Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
AIE เปิดแผนการลงทุนปีม้า
คุณอนุรักษ์ ธารีรัตนาวิบูลย์ กรรมการบริหาร บริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด(มหาชน)หรือ AIEผู้ผลิตและจำหน่ายพลังงานทดแทนน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม และน้ำมันพืช ภายใต้แบรนด์ “พาโมลา” ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้
นิตยสารบิส โฟกัส : แผนการลงทุนในปัจจุบัน
คุณอนุรักษ์ :ปัจจุบันบริษัทได้มีการลงทุนใน 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 1. โครงการติดตั้งเครื่องจักรผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากกรดไขมันปาล์ม โดยบริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมโดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีเพื่อพัฒนาการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลให้สามารถรองรับวัตถุดิบตั้งต้นที่มีต้นทุนต่ำกว่าน้ำมันปาล์มดิบที่บริษัทใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ 70 ตัน/วัน โดยเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา คาดจะแล้วเสร็จและเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตในเดือนมิถุนายน 2557
2. โครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตไบโอดีเซลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการนำเมทานอลที่มีคุณสมบัติในการทำปฏิกิริยาให้ติดไฟ (Solvent) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงเมทานอลจากกระบวนการผลิตได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้ดำเนินการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว
3. โครงการก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเพื่อรองรับน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มมากขึ้น โดยก่อสร้างทั้งหมด 6 ถัง ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 3 ถัง ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และอีก 3 ถังที่เหลือ คาดจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมปีนี้ และ 4. โครงการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 400 ตัน/วัน โดยการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 150 ตัน/วัน
สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะสามารถคืนทุนและรับรู้รายได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ถ้าหากตลาดยังไม่มีการปรับลดราคาน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันไบโอดีเซล และภาครัฐมีระบบการควบคุมราคาน้ำมันให้คงที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทจะสามารถรับรู้กำไรตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
นิตยสารบิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปีนี้
คุณอนุรักษ์ : บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการทำสัญญาซื้อขายน้ำมันไบโอดีเซลกับลูกค้าในปี 2557 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิม อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ BCP บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC เป็นต้น
นิตยสารบิส โฟกัส : แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ
คุณอนุรักษ์ : บริษัทมีการผลิตน้ำมันบริโภคอยู่ที่ 30% และน้ำมันไบโอดีเซล 70% โดยน้ำมันบริโภคมีการผลิตและจำหน่ายคงที่ ซึ่งจะเป็นไปตามการเติบโตของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่จะไม่รวดเร็วมากนัก นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา เป็นต้น
ส่วนน้ำมันไบโอดีเซลมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในปัจจุบันนโยบายของภาครัฐกำหนดให้ปรับลดการผลิต B7 เนื่องจากประสบปัญหาในเรื่องของวัตถุดิบที่ไม่เพียงพอต่อการผลิต ซึ่งปรับลดลงเหลือ B4 หรือ B5 อย่างไรก็ตามหลังจากนี้อีกประมาณ 2 เดือน ผลปาล์มดิบชุดใหม่ก็จะออกมาสู่ตลาดมากขึ้น และต้องดำเนินการผลิต B7 ต่ออย่างแน่นอน ซึ่งทางบริษัทได้มีการขยายเครื่องจักรและถังเก็บเพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
นิตยสารบิส โฟกัส : การรับรองคุณภาพและมาตรฐานต่างๆ
คุณอนุรักษ์ :บริษัทมีเครื่องจักรในกระบวนการผลิตและระบบการจัดการในโรงงานที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงคุณภาพเป็นหลัก ซึ่งผลิตน้ำมันปาล์มดิบสกัดจากผลปาล์มที่มีความสดและคุณภาพดี อีกทั้งการผลิตจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายควบคุมคุณภาพ (QC) ทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานตั้งแต่การรับเข้าวัตถุดิบ, ระหว่างผลิต, บรรจุ, การเก็บรักษาและตลอดจนการจัดจำหน่าย
นอกจากนี้บริษัทยังมีห้อง Lab ในการตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น และได้ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานของกระทรวงพลังงานซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของผู้ประกอบการ รวมทั้งได้รับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2008, GMP, HACCP, HALAL, KOSHER, มอก. และ อ.ย.
นิตยสารบิส โฟกัส : หลักในการบริหารองค์กร
คุณอนุรักษ์ :บริษัทมีการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO ต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัวควบคุมคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงบริษัทยังมีการอบรมพนักงานทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งมีระบบในการดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ ที่ได้มีการร่วมกันวางแผนไว้ และล่าสุดบริษัทได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งได้มีการวางแผนการดำเนินงานมาหลายปี มีการตรวจสอบและประเมินคุณภาพทุกปี จึงทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ลูกค้า และซัพพลายเออร์ ตลอดมา
นิตยสารบิส โฟกัส : สิ่งที่อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน
คุณอนุรักษ์ :เนื่องจากที่ผ่านมาไม่สามารถควบคุมปริมาณการส่งออกได้อย่างชัดเจนหากมีแบ่งสัดส่วนในการส่งออกมากเกินไป จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล และจำเป็นที่จะต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศมาทดแทนในส่วนที่ไม่เพียงพอจึงก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น
ตนจึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลและควบคุมปริมาณการส่งออกให้อยู่ในโควตาที่กำหนด และไม่ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ หากมีการควบคุมได้จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนในการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศได้มากขึ้น
C.P. Land เปิดแผนการลงทุน ลั่นภายใน 5 ปี ปักธงรบครบ 77 จังหวัด
C.P. Land ประกาศแผนการลงทุนเตรียมพัฒนาโปรเจคใหม่กว่า 20 จังหวัด คาดปีนี้โกยกำไรพันล้าน พร้อมตั้งเป้าภายใน 5 ปี ผงาดครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ
คุณสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 20 จังหวัด มูลค่าการลงทุน 15,000 ล้านบาท โดยประกอบด้วย คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว อาคารสำนักงาน รวมทั้งโรงแรมอีก 4 แห่งทั้งในส่วนของการก่อสร้างใหม่และซื้อโรงแรมเก่านำมาปรับปรุงใหม่
ส่วนการลงทุนในกรุงเทพฯ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยอาคารสำนักงานและรีเทล ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน 3 แปลงในย่านถนนวิภาวดีรังสิตและถนนรัชดาภิเษก เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท รวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC )
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนปรับโฉมซี.พี. ทาวเวอร์ สีลม ในส่วนของบริเวณด้านหน้าอาคาร ซึ่งจะใช้งบประมาณในการดำเนินการ 80 ล้านบาท โดยเป็นโครงการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรจีน ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้
คุณสุนทรกล่าวต่อว่าในปีนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไร 1,000 ล้านบาทและมีแนวโน้มความเป็นไปได้สูง เพราะบริษัทมีแผนการดำเนินงานอย่างชัดเจนและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยรายได้จะมาจาก 1. คอนโดมิเนียม ซึ่งปัจจุบันมี Backlog ไม่ต่ำกว่า 5,000 ยูนิต ราคา 1,300,000-1,500,000 บาท/ยูนิต ซึ่งในปีนี้จะทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้รายได้ 3,000 ยูนิต
2. รายได้จากการรับบริหาร 3 อาคาร ( ซี.พี. ทาวเวอร์ สีลม, ฟอร์จูนทาวน์, พญาไท) ซึ่งบริษัทได้นำเข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ซี.พี.ทาวเวอร์ โกรท มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท และจะมีรายรับตามสัดส่วนการถือหุ้น 33% 3. รายได้จากทั้งอาคารสำนักงานให้เช่าในต่างจังหวัด อาทิ ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น 4. รายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่าที่จะสร้างเสร็จในปีนี้ 5. รายได้จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว
“ปีนี้ เราตั้งเป้ากำไร 1,000 ล้านบาท เรามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เพราะโครงการที่เรามีในช่วง 2 ปีไปได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต่างจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนพฤศจิกายนในปีที่ผ่านมา เราเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกัลปพฤกษ์ที่เชียงราย มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งขายหมดภายใน 2 สัปดาห์ เป็นต้น ตอนนี้เรามีความพร้อมหลายด้าน มีกำลังทุนที่พร้อมจะลงทุน เราสามารถที่จะกู้ได้ในราคาดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเพราะชื่อเสียงของเรา เรามีวงเงินที่ใช้แบบไม่ต้องเสนอเป็นโครงการ เราซื้อเพื่อทำ ถ้าที่ดินที่เรามองไว้ราคา พันล้าน เรามีตุนไว้เยอะสามารถซื้อที่ได้ 3 แปลงพร้อมกัน”คุณสุนทรกล่าว
คุณสุนทรกล่าวต่อถึงทิศทางการดำเนินงานในระยะเวลา 5 ปีว่า บริษัทตั้งเป้าจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ครบทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งอย่างน้อยจังหวัดละ 2 อาคาร จากปัจจุบันที่ได้พัฒนาลงทุนไปแล้ว 16 จังหวัดทั้งในรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว อาคารสำนักงานให้เช่า อาทิ ขอนแก่น นครศรีธรรมราช นครราชสีมา อุดรธานี กาญจนบุรี ราชบุรี พิษณุโลก ลำปาง เชียงราย เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่ายังเติบโตได้ประมาณ 5% หากมีการลงทุนต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการลงทุนของภาครัฐอย่างน้อย 15% จากเงินงบประมาณแต่ละปีที่อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องระมัดระวังคือความเชื่อมั่นและย้ายฐานการลงทุนของต่างชาติไปยังประเทศที่การเมืองนิ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ ดังนั้นภาคเอกชนควรจะมีการลงทุนด้วยตนเองมากขึ้น
“ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมเรื่องการค้า ประเทศของเราแข็งแกร่งได้ก็เพราะเรื่องค้าขาย หลายคนบอกว่าเราเติบโตช้า แต่เราก็ฟื้นตัวเร็ว เรามีภาคเอกชนที่ค้าขายเป็นไม่แพ้ประเทศใดๆ ในอาเซียน บางครั้งถึงแม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราโตช้า แต่ตนมั่นใจว่าเราจะโตเกิน 5% ถ้ามีการลงทุน ” คุณสุนทรกล่าว
คุณสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด(มหาชน) พบปะสื่อมวลชนในโอกาสเปิดแผนการดำเนินงานในปี 2557
{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_012/cpland/photo{/gallery}
สินธรณีเทงบ 800 ลบ. เนรมิต “วิคตอเรีย การ์เด้นส์”
สินธรณี ทุ่มงบกว่า 800 ลบ. ผุดโครงการ“วิคตอเรีย การ์เด้นส์” บนพื้นที่ 20 ไร่ จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พร้อมโชว์ผลงานเยี่ยมอวดผลประกอบการปี 56 โตเพิ่ม 20-30%
คุณวุฒิชัย เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการบริษัท สินธรณี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการ“วิคตอเรีย การ์เด้นส์ (Victoria Gardens)” ศูนย์การค้าสำหรับคนเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทันสมัย โดยใช้งบลงทุนในการก่อสร้าง 800 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ติดถนนเพชรเกษม ซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา คาดจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2557
