต่างๆลงตัวให้ความรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว

โดยสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยตำแหน่งที่ตั้งในการเดินทางที่สะดวกสบาย บนโลเคชั่นใหม่ที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง อยู่ไม่ไกลจากทองหล่อ เดินทางเข้าสู่ย่าน CBD ได้ง่าย เพราะใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนและสถานีรถไฟฟ้า Airport Link ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิไม่มาก อีกทั้งยังเดินทางออกไปตากอากาศยังแหล่งพักผ่อนชายทะเลบางแสน พัทยาได้อย่างรวดเร็ว

“กระแสตอบรับจากลูกค้าที่มีต่อโครงการยูดีไลท์ดีมาก ทั้งในด้านยอดขายและการเข้าอยู่อาศัยโดยสามารถสังเกตได้จากจำนวนลูกค้าที่ย้ายเข้าอยู่อาศัยในโครงการ  ขณะนี้บริษัทมียอดขายกว่า 90% โดยลูกค้าส่วนใหญ่ 90% เป็นคนไทย อีก10%เ ป็นชาวต่างชาติ” คุณเนรมิตกล่าว

คุณเนรมิตกล่าวต่อถึงผลประกอบการว่าบริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปี 2556 อยู่ที่ 3,300ล้านบาท ส่วนในปี 2557 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ถึง 4,500ล้านบาท และในปี  2558 คาดการณ์รับรู้รายได้ที่ 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทคาดว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากในปี 2557-2558 บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการเพิ่มอีกหลายโครงการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอดขายและรับรู้รายได้ให้บริษัทเป็นจำนวนมาก

“ ตนมั่นใจว่ายอดขายจะเป็นไปตามเป้าไว้อย่างแน่อนอนถึงเม้ว่าตัวเลขที่ตั้งเป้าไว้ค่อนข้างสูง  เพราะปัจจุบันเรามียอดขายที่อยู่ในมือประมาณ 8,000 ล้าน หมายถึงเรามี Backlog รอรับรู้รายได้ คือเราขายไปแล้ว เราก็มาสร้าง สร้างเสร็จแล้วก็ไปโอน ตอนนี้เรากำลังก่อสร้างอยู่ เพราะฉะนั้น รายได้ปีหน้า 4,500 ล้านบาท ใช้มาแค่ครึ่งเดียวเอง ส่วนที่เหลือจะไปอยู่ในปี 2558  นอกจากนี้เราต้องเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอยู่แล้วในปี 2557-2558”คุณเนรมิตกล่าว

คุณเนรมิตกล่าวต่อถึงหลักการบริหารองค์กรว่าบริษัทดำเนินการบริหารภายใต้คำว่า F-A-M-E ซึ่งมีความความหมายว่า “ดีขึ้นทุกวัน” โดยต้องการให้พนักงานทุกคนทำทุกอย่างให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน  สำหรับF-Foresee คือการมองไปข้างหน้า, A-Assure คือหลักในการทำงานที่สามารถรับประกันและมีการรับรองได้,M-Monitorคือ การตรวจสอบงานทุกอย่างได้ และ E-Enhance คือการต่อยอดที่ดีขึ้น

“ตนอยากทำให้แกรนด์ยูเป็นองค์กรที่มีประสิทธิ์และต้องการให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนไปถึงการทำงานด้วยนั้นคือทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงส่งเสริมให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิ์ภาพและประสิทธิผลรวมทั้งก้าวต่อไปอย่างเข็มแข็งอย่างยั่งยืนในอนาคต”คุณเนรมิตกล่าว

คุณเนรมิตกล่าวต่อถึงสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนและส่งเสริมคือการออกระเบียบในด้านการส่งเสริมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการมากกว่าที่จะออกระเบียบป้องกันต่างๆ เพราะในปัจจุบันการดำเนินการต่างๆ จะติดในเรื่องของระเบียบที่เป็นอุปสรรคทำให้การทำงานลำบากมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามหากมีการทำผิดกฏระเบียบที่ภาครัฐกำหนด ควรจะมีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงกว่าปกติเพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่นทำผิดซ้ำ

“ปัจจุบัน เอกชนไทยเก่งขึ้นมาก โดยส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครอยากทำผิดกฎหมาย เพราะเวลาที่เสียไปไม่คุ้มกัน ระเบียบภาครัฐต่างๆ ก็ควรที่จะออกมาในเชิงส่งเสริมไม่ใช่เพียงแต่ป้องกันคนไม่ดี ตนเชื่อว่าคนไม่ดีอาจจะมีเพียง 1% แต่ระเบียบจะไปกระทบต่อคนดีอีก 99% ที่เหลือ ซึ่งคนดีย่อมมีมากกว่าคนไม่ดี มิฉะนั้นประเทศของเราจะไม่โตมาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน”คุณเนรมิตกล่าว