ขณะนี้มีความคืบหน้า 50% คาดจะสามารถคืนทุนและรับรู้กำไรได้ประมาณ 7 ปี ทั้งนี้บริษัทได้เริ่มเปิดจองพื้นที่ให้เช่าตั้งแต่ต้นปี 2556 ล่าสุดมียอดการจองพื้นที่แล้วกว่า 70% และคาดว่าจะสามารถปิดยอดการเช่าพื้นที่ได้ในไตรมาสแรกของปีนี้
โครงการวิคตอเรีย การ์เด้นส์ ได้รับแรงบันดาลใจจากกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมสวนสวยสไตล์วิคตอเรีย อังกฤษครบครัน ด้วยสินค้าจากร้านค้าแบรนด์ดังกว่า 200 ร้าน มีพื้นที่ให้เช่า 14,000 ตร.ม.และพื้นที่จอดรถที่สามารถรองรับได้ถึง 500 คัน รวมทั้งศูนย์การศึกษาคุณภาพ ร้านอาหารชั้นนำ สถาบันการเงิน และซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนของกลุ่มครอบครัว นักเรียน-นักศึกษา และรองรับกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการจุดนัดพบเพื่อเจรจาธุรกิจ หรือใช้เป็นที่สังสรรค์แห่งใหม่
ด้านจุดเด่นของโครงการคือตั้งอยู่ในทำเลที่การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเข้า-ออกได้จากถนนสายหลักเพชรเกษม และซอยเพชรเกษม 69 ซึ่งเชื่อมต่อถนนสำคัญอีกหลายสาย เช่น ถนนเอกชัย, ถนนพระราม 2, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี, ถนนพุทธมณฑลสาย 2, 3 และสาย 4 เป็นต้น มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมถึงมีกิจกรรมการตลาดภายในศูนย์การค้าตลอดปีเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ตลอดจนกิจกรรมด้านสุขภาพ ธรรมะ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และของดีประจำชุมชนต่างๆ
"เรามองว่าถนนเพชรเกษมเป็นทำเลที่จะเป็นจุดสำคัญ เราได้ทำการสำรวจแล้วพบว่ากลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ใกล้เคียงมีกำลังซื้อสูง ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ และมีบุตรหลานอยู่ในวัยกำลังศึกษา ซึ่งต้องการสถาบันกวดวิชาที่อยู่ใกล้บ้านและสะดวกต่อการเดินทาง ประกอบกับมีบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในขณะที่บริเวณดังกล่าวยังไม่มีศูนย์การค้าในลักษณะคอมมูนิตี้มอลล์เลย เราจึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการวิคตอเรีย การ์เด้นส์ " คุณวุฒิชัยกล่าว
คุณวุฒิชัยกล่าวต่อว่าในปีที่ผ่านมาผลประกอบการเติบโตเพิ่ม 20- 30%เมื่อเทียบกับปี 2555 โดยมีปัจจัยมาจาก1. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีสูงขึ้น 2.การทำตลาดและการขายเชิงรุกมากขึ้น 3.มีการพัฒนา Product ให้ตรงกับความต้องการลูกค้า และ 4.ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวองค์กร จึงมีการบอกต่อแนะนำ
ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทได้เดินหน้ากลยุทธ์การเติบโต ใน Segment ที่บริษัทมีความแข็งแกร่งและมุ่งเน้นไปทางด้านคอมเมอร์เชียลมากกว่าที่อยู่อาศัย รวมถึงการบริการในรูปแบบการให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน โรงแรม รีเทล (ค้าปลีก) หรือ สำนักงานสำเร็จรูป ทั้งนี้บริษัทคาดว่าแนวโน้มการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาพรวมของเศรษฐกิจ การขยายเมือง ขยายเส้นทางการคมนาคมการสร้างรถไฟฟ้าต่าง ๆ ทำให้เกิดการลงทุนในทุกภาคส่วน
{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_012/victoria/photo{/gallery}
แกรนด์ยูนิตี้ปลื้ม“ยู ดีไลท์เรสซิเดนซ์” กระแสตอบรับดี
แกรนด์ยูนิตี้เปิดตัวโครงการ“ยู ดีไลท์เรสซิเดนซ์”คอนมิเนียมสไตล์บ้านเดี่ยว ย่านทำเลทองพัฒนาการ-ทองหล่อ มูลค่าโครงการรวม 1,500 ลบ. ฟุ้งลูกค้าให้การตอบรับดีโดยมียอดขายกว่า90% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3,300 ลบ. ส่วนปี 2558 คาดรายได้พุ่ง 6,500 ลบ. มั่นใจตัวเลขเข้าเป้าโดยมี Backlog กว่า 8,000 ลบ.
คุณเนรมิต สร้างเอี่ยม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัดเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการยู ดีไลท์ว่าเป็นคอนโดมิเนียมสูง 27 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ 4 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา ตั้งอยู่ในย่านทำเลทองแถวพัฒนาการ – ทองหล่อ มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณเดือนพฤษภาคม 2555และแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน รวมทั้งได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าแล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
โครงการยู ดีไลท์เรสซิเดนซ์ (พัฒนาการ - ทองหล่อ) มีทั้งหมด 676 ยูนิต ประกอบด้วย 1 Bed Room มีพื้นที่ใช้สอย 26 ตร.ม., 1 Bed Room Panoมีพื้นที่ใช้สอย 35 ตร.ม., 1 Bed Room Plus มีพื้นที่ใช้สอย 37 ตร.ม., 1 Bed Room Deluxe มีพื้นที่ใช้สอย 40 ตร.ม.และ 2+1 Bed Room มีพื้นที่ใช้สอย 70 ตร.ม.
ทั้งนี้ภายในโครงการประกอบไปด้วย 1. Gate Community ประตู้รั้วเปิด-ปิดอัตโนมัติ ด้วยระบบ RFID พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง และกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ 2. โถงต้อนรับ มีการออกแบบเรียบง่าย สบายทั้งการมองเห็นและสัมผัสได้จริงในบรรยากาศแบบ Semi-Outdoor 3. คลื่นสนามหญ้า ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเดินเล่น พักผ่อน รายล้อมด้วยธรรมชาติ
4. ห้องสมุด 2 ชั้น ออกแบบให้อยู่ริมอาคารฝั่งที่ติดกับคลองเพื่อให้ได้บรรยากาศของการพักผ่อนในวันว่างไม่ว่าจะเป็นมุมชั้นล่างโปร่งโล่งหรือความเป็นส่วนตัวที่ชั้นบน5. ศาลาท่าน้ำ บรรยากาศธรรมชาติริมน้ำ เหมาะสำหรับการผ่อนคลายทำกิจกรรมสบายๆในครอบครัว 6. สระบัว รายล้อมด้วยธรรมชาติสไตล์ไม่น้ำไทยๆ เพิ่มบรรยากาศให้น่าอยู่ ร่มรื่นใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น
7. Jogging Lane อออกกำลังกายด้วยจ๊อกกิ้งเลนบนดาดฟ้ากลางพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 8. ห้องออกกำลังกายและ Sauna & Steam รวมความครบครันทุกความต้องการในที่เดียว ทั้งการออกกำลังกาย และผ่อนคลายในแต่ละวัน และ 9. Infinity-edged Swimming Pool สระว่ายน้ำดีไซน์พิเศษเสมือนไร้ขอบกั้นระหว่างคุณกับอิสระของท้องฟ้า
สำหรับจุดเด่นของโครงการคือขนาดห้องหน้ากว้าง7.6 เมตร โดยทุกห้องจะติดเป็นผนังกระจกเพื่อให้สามารถรับแสงสว่างได้ยามเช้า รวมทั้งสามารถชมวิวทิวทัศน์ข้างนอกได้อย่างลงตัวและทำให้ห้องดูกว้างขวางไม่อึดอัด ส่วนการจัดแบ่งพื้นที่ห้องได้ถูกคำนวณมาเป็นอย่างดีซึ่งทำให้ระยะการใช้สอยต่างๆลงตัวให้ความรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว
โดยสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยตำแหน่งที่ตั้งในการเดินทางที่สะดวกสบาย บนโลเคชั่นใหม่ที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง อยู่ไม่ไกลจากทองหล่อ เดินทางเข้าสู่ย่าน CBD ได้ง่าย เพราะใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนและสถานีรถไฟฟ้า Airport Link ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิไม่มาก อีกทั้งยังเดินทางออกไปตากอากาศยังแหล่งพักผ่อนชายทะเลบางแสน พัทยาได้อย่างรวดเร็ว
“กระแสตอบรับจากลูกค้าที่มีต่อโครงการยูดีไลท์ดีมาก ทั้งในด้านยอดขายและการเข้าอยู่อาศัยโดยสามารถสังเกตได้จากจำนวนลูกค้าที่ย้ายเข้าอยู่อาศัยในโครงการ ขณะนี้บริษัทมียอดขายกว่า 90% โดยลูกค้าส่วนใหญ่ 90% เป็นคนไทย อีก10%เ ป็นชาวต่างชาติ” คุณเนรมิตกล่าว
คุณเนรมิตกล่าวต่อถึงผลประกอบการว่าบริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปี 2556 อยู่ที่ 3,300ล้านบาท ส่วนในปี 2557 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ถึง 4,500ล้านบาท และในปี 2558 คาดการณ์รับรู้รายได้ที่ 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทคาดว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากในปี 2557-2558 บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการเพิ่มอีกหลายโครงการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอดขายและรับรู้รายได้ให้บริษัทเป็นจำนวนมาก
“ ตนมั่นใจว่ายอดขายจะเป็นไปตามเป้าไว้อย่างแน่อนอนถึงเม้ว่าตัวเลขที่ตั้งเป้าไว้ค่อนข้างสูง เพราะปัจจุบันเรามียอดขายที่อยู่ในมือประมาณ 8,000 ล้าน หมายถึงเรามี Backlog รอรับรู้รายได้ คือเราขายไปแล้ว เราก็มาสร้าง สร้างเสร็จแล้วก็ไปโอน ตอนนี้เรากำลังก่อสร้างอยู่ เพราะฉะนั้น รายได้ปีหน้า 4,500 ล้านบาท ใช้มาแค่ครึ่งเดียวเอง ส่วนที่เหลือจะไปอยู่ในปี 2558 นอกจากนี้เราต้องเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอยู่แล้วในปี 2557-2558”คุณเนรมิตกล่าว
คุณเนรมิตกล่าวต่อถึงหลักการบริหารองค์กรว่าบริษัทดำเนินการบริหารภายใต้คำว่า F-A-M-E ซึ่งมีความความหมายว่า “ดีขึ้นทุกวัน” โดยต้องการให้พนักงานทุกคนทำทุกอย่างให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน สำหรับF-Foresee คือการมองไปข้างหน้า, A-Assure คือหลักในการทำงานที่สามารถรับประกันและมีการรับรองได้,M-Monitorคือ การตรวจสอบงานทุกอย่างได้ และ E-Enhance คือการต่อยอดที่ดีขึ้น
“ตนอยากทำให้แกรนด์ยูเป็นองค์กรที่มีประสิทธิ์และต้องการให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนไปถึงการทำงานด้วยนั้นคือทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงส่งเสริมให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิ์ภาพและประสิทธิผลรวมทั้งก้าวต่อไปอย่างเข็มแข็งอย่างยั่งยืนในอนาคต”คุณเนรมิตกล่าว
คุณเนรมิตกล่าวต่อถึงสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนและส่งเสริมคือการออกระเบียบในด้านการส่งเสริมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการมากกว่าที่จะออกระเบียบป้องกันต่างๆ เพราะในปัจจุบันการดำเนินการต่างๆ จะติดในเรื่องของระเบียบที่เป็นอุปสรรคทำให้การทำงานลำบากมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามหากมีการทำผิดกฏระเบียบที่ภาครัฐกำหนด ควรจะมีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงกว่าปกติเพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่นทำผิดซ้ำ
“ปัจจุบัน เอกชนไทยเก่งขึ้นมาก โดยส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครอยากทำผิดกฎหมาย เพราะเวลาที่เสียไปไม่คุ้มกัน ระเบียบภาครัฐต่างๆ ก็ควรที่จะออกมาในเชิงส่งเสริมไม่ใช่เพียงแต่ป้องกันคนไม่ดี ตนเชื่อว่าคนไม่ดีอาจจะมีเพียง 1% แต่ระเบียบจะไปกระทบต่อคนดีอีก 99% ที่เหลือ ซึ่งคนดีย่อมมีมากกว่าคนไม่ดี มิฉะนั้นประเทศของเราจะไม่โตมาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน”คุณเนรมิตกล่าว
วินโคสท์เปิดแผนการลงทุนหนุนต่อยอดธุรกิจ
คุณวินิตา จามิกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและกลยุทธ์ บริษัท สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์ จำกัด(มหาชน)ให้สัมภาษณ์นิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสระดมทุนพิเศษขยายอาคารคลังสินค้าและสำนักงาน พร้อมก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าเซลล์ รองรับการเติบโตของเขตอุตสาหกรรม พร้อมประเด็นอื่นๆ ดังนี้
บิส โฟกัส : เหตุผลที่ต้องการขยายการลงทุน
คุณวินิตา : การขยายการลงทุนของบริษัทในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและสอดคล้องกับแผนธุรกิจปี 2557 ซึ่งธุรกิจหลักของบริษัทยังคงเป็นการให้เช่าและบริการพื้นที่ทั้งในและนอกเขตปลอดอากรวินโคสท์ โดยได้พิจารณาการขยายพื้นที่ให้เช่าและบริการในส่วนที่สามารถบูรณาการได้เพื่อก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าบนหลังคาเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารคลังสินค้าส่วนที่เหลือ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอดีตซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นสวนอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ
บิส โฟกัส : มีการกำหนดวงเงินในการเพิ่มการลงทุนในครั้งนี้ไว้จำนวนเท่าใด
คุณวินิตา : จากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 136,479,939 หุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)
บิส โฟกัส : มีการเพิ่มการลงทุนในลักษณะใด
คุณวินิตา : จากการระดมทุนในรูปแบบของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ได้มีการจัดตั้งบริษัท ดับบลิว.โซล่า จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท โดยมีผู้ร่วมลงทุนคือบริษัท อินเตอร์ฟาร์อีส วิศวกรรม จำกัด(มหาชน)
บิส โฟกัส : การก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าเซลล์ในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อองค์กร
คุณวินิตา : โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารคลังสินค้า W2 จำนวนไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ถือเป็นโครงการนำร่องสำหรับการสร้างสัญลักษณ์สวนอุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนดำเนินการโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในเฟสต่อๆ ไป อีกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.5 เมกะวัตต์ ซึ่งนอกจากบริษัทจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนในระยะยาวจากการให้เช่าพื้นที่สำหรับผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นอกเหนือจากรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าภายในสวนอุตสาหกรรมแล้วยังเป็นการช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเป็นพลังงานสะอาดอีกด้วย
บิส โฟกัส : วางเป้าหมายการเติบโตในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปีนี้และปีหน้า
คุณวินิตา : สำหรับเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในปีนี้และปีหน้า บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับ จากแผนการขยายโครงการในธุรกิจหลักของบริษัทและโครงการต่างๆ ในบริษัทย่อย อาทิ การก่อสร้างอาคารคลังสินค้าเพิ่มเติม W8 W9 การขยายโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เฟส 2 เฟส 3 รวมถึงการขยายธุรกิจรองรับด้านยานยนต์ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการให้เช่า บริการและรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต
บิส โฟกัส : คาดว่าแนวโน้มการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
คุณวินิตา : แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนตามแผนธุรกิจในแต่ละปีว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยแผนในการขยายโครงการต่างๆ นั้น บริษัทคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปี 2557 ถึงปี 2558 ตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้
บิส โฟกัส : แนวโน้มทางการตลาดในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่จะเป็นอย่างไรในปีนี้และปีหน้า
คุณวินิตา : เนื่องจากธุรกิจให้เช่าและบริการพื้นที่เขตปลอดอากรของบริษัท บริษัทได้มุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่และบริการแก่กลุ่มลูกค้าที่จะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของเขตปลอดอากรได้อย่างเต็มที่ โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้แก่ ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตและส่งออก กลุ่มผู้ประกอบการด้านคลังสินค้า ฯลฯ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรได้สูงสุด
ปัจจุบันลูกค้าที่เช่าพื้นที่ส่วนใหญ่เช่าเป็นสัญญาระยะยาว 3 ปี จึงทำให้บริษัทสามารถประมาณการรายได้ของบริษัทได้ค่อนข้างแน่นอน อีกทั้งแนวโน้มของตลาดในธุรกิจประเภทนี้ บริษัทเน้นผู้ประกอบการขนาดกลางถึงขนาดย่อม ซึ่งพื้นที่ให้เช่าและบริการของบริษัท ถือเป็นพื้นที่ที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สามารถเอื้อประโยชน์ทั้งเรื่องสิทธิของเขตปลอดอากรให้แก่ผู้เช่าและความสะดวกด้านการขนส่งและคมนาคม ดังนั้นแนวโน้มทางการตลาดในธุรกิจของบริษัทในปีนี้และปีหน้าจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้นตามลำดับ
บิส โฟกัส : ข้อเสนอแนะที่อยากให้ภาครัฐรับทราบเพื่อให้นำแนวทางจากผู้ประกอบการไปพัฒนาอุตสาหกรรม หรือข้อเสนอแนะที่อยากให้ภาครัฐเข้าส่งเสริมหรือสนับสนุนพิเศษ
คุณวินิตา : ขอเสนอแนะเรื่องการอำนวยความสะดวกในการประสานงานกับหน่วยงานราชการในการยื่นเรื่อง การขอเอกสารและใบอนุญาตต่างๆ ให้มีความรวดเร็วและช่วยลดขั้นตอนในการดำเนินการรวมทั้งเรื่องการเพิ่มช่องทางในการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อสนับสนุนเรื่องการขนส่งสินค้า เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการผลิตและขนส่งสินค้าออกสู่ตลาด
ส่วนเรื่องที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนคือเรื่องการเพิ่มใบอนุญาตเพื่อสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากส่วนของผู้ประกอบการในสวนอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมจะสามารถช่วยเรื่องการผลิตพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและเป็นการช่วยส่งเสริมรายได้ในภาคธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย
วี สุขุมวิทปลื้ม “เอช สุขุมวิท 43” แรงต่อเนื่อง
วี สุขุมวิทฟุ้งโปรเจคเอช สุขุมวิท43 กระแสตอบรับดีเยี่ยม คาดสามารถปิดการขาย 100% ก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จ ชูจุดเด่นเข้า-ออกได้ 3 เส้นทาง สิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านเท่านั้น แย้มโปรเจคใหม่ เล็งเปิดตัวในย่านทำเลเดิมปลายปีหน้า
คุณกฤษฎา เพ่งวรรธนะ รองประธาน บริษัท วี สุขุมวิท 43 ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการเอช สุขุมวิท 43 เปิดเผยว่าโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมขนาดความสูง 31 ชั้น จำนวน 290 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2556 ที่ผ่านมา คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้และพร้อมโอนกรรมสิทธ์ให้แก่ลูกค้าประมาณไตรมาสแรกปีหน้า
ปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าในภาพรวมประมาณ 50-60% โดยงานโครงสร้างได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับงานที่เหลืออีก 40% จะอยู่ในส่วนของสถาปัตย์และการตกแต่งภายใน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความมั่นใจว่าการก่อสร้างจะเสร็จทันตามกำหนดที่วางไว้อย่างแน่นอน เนื่องจากในขณะนี้ งานตกแต่งภายในได้ดำเนินการในชั้นที่ 9 แล้ว ส่วนกลุ่มเป้าหมายของโครงการคือลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติในสัดส่วน 60 : 40
ด้านแผนประชาสัมพันธ์โครงการ บริษัทได้ใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทผ่านสื่อต่างๆ ทั้ง Above the line และ Below the line อาทิ หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน บิลบอร์ด วิทยุ เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการเป็นต้นมา โดยผลตอบรับค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจขณะนี้มียอดขายประมาณ 95% แล้ว คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ 100% ก่อนการก่อสร้างเสร็จอย่างแน่นอน เนื่องจากขณะนี้มีห้องพักที่ยังไม่จำหน่ายเพียง 10 ห้องเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากจะให้ลูกค้าเข้ามาจับจองเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดังกล่าว