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

วินโคสท์เปิดแผนการลงทุนหนุนต่อยอดธุรกิจ

คุณวินิตา จามิกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและกลยุทธ์ บริษัท สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์ จำกัด(มหาชน)ให้สัมภาษณ์นิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสระดมทุนพิเศษขยายอาคารคลังสินค้าและสำนักงาน พร้อมก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าเซลล์ รองรับการเติบโตของเขตอุตสาหกรรม พร้อมประเด็นอื่นๆ ดังนี้

บิส โฟกัส : เหตุผลที่ต้องการขยายการลงทุน

คุณวินิตา : การขยายการลงทุนของบริษัทในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและสอดคล้องกับแผนธุรกิจปี 2557 ซึ่งธุรกิจหลักของบริษัทยังคงเป็นการให้เช่าและบริการพื้นที่ทั้งในและนอกเขตปลอดอากรวินโคสท์ โดยได้พิจารณาการขยายพื้นที่ให้เช่าและบริการในส่วนที่สามารถบูรณาการได้เพื่อก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าบนหลังคาเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารคลังสินค้าส่วนที่เหลือ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอดีตซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นสวนอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ

บิส โฟกัส : มีการกำหนดวงเงินในการเพิ่มการลงทุนในครั้งนี้ไว้จำนวนเท่าใด

คุณวินิตา : จากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 136,479,939 หุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)

บิส โฟกัส : มีการเพิ่มการลงทุนในลักษณะใด

คุณวินิตา : จากการระดมทุนในรูปแบบของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ได้มีการจัดตั้งบริษัท ดับบลิว.โซล่า จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท โดยมีผู้ร่วมลงทุนคือบริษัท อินเตอร์ฟาร์อีส วิศวกรรม จำกัด(มหาชน)

บิส โฟกัส : การก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าเซลล์ในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อองค์กร

คุณวินิตา : โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารคลังสินค้า W2 จำนวนไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ถือเป็นโครงการนำร่องสำหรับการสร้างสัญลักษณ์สวนอุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนดำเนินการโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในเฟสต่อๆ ไป อีกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.5 เมกะวัตต์ ซึ่งนอกจากบริษัทจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนในระยะยาวจากการให้เช่าพื้นที่สำหรับผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นอกเหนือจากรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าภายในสวนอุตสาหกรรมแล้วยังเป็นการช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเป็นพลังงานสะอาดอีกด้วย

บิส โฟกัส : วางเป้าหมายการเติบโตในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปีนี้และปีหน้า

คุณวินิตา : สำหรับเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในปีนี้และปีหน้า บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับ จากแผนการขยายโครงการในธุรกิจหลักของบริษัทและโครงการต่างๆ ในบริษัทย่อย อาทิ การก่อสร้างอาคารคลังสินค้าเพิ่มเติม W8 W9 การขยายโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เฟส 2 เฟส 3 รวมถึงการขยายธุรกิจรองรับด้านยานยนต์ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการให้เช่า บริการและรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต

บิส โฟกัส : คาดว่าแนวโน้มการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่

คุณวินิตา : แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนตามแผนธุรกิจในแต่ละปีว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยแผนในการขยายโครงการต่างๆ นั้น บริษัทคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปี 2557 ถึงปี 2558 ตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้

บิส โฟกัส : แนวโน้มทางการตลาดในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่จะเป็นอย่างไรในปีนี้และปีหน้า

คุณวินิตา : เนื่องจากธุรกิจให้เช่าและบริการพื้นที่เขตปลอดอากรของบริษัท บริษัทได้มุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่และบริการแก่กลุ่มลูกค้าที่จะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของเขตปลอดอากรได้อย่างเต็มที่ โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้แก่ ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตและส่งออก กลุ่มผู้ประกอบการด้านคลังสินค้า ฯลฯ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรได้สูงสุด

ปัจจุบันลูกค้าที่เช่าพื้นที่ส่วนใหญ่เช่าเป็นสัญญาระยะยาว 3 ปี จึงทำให้บริษัทสามารถประมาณการรายได้ของบริษัทได้ค่อนข้างแน่นอน อีกทั้งแนวโน้มของตลาดในธุรกิจประเภทนี้ บริษัทเน้นผู้ประกอบการขนาดกลางถึงขนาดย่อม ซึ่งพื้นที่ให้เช่าและบริการของบริษัท ถือเป็นพื้นที่ที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สามารถเอื้อประโยชน์ทั้งเรื่องสิทธิของเขตปลอดอากรให้แก่ผู้เช่าและความสะดวกด้านการขนส่งและคมนาคม ดังนั้นแนวโน้มทางการตลาดในธุรกิจของบริษัทในปีนี้และปีหน้าจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้นตามลำดับ

บิส โฟกัส : ข้อเสนอแนะที่อยากให้ภาครัฐรับทราบเพื่อให้นำแนวทางจากผู้ประกอบการไปพัฒนาอุตสาหกรรม หรือข้อเสนอแนะที่อยากให้ภาครัฐเข้าส่งเสริมหรือสนับสนุนพิเศษ

คุณวินิตา : ขอเสนอแนะเรื่องการอำนวยความสะดวกในการประสานงานกับหน่วยงานราชการในการยื่นเรื่อง การขอเอกสารและใบอนุญาตต่างๆ ให้มีความรวดเร็วและช่วยลดขั้นตอนในการดำเนินการรวมทั้งเรื่องการเพิ่มช่องทางในการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อสนับสนุนเรื่องการขนส่งสินค้า เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการผลิตและขนส่งสินค้าออกสู่ตลาด

ส่วนเรื่องที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนคือเรื่องการเพิ่มใบอนุญาตเพื่อสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากส่วนของผู้ประกอบการในสวนอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมจะสามารถช่วยเรื่องการผลิตพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและเป็นการช่วยส่งเสริมรายได้ในภาคธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

วี สุขุมวิทปลื้ม “เอช สุขุมวิท 43” แรงต่อเนื่อง

วี สุขุมวิทฟุ้งโปรเจคเอช สุขุมวิท43 กระแสตอบรับดีเยี่ยม คาดสามารถปิดการขาย 100% ก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จ ชูจุดเด่นเข้า-ออกได้ 3 เส้นทาง สิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านเท่านั้น แย้มโปรเจคใหม่ เล็งเปิดตัวในย่านทำเลเดิมปลายปีหน้า

คุณกฤษฎา เพ่งวรรธนะ รองประธาน บริษัท วี สุขุมวิท 43 ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการเอช สุขุมวิท 43 เปิดเผยว่าโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมขนาดความสูง 31 ชั้น จำนวน 290 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2556 ที่ผ่านมา คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้และพร้อมโอนกรรมสิทธ์ให้แก่ลูกค้าประมาณไตรมาสแรกปีหน้า

ปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าในภาพรวมประมาณ 50-60% โดยงานโครงสร้างได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับงานที่เหลืออีก 40% จะอยู่ในส่วนของสถาปัตย์และการตกแต่งภายใน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความมั่นใจว่าการก่อสร้างจะเสร็จทันตามกำหนดที่วางไว้อย่างแน่นอน เนื่องจากในขณะนี้ งานตกแต่งภายในได้ดำเนินการในชั้นที่ 9 แล้ว ส่วนกลุ่มเป้าหมายของโครงการคือลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติในสัดส่วน 60 : 40

ด้านแผนประชาสัมพันธ์โครงการ บริษัทได้ใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทผ่านสื่อต่างๆ ทั้ง Above the line และ Below the line  อาทิ  หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน บิลบอร์ด วิทยุ เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการเป็นต้นมา โดยผลตอบรับค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจขณะนี้มียอดขายประมาณ 95% แล้ว คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ 100% ก่อนการก่อสร้างเสร็จอย่างแน่นอน เนื่องจากขณะนี้มีห้องพักที่ยังไม่จำหน่ายเพียง 10 ห้องเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากจะให้ลูกค้าเข้ามาจับจองเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดังกล่าว

สำหรับจุดเด่นของโครงการคือการเดินทางที่สะดวกสามารถเข้าออกโครงการ โดยสามารทะลุเข้า-ออกซอยสุขุมวิท 39 ซอยทองหล่อและทะลุถนนเพชรบุรีได้ ซึ่งเป็นทางผ่านส่วนตัวของโครงการและเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านเท่านั้นที่นอกเหนือจากการเดินทางเข้า-ออกผ่านซอยสุขุมวิท 43 ซึ่งเป็นซอยตันทั้งนี้บริษัทมีที่ดินจำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกบริษัทสร้างเป็นตัวอาคารที่พักอาศัยดังกล่าว ส่วนอีกแปลงหนึ่งจะใช้เป็นทางเข้าออกของโครงการ

“เดิมโครงการมีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ แต่เราได้ซื้อที่ด้านข้างเพิ่มอีกประมาณ 1 ไร่ซึ่งเป็นที่ว่างให้ลูกบ้านสามารถเดินทางผ่านเข้าออกไปทะลุซอย 39 ซอยทองหล่อและถนนเพชรบุรีได้ทั้งสองฝั่ง โดยเลี้ยวขวาจะไปออกทองหล่อ เลี้ยวซ้ายออกเพชรบุรี ซึ่งนับเป็นจุดเด่นสำคัญของโครงการ ที่ทำให้ซอยตันไม่ตันและทำให้ลูกบ้านสามารถเดินทางเข้าสู่โครงการได้ 3 ทาง ไม่จำเป็นต้องเข้า-ออกผ่านซอยสุขุมวิท 43 เพียงทางเดียว” คุณกฤษฎากล่าว

คุณกฤษฎากล่าวต่อถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยในด้านสาธารณูปโภคว่าบริษัทจะไม่บริหารจัดการโครงการเอง แต่จะจ้างนิติบุคลซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำและมีมาตรฐานเข้ามาดำเนินการ ดังนั้นขอให้ลูกบ้านสบายใจได้ว่าโครงการจะถูกการจัดการด้วยบริษัทที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างลงตัวและรู้สึกคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป โดยภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำ  Fitness Sauna Room  H-Sky Lounge Business Center and Library Kids Zone Sky Yoga เป็นต้น

“มันเป็นนโยบายของเราที่มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมาย ได้รับของที่พรีเมี่ยมกว่า ทำเลที่ดีกว่า ราคาที่ถูกกว่าเพราะเราต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายที่ใหญ่กว่า โครงการนี้ถือว่าไม่น้อยหน้ากว่าบริษัทมหาชน ยอดขายของเราดีมาก ด้วยตัวโครงการที่ใช้วัสดุอย่างดี ในราคาที่สมเหตุสมผล โครงการของเราเป็นคอนโดมิเนียมที่ถูกที่สุดในย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นทำเลที่มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งมีคอนโดมิเนียมเปิดตัวอย่างต่อเนื่องและบริษัทมหาชนก็เข้ามาลงทุนกันเยอะมากทำให้ราคาในปัจจุบันค่อนข้างสูง ”คุณกฤษฎากล่าว

ส่วนเหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเข้ามาพัฒนาโครงการดังกล่าว เนื่องจากมองว่าในย่านสุขุมวิทยังมีดีมานด์สูง ทำให้โครงการต่างๆ ที่เปิดในโซนนี้ยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าราคาจะสูงแต่มียอดการจับจองอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการนี้สามารถตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือชาวไทยที่ต้องการที่พักอาศัยท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้งและในอนาคตอันใกล้นี้จะยกระดับเป็นโซนช้อปปิ้งลักซ์ชัวรี่

สำหรับโครงการต่อเนื่องในอนาคต บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านสุขุมวิท ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในราวช่วงปลายปีหน้าเพราะบริษัทต้องการที่จะปิดโครงการ H SUKHUMVIT 43 ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน  โดยจะยังคงเป็นรูปแบบคอนโดมิเนียมเช่นเดิม เน้นคุณภาพในทำเลที่ดี ราคาเหมาะสม รวมทั้งการใช้วัสดุชั้นนำและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนี้บริษัทมีความมั่นใจว่ายังมีฐานลูกค้าเดิมที่อยากซื้อโครงการของบริษัทและหากบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ ลูกค้าคงให้การตอบรับดีเช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา

คุณกฤษฎากล่าวในตอนท้ายถึงเป้าผลประกอบการว่าในปีนี้บริษัทไม่ได้ตั้งตัวเลขไว้สูง เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา( 2555-2556) มียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2556 บริษัทได้ขายสินค้าไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผลประกอบการของปีนี้จึงตั้งไว้ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เพราะมีห้องพักเหลือไม่มาก ประกอบกับยังไม่มีโครงการใหม่ในปีนี้

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

อิคาริ เทรดดิ้งคว้า อย. ควอลิตี้ อวอร์ด

อิคาริ เทรดดิ้งการันตีคุณภาพรับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนจากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเปิดแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์รับตลาดโตในอนาคต

คุณอรรณพ วงศ์ธิติโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิคาริ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิต-จำหน่าย ไฟดักแมลง เตาย่อยสลายพลังงานแม่เหล็กถาวรและผลิตภัณฑ์กำจัดลูกน้ำยุงลาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปิดเผยว่าบริษัทได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนจากกระทรวงสาธารณสุขโดยได้รับมอบรางวัลจากนพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย

“เราได้รับรางวัลอย. ควอลิตี้ อวอร์ด เนื่องจากเรานำระบบมาตรฐานสากลจากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ เรามีการพัฒนาระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราได้รับการประเมินจากอย. และตรงตามเกณฑ์มาตรฐานที่ทางอย. กำหนดจึงทำให้เราได้รับรางวัลนี้ ซึ่งได้รับเป็นปีแรกและเราจะรักษาและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” คุณอรรณพกล่าว

สำหรับประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการได้รับรางวัลนี้ คุณอรรณพกล่าวว่าเป็นโอกาสดีที่จะเผยแพร่ชื่อเสียงขององค์กรให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลด้วยกันและหน่วยงานอื่นๆ จากภาครัฐและเอกชนรวมทั้งการการันตีคุณภาพในการผลิตสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้พนักงานของบริษัทยังเกิดความภาคภูมิใจและเล็งเห็นถึงความสำเร็จที่ได้รับ ซึ่งเกิดจากความคิดและความร่วมมือของพนักงานทุกคน

“การรับรางวัลในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อบริษัทในหลายๆ ด้าน ทั้งภายในและภายนอกองค์กร แต่เราจะดีใจกับรางวัลนี้และไม่พัฒนาอะไรต่อไม่ได้ เราจะต้องมาคิดต่อยอดเพิ่มเติมจากเดิม ในเรื่องวิธีการรักษาคุณภาพให้คงที่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระดับที่ดีกว่าเดิมรวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และสามารถตอบโจทย์ในการใช้งานได้อย่างครอบคลุม” คุณอรรณพกล่าว

คุณอรรณพกล่าวต่อถึงการเติบโตของบริษัทว่าจะมุ่งเน้นปริมาณของงาน ซึ่งในปี 2556 ที่ผ่านมา มีปริมาณงานเพิ่มขึ้นเกิน 40% จากปี 2555 โดยจะมีการวางแผนในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นหลักเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสามารถนำไปพัฒนาได้ในหลายๆ ด้านเพื่อต่อยอดในอนาคต

 ส่วนในปี 2558 บริษัทได้มีการวางแผนการลงทุนในด้านต่างๆ อาทิ ด้านออโตเมชั่น การพัฒนาR&D การพัฒนาบุคลากรและอื่นๆ เป็นต้น   โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องการขยาย Production House เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1-2 โรงงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตซึ่งจะต้องมีการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่ม คาดว่างบประมาณในการลงทุนครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามงบการลงทุนที่กล่าวไว้เบื้องต้นจะต้องพิจารณาในเรื่องของศักยภาพของบริษัท ปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าและผลกระทบจากการเมืองที่ยังไม่แน่นอนร่วมด้วย เนื่องจากการลงทุนในแต่ละครั้งมีความเสี่ยงสูงจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบในหลายๆ ด้านร่วมกันก่อนจะลงทุนคาดจะเป็นรูปธรรมได้ประมาณปี 2558

คุณอรรณพกล่าวต่อว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทจำหน่ายในประเทศ 70% และอีก 30% ส่งออกต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย สปป.ลาว อินเดีย เป็นต้น โดยบริษัทมีลูกค้าหลากหลายกลุ่มประกอบด้วย กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสาธารณสุข (องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลต่างๆ ) รวมทั้งสถาบันต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการรับรองมาตรฐานและรางวัลต่างๆ ได้แก่ 1.GMP 2.ISO 9001 : 2008  3.CLIENT OF THE YEAR 2008 award from TQCS INTERNATIONAL, Australia 4.STI THAILAND AWARD 2012 ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (นวัตกรรมสีเขียว - GREEN INNOVATION) ระดับพื้นที่กรุงเทพมหานครประเภทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 5.รางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

เซออน เคมิคัลส์ คว้ารางวัลธรรมาภิบาล 2556

คุณยูทากะ อิโซซากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัสในโอกาสได้รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยประจำปี 2556 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดังนี้  

บิส โฟกัส : บริษัทมีแนวทางการบริหารงานอย่างไรจึงได้รับรางวัลดังกล่าว

คุณยูทากะ : บริษัทมีนโยบายของบริษัทหลักๆ 4 เรื่องคือคุณภาพ (Quality) ความปลอดภัย (Safety) สิ่งแวดล้อม (Environment) และความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยเราให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการไม่เกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานต่อเนื่องเป็นเวลา 2,337 วัน (ข้อมูลสิ้นปี 2555) รวมทั้งการได้รับมาตรฐานระดับโลกต่างๆ  เช่น OHSAS18001 ISO14001 เป็นต้น  นอกจากนั้นเรายังมีระบบการจัดการของเสียภายในโรงงานที่ดีเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน

บิส โฟกัส : แผนดำเนินการที่ทำให้ได้รับรางวัลนี้

คุณยูทากะ : บริษัทมีการสานต่อโครงการที่ทำเพื่อสังคมมาต่อเนื่องกว่า 3 ปีแล้ว ทั้งกิจกรรมภายนอกและภายใน ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมภายนอก ได้แก่การมอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง การนำระบบที่ทันสมัยมาใช้จัดการระบบสิ่งแวดล้อมภายในโรงงานเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง เป็นต้น  ส่วนกิจกรรมภายใน เราจัดให้มีกิจกรรมสำหรับพนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 90 คน ไม่ว่าจะเป็น ปาร์ตี้ประจำปี ทริปท่องเที่ยวและการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนทุกปี เพื่อให้พนักงานมีมาตรฐานชีวิตที่ดี โดยกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยประจำปี 2556 จาก กนอ.

บิส โฟกัส : ความเป็นมาของเซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์)

คุณยูทากะ : เรามีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ชื่อว่า เซออน คอร์ปอเรชั่น โดยบริษัทแม่มีบริษัทในเครืออยู่ในหลายประเทศทั่วโลกและเซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์) คือหนึ่งในนั้น  แต่เราแยกการบริหารจัดการและการผลิตออกจากบริษัทแม่โดยสิ้นเชิง

เรามุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มลูกค้าในโซนเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อปีที่ผ่านมา เรามีการขยายโรงงานแห่งที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกันเพิ่มอีก 1 โรงงานเพื่อรองรับกับฐานลูกค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บิส โฟกัส : กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท

คุณยูทากะ : บริษัทเป็นผู้ผลิต Quintone petroleum resin สำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์หลักๆ  4 กลุ่มคือ เทป 60% Hot Melt 20%  Tire 5% และอื่นๆ 15% ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปต่างประเทศ 80% เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีก 20% จำหน่ายในประเทศ 

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

สยามเซมเพอร์เมดคว้ารางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ครั้งที่ 4

สยามเซมเพอร์เมดตอกย้ำความสำเร็จรับรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 คาดมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับอีกปีหน้า เล็งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 1 หมื่นลบ.

คุณวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล Director  บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) และผู้ถือหุ้นรายใหญ่บริษัท สยามเซมเพอร์เมด จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศและจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศเปิดเผยว่าบริษัทได้รับรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา

โดยรางวัลดังกล่าวได้รับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งได้รับครั้งแรกเมื่อปี 2552 และได้รับติดต่อกันอีก 2 ปีคือปี 2553-2554 และต้องเว้นระยะไว้อีก 2 ปี เนื่องจากเป็นไปตามกฎของ อย. ว่าจะต้องเว้นวรรคการเข้าร่วมประกวด อย.ควอลิตี้ อวอร์ด 2 ปี จึงจะส่งเข้าประกวดใหม่ได้

คุณวีรสิทธิ์กล่าวต่อว่าวัตถุประสงค์ในการขอรับรางวัลดังกล่าวเริ่มจากที่บริษัทเป็นผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์จึงเชิญ อย.เพื่อมาตรวจสอบคุณภาพทั้งสินค้า โรงงาน ระบบปฏิบัติการ การรักษาสิ่งแวดล้อมและการช่วยเหลือชุมชนในด้าน CSR และจากการที่ อย.เข้ามาตรวจสอบ ปรากฏว่าบริษัทผ่านในทุกประเด็นที่กล่าวมาเนื่องจากมีระบบคุณภาพมาตรฐานตามที่ อย.กำหนดจึงได้รับรางวัลในครั้งนี้

ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับคือความเชื่อมั่นและความมั่นใจจากลูกค้าเป็นอย่างดีว่าระบบการทำงานของบริษัทมีมาตรฐานรองรับซึ่งสามารถการันตีได้จากการที่บริษัทได้รับรองคุณภาพมาตรฐานจาก อย. นอกจากนี้ยังสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงานได้เป็นอย่างดีที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ส่งผลให้พนักงานมีกำลังใจและภาคภูมิใจในการทำงานเพื่อพัฒนาศักยภาพให้ได้รับรางวัลอีกในปีถัดไป

 “พนักงานรู้สึกว่าการที่เขาได้ทำงานมาตลอดได้ผลตอบรับในเรื่องคุณภาพมาตรฐานจนได้รับรางวัลอย.ควอลิตี้ อวอร์ดในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากที่ได้ปฏิบัติงานมาอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนดซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นมาตรฐานที่ต้องปฏิบัติเพื่อสร้างแรงจูงใจเมื่อผลตอบรับกลับมาเป็นรางวัล” คุณวีรสิทธิ์กล่าว

คุณวีรสิทธิ์กล่าวต่อว่าบริษัทจะพัฒนาทั้งคุณภาพมาตรฐาน สินค้า ต้นทุน และด้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพขึ้นและคาดหวังว่าในอนาคตจะได้รับรางวัลนี้อีกต่อไป เนื่องจากทุกครั้งที่ส่งผลงานเข้ารับรางวัลดังกล่าวก็จะผ่านการพิจารณาจาก อย. ในทุกขั้นตอนจนได้รับรางวัลซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถการันตีได้เป็นอย่างดีว่าบริษัทใส่ใจในเรื่องคุณภาพมาตรฐานเป็นสำคัญ

ด้านยอดขายในปี 2556 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 9,600 ล้านบาท มีกำไร 980 ล้านบาทและในปี 2557  บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าเนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 14,000 ล้านชิ้น/ปี 

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ซี.พี.แอล. เปิดแผนธุรกิจหนุนองค์กรโต

คุณสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.แอล.กรุ๊พ จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส โดยตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้ 1,800  ล้านบาท พร้อมวางแผนการดำเนินงานระยะกลางและยาวดันธุรกิจเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้   

บิส โฟกัส : รายละเอียดเกี่ยวกับ ซี.พี.แอล.

คุณสุวัชชัย : เราดำเนินธุรกิจผลิตหนังวัวฟอกสำเร็จรูป ซึ่งเป็นธุรกิจเฉพาะด้าน ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของตราสินค้า (Brand Name) อาทิ Timberland ,  Adidas  เป็นต้น โดยในช่วงเริ่มต้นธุรกิจจะมีแบรนด์ Nike ด้วย แต่ปัจจุบัน Nike ได้ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศแล้ว เราอยู่ในซัพพลายเออร์ลิส หมายความว่าคู่แข่งในเมืองไทยที่เป็นสัญชาติไทยด้วยกันแล้วไม่มี ทุกวันนี้คู่แข่งจะอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด ส่วนการสั่งออเดอร์จะมีคอมมิตเม้นท์ระหว่างลูกค้ากับเรา โดยประมาณ 90% จะเป็นออเดอร์ที่สั่งผ่านแบรนด์ ซึ่งจะไม่ใช่ออเดอร์ที่ลูกค้าทั่วไปเดินเข้ามาสั่ง แต่ก็มีบ้างในสัดส่วนประมาณ 10%

ปัจจุบันออเดอร์ของเราจะมาจาก Timberland 30% Adidas 30% และอื่นๆ 40% อาทิ รองเท้ากีฬา รองเท้าบูธ รองเท้าทั่วไป รองเท้าปีนเขา เป็นต้น ขณะนี้ออเดอร์ที่เราได้รับจะเป็นออเดอร์ ที่ลูกค้าจะทำการผลิตสินค้าสำหรับปลายปีนี้และต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นปีหน้า

บิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปีนี้

คุณสุวัชชัย : ออเดอร์ของเราจะอยู่ที่ 24 ล้านตารางฟุต หรือคิดเป็นมูลค่า 1,800 ล้านบาท มาโดยตลอดทุกปี ส่วนในปีนี้ เรามีความมั่นใจว่าจะอยู่ในระดับนี้เช่นกัน เนื่องจากสินค้าของเราจะจำหน่ายในต่างประเทศ โดยตลาดหลักจะอยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ถึงแม้ว่าปัจจุบันศูนย์การผลิตรองเท้าจะอยู่ที่เอเชียก็ตาม อย่างเช่น อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม ซึ่งเราได้จัดส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้และเขาก็จะส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรปเพื่อผลิตเป็นรองเท้าต่อไป  

ประกอบกับปัจจุบัน ปริมาณการสั่งซื้อรองเท้าจากสหรัฐอเมริกา มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก หลังจากประสบปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติอย่างเช่น พายุหิมะ เป็นต้น ส่งผลให้สต็อกสินค้าของลูกค้าเหลือน้อย ทำให้มีการสั่งซื้อเพิ่มเติมขึ้นมามาก ส่วนในโซนยุโรป ในปีนี้มีสัญญาณการใช้เงินที่มากขึ้น ไม่ได้ลดลงไปมากกว่าเดิม ทั้งนี้ตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะบาลานซ์กัน หากตลาดสหรัฐอเมริกาลดลง ตลาดในยุโรปก็จะขึ้น นอกจากนี้เรายังไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินเพราะในการซื้อสินค้าและจำหน่ายสินค้า เราจะใช้เงินสกุลดอลลาร์

บิส โฟกัส : ในอนาคตหากมีออเดอร์เพิ่มมากขึ้นจะมีการขยายกำลังการผลิตอีกหรือไม่

คุณสุวัชชัย : เรามีแผนระยะกลางและระยะยาวซึ่งจะรวมอยู่ด้วยกัน โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เราได้ซื้อที่ดินจำนวน 22 ไร่ มูลค่า 90 ล้านบาทซึ่งพื้นที่ติดกับโรงงาน เนื่องจากผู้บริหารมองว่าในอนาคต หากมีออเดอร์เพิ่มขึ้น เราก็จะมีการขยายโรงงาน ขยายไลน์การผลิตมากขึ้น เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ ยกตัวอย่างเช่น เบาะรถยนต์ ช่วงนี้อาจสะดุดเพราะหมดนโยบายรถยนต์คันแรก แต่ถ้ามีโครงการหรือนโยบายใหม่เกิดขึ้น  ถ้ามีปริมาณการสั่งซื้อหรือปริมาณเบาะรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น เราสามารถที่จะขยายรองรับการผลิตเบาะรถยนต์ได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านตารางฟุต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากธุรกิจเบาะรถยนต์ไปได้ไม่ดีพอหรือว่ามีธุรกิจอื่นๆ หรือไลน์ใหม่ๆที่เสริมเข้ามา เราก็สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยจะอยู่ในธีมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมที่เราทำอยู่แล้ว

นอกจากนี้เรายังมีแผนระยะกลางอีกหนึ่งโปรเจคที่อยู่ระหว่างการหารือ  ว่าอย่างเร็วภายใน  3-5 ปี เราจะต้องมีโปรดักส์ไลน์ตัวใหม่เข้ามาเสริมองค์กร ซึ่งอาจจะเป็นสินค้าสำเร็จรูป ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราทำแค่รองเท้า แต่ใน 3-5 ปี อาจจะมีการผลิตสินค้าที่เป็นรองเท้าคัตชูออกสู่ตลาด เป็นต้น อย่างไรก็ตามเรากำลังมองว่าธุรกิจนี้เหมาะสมกับที่เราจะลงไปดำเนินการหรือไม่

ส่วนปริมาณการลงทุนในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมราคาที่ดิน โดยจะเป็นการพัฒนาที่ดินและอีกส่วนหนึ่งถ้าเป็นไปได้เราอาจจะมีการปรับปรุงไลน์การผลิต ซึ่งจะมีการย้ายเครื่องจักรหรือมีการสั่งซื้อเพิ่มเติมเข้ามาบางส่วนเพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิมที่ชำรุด รวมถึงการจัดไลน์การผลิตใหม่เพื่อให้การถ่ายทอดงานหรือการส่งต่อมีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น ทั้งนี้เมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะทำให้เรารู้ว่าที่ดินใหม่ที่เราจะลงทุนจะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใดได้บ้าง

บิส โฟกัส : โรงงานใหม่จะเริ่มก่อสร้างได้เมื่อใด

คุณสุวัชชัย : ตามแพลนแล้วถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดี เราคิดว่าคงจะเริ่มเลย อาจจะเห็นเค้าโครงตัวโรงงานไม่น่าเกินกลางปีหน้า 

บิส โฟกัส : หลักการบริหารท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

คุณสุวัชชัย : เราบริหารแบบคอนเซอร์เวทีฟคือค่อยๆ ทำไป แล้วก็ดูให้ชัดเจน โดยผู้บริหารรุ่นคุณพ่อหรือรุ่นก่อตั้งจะสอนเราว่าสิ่งที่เราทำอยู่จะต้องทำได้จริง สิ่งที่เราพูดอยู่ต้องเป็นความจริง ถ้าเราพูดแล้วเราทำไม่ได้อย่าไปพูดเลยดีกว่าและการทำงานจะต้องมีความชัดเจนในหน้าที่ที่ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบให้ดีที่สุด

บิส โฟกัส : ความสำเร็จของ ซี.พี.แอล.ในปัจจุบัน

คุณสุวัชชัย : ถ้ามองในมุมของคุณพ่อที่เริ่มเปิดบริษัทมาจนถึงทุกวันนี้ถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องดำเนินต่อไปคือมีธุรกิจใดที่จะสามารถขยายให้เกิดผลมากกว่านี้ เพราะว่าจากเดิมที่เราทำกันมาจากยอดขาย 300-500 ล้านบาท จนมาถึง 1,800 ล้านบาทและมีอยู่ปีหนึ่งมียอดขายเกือบถึง 2,000 ล้านบาท นับว่าสำเร็จในมุมมองของการทำงานแล้ว อย่างไรก็ตาม เป้ายอดขายที่เราอยากได้และตั้งไว้ตลอดคือ 2,000 ล้านบาท แต่จะขึ้นอยู่กับโปรเจคใหม่ที่เรากำลังดำเนินการอยู่และโรงงานที่จะสร้างใหม่ด้วย มันเป็นเป้าหมายที่เราต้องทำให้ได้ในอนาคต

บิส โฟกัส : การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

คุณสุวัชชัย : ซี.พี.แอล.เป็นโรงงานฟอกหนังที่ดำเนินงานมามากกว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ส่วน 25 ปีคือซี.พี.แอล. เพราะฉะนั้นความรู้ต่างๆ และสิ่งที่ทำอยู่คือเรามุ่งมั่นที่จะทำหนังที่มีคุณภาพ ส่งออกไปค้าขายในตลาดโลก โดยสินค้าของเราเป็นที่ยอมรับของแบรนด์ดังๆ ระดับโลกมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ดำเนินงานมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจเป็นอย่างมาก 

นอกจากนี้เรายังเน้นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและการันตีความเชื่อมั่นด้วยมาตรฐานต่างๆ ที่เราได้รับ โดยห้องแล็บของเราได้รับการยอมรับจาก SATRA ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษเป็นผู้ตรวจระบบการทำงานเกี่ยวกับประกันคุณภาพสินค้าของเราเป็นประจำทุกปี

Page Visitor

012531995
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
4981
18787
93288
339786
432245
12531995
Your IP: 3.139.67.228
2024-11-22 05:55
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.