สำหรับจุดเด่นของโครงการคือการเดินทางที่สะดวกสามารถเข้าออกโครงการ โดยสามารทะลุเข้า-ออกซอยสุขุมวิท 39 ซอยทองหล่อและทะลุถนนเพชรบุรีได้ ซึ่งเป็นทางผ่านส่วนตัวของโครงการและเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านเท่านั้นที่นอกเหนือจากการเดินทางเข้า-ออกผ่านซอยสุขุมวิท 43 ซึ่งเป็นซอยตันทั้งนี้บริษัทมีที่ดินจำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกบริษัทสร้างเป็นตัวอาคารที่พักอาศัยดังกล่าว ส่วนอีกแปลงหนึ่งจะใช้เป็นทางเข้าออกของโครงการ
“เดิมโครงการมีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ แต่เราได้ซื้อที่ด้านข้างเพิ่มอีกประมาณ 1 ไร่ซึ่งเป็นที่ว่างให้ลูกบ้านสามารถเดินทางผ่านเข้าออกไปทะลุซอย 39 ซอยทองหล่อและถนนเพชรบุรีได้ทั้งสองฝั่ง โดยเลี้ยวขวาจะไปออกทองหล่อ เลี้ยวซ้ายออกเพชรบุรี ซึ่งนับเป็นจุดเด่นสำคัญของโครงการ ที่ทำให้ซอยตันไม่ตันและทำให้ลูกบ้านสามารถเดินทางเข้าสู่โครงการได้ 3 ทาง ไม่จำเป็นต้องเข้า-ออกผ่านซอยสุขุมวิท 43 เพียงทางเดียว” คุณกฤษฎากล่าว
คุณกฤษฎากล่าวต่อถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยในด้านสาธารณูปโภคว่าบริษัทจะไม่บริหารจัดการโครงการเอง แต่จะจ้างนิติบุคลซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำและมีมาตรฐานเข้ามาดำเนินการ ดังนั้นขอให้ลูกบ้านสบายใจได้ว่าโครงการจะถูกการจัดการด้วยบริษัทที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างลงตัวและรู้สึกคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป โดยภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำ Fitness Sauna Room H-Sky Lounge Business Center and Library Kids Zone Sky Yoga เป็นต้น
“มันเป็นนโยบายของเราที่มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมาย ได้รับของที่พรีเมี่ยมกว่า ทำเลที่ดีกว่า ราคาที่ถูกกว่าเพราะเราต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายที่ใหญ่กว่า โครงการนี้ถือว่าไม่น้อยหน้ากว่าบริษัทมหาชน ยอดขายของเราดีมาก ด้วยตัวโครงการที่ใช้วัสดุอย่างดี ในราคาที่สมเหตุสมผล โครงการของเราเป็นคอนโดมิเนียมที่ถูกที่สุดในย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นทำเลที่มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งมีคอนโดมิเนียมเปิดตัวอย่างต่อเนื่องและบริษัทมหาชนก็เข้ามาลงทุนกันเยอะมากทำให้ราคาในปัจจุบันค่อนข้างสูง ”คุณกฤษฎากล่าว
ส่วนเหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเข้ามาพัฒนาโครงการดังกล่าว เนื่องจากมองว่าในย่านสุขุมวิทยังมีดีมานด์สูง ทำให้โครงการต่างๆ ที่เปิดในโซนนี้ยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าราคาจะสูงแต่มียอดการจับจองอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการนี้สามารถตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือชาวไทยที่ต้องการที่พักอาศัยท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้งและในอนาคตอันใกล้นี้จะยกระดับเป็นโซนช้อปปิ้งลักซ์ชัวรี่
สำหรับโครงการต่อเนื่องในอนาคต บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านสุขุมวิท ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในราวช่วงปลายปีหน้าเพราะบริษัทต้องการที่จะปิดโครงการ H SUKHUMVIT 43 ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน โดยจะยังคงเป็นรูปแบบคอนโดมิเนียมเช่นเดิม เน้นคุณภาพในทำเลที่ดี ราคาเหมาะสม รวมทั้งการใช้วัสดุชั้นนำและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนี้บริษัทมีความมั่นใจว่ายังมีฐานลูกค้าเดิมที่อยากซื้อโครงการของบริษัทและหากบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ ลูกค้าคงให้การตอบรับดีเช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา
คุณกฤษฎากล่าวในตอนท้ายถึงเป้าผลประกอบการว่าในปีนี้บริษัทไม่ได้ตั้งตัวเลขไว้สูง เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา( 2555-2556) มียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2556 บริษัทได้ขายสินค้าไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผลประกอบการของปีนี้จึงตั้งไว้ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เพราะมีห้องพักเหลือไม่มาก ประกอบกับยังไม่มีโครงการใหม่ในปีนี้
อิคาริ เทรดดิ้งคว้า อย. ควอลิตี้ อวอร์ด
อิคาริ เทรดดิ้งการันตีคุณภาพรับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนจากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเปิดแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์รับตลาดโตในอนาคต
คุณอรรณพ วงศ์ธิติโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิคาริ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิต-จำหน่าย ไฟดักแมลง เตาย่อยสลายพลังงานแม่เหล็กถาวรและผลิตภัณฑ์กำจัดลูกน้ำยุงลาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปิดเผยว่าบริษัทได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนจากกระทรวงสาธารณสุขโดยได้รับมอบรางวัลจากนพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย
“เราได้รับรางวัลอย. ควอลิตี้ อวอร์ด เนื่องจากเรานำระบบมาตรฐานสากลจากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ เรามีการพัฒนาระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราได้รับการประเมินจากอย. และตรงตามเกณฑ์มาตรฐานที่ทางอย. กำหนดจึงทำให้เราได้รับรางวัลนี้ ซึ่งได้รับเป็นปีแรกและเราจะรักษาและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” คุณอรรณพกล่าว
สำหรับประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการได้รับรางวัลนี้ คุณอรรณพกล่าวว่าเป็นโอกาสดีที่จะเผยแพร่ชื่อเสียงขององค์กรให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลด้วยกันและหน่วยงานอื่นๆ จากภาครัฐและเอกชนรวมทั้งการการันตีคุณภาพในการผลิตสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้พนักงานของบริษัทยังเกิดความภาคภูมิใจและเล็งเห็นถึงความสำเร็จที่ได้รับ ซึ่งเกิดจากความคิดและความร่วมมือของพนักงานทุกคน
“การรับรางวัลในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อบริษัทในหลายๆ ด้าน ทั้งภายในและภายนอกองค์กร แต่เราจะดีใจกับรางวัลนี้และไม่พัฒนาอะไรต่อไม่ได้ เราจะต้องมาคิดต่อยอดเพิ่มเติมจากเดิม ในเรื่องวิธีการรักษาคุณภาพให้คงที่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระดับที่ดีกว่าเดิมรวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และสามารถตอบโจทย์ในการใช้งานได้อย่างครอบคลุม” คุณอรรณพกล่าว
คุณอรรณพกล่าวต่อถึงการเติบโตของบริษัทว่าจะมุ่งเน้นปริมาณของงาน ซึ่งในปี 2556 ที่ผ่านมา มีปริมาณงานเพิ่มขึ้นเกิน 40% จากปี 2555 โดยจะมีการวางแผนในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นหลักเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสามารถนำไปพัฒนาได้ในหลายๆ ด้านเพื่อต่อยอดในอนาคต
ส่วนในปี 2558 บริษัทได้มีการวางแผนการลงทุนในด้านต่างๆ อาทิ ด้านออโตเมชั่น การพัฒนาR&D การพัฒนาบุคลากรและอื่นๆ เป็นต้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องการขยาย Production House เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1-2 โรงงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตซึ่งจะต้องมีการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่ม คาดว่างบประมาณในการลงทุนครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามงบการลงทุนที่กล่าวไว้เบื้องต้นจะต้องพิจารณาในเรื่องของศักยภาพของบริษัท ปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าและผลกระทบจากการเมืองที่ยังไม่แน่นอนร่วมด้วย เนื่องจากการลงทุนในแต่ละครั้งมีความเสี่ยงสูงจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบในหลายๆ ด้านร่วมกันก่อนจะลงทุนคาดจะเป็นรูปธรรมได้ประมาณปี 2558
คุณอรรณพกล่าวต่อว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทจำหน่ายในประเทศ 70% และอีก 30% ส่งออกต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย สปป.ลาว อินเดีย เป็นต้น โดยบริษัทมีลูกค้าหลากหลายกลุ่มประกอบด้วย กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสาธารณสุข (องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลต่างๆ ) รวมทั้งสถาบันต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการรับรองมาตรฐานและรางวัลต่างๆ ได้แก่ 1.GMP 2.ISO 9001 : 2008 3.CLIENT OF THE YEAR 2008 award from TQCS INTERNATIONAL, Australia 4.STI THAILAND AWARD 2012 ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (นวัตกรรมสีเขียว - GREEN INNOVATION) ระดับพื้นที่กรุงเทพมหานครประเภทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 5.รางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
เซออน เคมิคัลส์ คว้ารางวัลธรรมาภิบาล 2556
คุณยูทากะ อิโซซากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัสในโอกาสได้รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยประจำปี 2556 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดังนี้
บิส โฟกัส : บริษัทมีแนวทางการบริหารงานอย่างไรจึงได้รับรางวัลดังกล่าว
คุณยูทากะ : บริษัทมีนโยบายของบริษัทหลักๆ 4 เรื่องคือคุณภาพ (Quality) ความปลอดภัย (Safety) สิ่งแวดล้อม (Environment) และความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยเราให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการไม่เกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานต่อเนื่องเป็นเวลา 2,337 วัน (ข้อมูลสิ้นปี 2555) รวมทั้งการได้รับมาตรฐานระดับโลกต่างๆ เช่น OHSAS18001 ISO14001 เป็นต้น นอกจากนั้นเรายังมีระบบการจัดการของเสียภายในโรงงานที่ดีเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน
บิส โฟกัส : แผนดำเนินการที่ทำให้ได้รับรางวัลนี้
คุณยูทากะ : บริษัทมีการสานต่อโครงการที่ทำเพื่อสังคมมาต่อเนื่องกว่า 3 ปีแล้ว ทั้งกิจกรรมภายนอกและภายใน ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมภายนอก ได้แก่การมอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง การนำระบบที่ทันสมัยมาใช้จัดการระบบสิ่งแวดล้อมภายในโรงงานเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง เป็นต้น ส่วนกิจกรรมภายใน เราจัดให้มีกิจกรรมสำหรับพนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 90 คน ไม่ว่าจะเป็น ปาร์ตี้ประจำปี ทริปท่องเที่ยวและการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนทุกปี เพื่อให้พนักงานมีมาตรฐานชีวิตที่ดี โดยกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้รับรางวัลธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยประจำปี 2556 จาก กนอ.
บิส โฟกัส : ความเป็นมาของเซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์)
คุณยูทากะ : เรามีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ชื่อว่า เซออน คอร์ปอเรชั่น โดยบริษัทแม่มีบริษัทในเครืออยู่ในหลายประเทศทั่วโลกและเซออน เคมิคัลส์ (ไทยแลนด์) คือหนึ่งในนั้น แต่เราแยกการบริหารจัดการและการผลิตออกจากบริษัทแม่โดยสิ้นเชิง
เรามุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มลูกค้าในโซนเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อปีที่ผ่านมา เรามีการขยายโรงงานแห่งที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกันเพิ่มอีก 1 โรงงานเพื่อรองรับกับฐานลูกค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บิส โฟกัส : กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท
คุณยูทากะ : บริษัทเป็นผู้ผลิต Quintone petroleum resin สำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์หลักๆ 4 กลุ่มคือ เทป 60% Hot Melt 20% Tire 5% และอื่นๆ 15% ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปต่างประเทศ 80% เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีก 20% จำหน่ายในประเทศ
สยามเซมเพอร์เมดคว้ารางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ครั้งที่ 4
สยามเซมเพอร์เมดตอกย้ำความสำเร็จรับรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 คาดมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับอีกปีหน้า เล็งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 1 หมื่นลบ.
คุณวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล Director บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) และผู้ถือหุ้นรายใหญ่บริษัท สยามเซมเพอร์เมด จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศและจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศเปิดเผยว่าบริษัทได้รับรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2557 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา
โดยรางวัลดังกล่าวได้รับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งได้รับครั้งแรกเมื่อปี 2552 และได้รับติดต่อกันอีก 2 ปีคือปี 2553-2554 และต้องเว้นระยะไว้อีก 2 ปี เนื่องจากเป็นไปตามกฎของ อย. ว่าจะต้องเว้นวรรคการเข้าร่วมประกวด อย.ควอลิตี้ อวอร์ด 2 ปี จึงจะส่งเข้าประกวดใหม่ได้
คุณวีรสิทธิ์กล่าวต่อว่าวัตถุประสงค์ในการขอรับรางวัลดังกล่าวเริ่มจากที่บริษัทเป็นผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์จึงเชิญ อย.เพื่อมาตรวจสอบคุณภาพทั้งสินค้า โรงงาน ระบบปฏิบัติการ การรักษาสิ่งแวดล้อมและการช่วยเหลือชุมชนในด้าน CSR และจากการที่ อย.เข้ามาตรวจสอบ ปรากฏว่าบริษัทผ่านในทุกประเด็นที่กล่าวมาเนื่องจากมีระบบคุณภาพมาตรฐานตามที่ อย.กำหนดจึงได้รับรางวัลในครั้งนี้
ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับคือความเชื่อมั่นและความมั่นใจจากลูกค้าเป็นอย่างดีว่าระบบการทำงานของบริษัทมีมาตรฐานรองรับซึ่งสามารถการันตีได้จากการที่บริษัทได้รับรองคุณภาพมาตรฐานจาก อย. นอกจากนี้ยังสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงานได้เป็นอย่างดีที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ส่งผลให้พนักงานมีกำลังใจและภาคภูมิใจในการทำงานเพื่อพัฒนาศักยภาพให้ได้รับรางวัลอีกในปีถัดไป
“พนักงานรู้สึกว่าการที่เขาได้ทำงานมาตลอดได้ผลตอบรับในเรื่องคุณภาพมาตรฐานจนได้รับรางวัลอย.ควอลิตี้ อวอร์ดในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากที่ได้ปฏิบัติงานมาอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนดซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นมาตรฐานที่ต้องปฏิบัติเพื่อสร้างแรงจูงใจเมื่อผลตอบรับกลับมาเป็นรางวัล” คุณวีรสิทธิ์กล่าว
คุณวีรสิทธิ์กล่าวต่อว่าบริษัทจะพัฒนาทั้งคุณภาพมาตรฐาน สินค้า ต้นทุน และด้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพขึ้นและคาดหวังว่าในอนาคตจะได้รับรางวัลนี้อีกต่อไป เนื่องจากทุกครั้งที่ส่งผลงานเข้ารับรางวัลดังกล่าวก็จะผ่านการพิจารณาจาก อย. ในทุกขั้นตอนจนได้รับรางวัลซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถการันตีได้เป็นอย่างดีว่าบริษัทใส่ใจในเรื่องคุณภาพมาตรฐานเป็นสำคัญ
ด้านยอดขายในปี 2556 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 9,600 ล้านบาท มีกำไร 980 ล้านบาทและในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าเนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 14,000 ล้านชิ้น/ปี
ซี.พี.แอล. เปิดแผนธุรกิจหนุนองค์กรโต
คุณสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.แอล.กรุ๊พ จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส โดยตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้ 1,800 ล้านบาท พร้อมวางแผนการดำเนินงานระยะกลางและยาวดันธุรกิจเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้
บิส โฟกัส : รายละเอียดเกี่ยวกับ ซี.พี.แอล.
คุณสุวัชชัย : เราดำเนินธุรกิจผลิตหนังวัวฟอกสำเร็จรูป ซึ่งเป็นธุรกิจเฉพาะด้าน ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของตราสินค้า (Brand Name) อาทิ Timberland , Adidas เป็นต้น โดยในช่วงเริ่มต้นธุรกิจจะมีแบรนด์ Nike ด้วย แต่ปัจจุบัน Nike ได้ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศแล้ว เราอยู่ในซัพพลายเออร์ลิส หมายความว่าคู่แข่งในเมืองไทยที่เป็นสัญชาติไทยด้วยกันแล้วไม่มี ทุกวันนี้คู่แข่งจะอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด ส่วนการสั่งออเดอร์จะมีคอมมิตเม้นท์ระหว่างลูกค้ากับเรา โดยประมาณ 90% จะเป็นออเดอร์ที่สั่งผ่านแบรนด์ ซึ่งจะไม่ใช่ออเดอร์ที่ลูกค้าทั่วไปเดินเข้ามาสั่ง แต่ก็มีบ้างในสัดส่วนประมาณ 10%
ปัจจุบันออเดอร์ของเราจะมาจาก Timberland 30% Adidas 30% และอื่นๆ 40% อาทิ รองเท้ากีฬา รองเท้าบูธ รองเท้าทั่วไป รองเท้าปีนเขา เป็นต้น ขณะนี้ออเดอร์ที่เราได้รับจะเป็นออเดอร์ ที่ลูกค้าจะทำการผลิตสินค้าสำหรับปลายปีนี้และต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นปีหน้า
บิส โฟกัส : เป้าผลประกอบการในปีนี้
คุณสุวัชชัย : ออเดอร์ของเราจะอยู่ที่ 24 ล้านตารางฟุต หรือคิดเป็นมูลค่า 1,800 ล้านบาท มาโดยตลอดทุกปี ส่วนในปีนี้ เรามีความมั่นใจว่าจะอยู่ในระดับนี้เช่นกัน เนื่องจากสินค้าของเราจะจำหน่ายในต่างประเทศ โดยตลาดหลักจะอยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ถึงแม้ว่าปัจจุบันศูนย์การผลิตรองเท้าจะอยู่ที่เอเชียก็ตาม อย่างเช่น อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม ซึ่งเราได้จัดส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้และเขาก็จะส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรปเพื่อผลิตเป็นรองเท้าต่อไป
ประกอบกับปัจจุบัน ปริมาณการสั่งซื้อรองเท้าจากสหรัฐอเมริกา มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก หลังจากประสบปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติอย่างเช่น พายุหิมะ เป็นต้น ส่งผลให้สต็อกสินค้าของลูกค้าเหลือน้อย ทำให้มีการสั่งซื้อเพิ่มเติมขึ้นมามาก ส่วนในโซนยุโรป ในปีนี้มีสัญญาณการใช้เงินที่มากขึ้น ไม่ได้ลดลงไปมากกว่าเดิม ทั้งนี้ตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะบาลานซ์กัน หากตลาดสหรัฐอเมริกาลดลง ตลาดในยุโรปก็จะขึ้น นอกจากนี้เรายังไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินเพราะในการซื้อสินค้าและจำหน่ายสินค้า เราจะใช้เงินสกุลดอลลาร์
บิส โฟกัส : ในอนาคตหากมีออเดอร์เพิ่มมากขึ้นจะมีการขยายกำลังการผลิตอีกหรือไม่
คุณสุวัชชัย : เรามีแผนระยะกลางและระยะยาวซึ่งจะรวมอยู่ด้วยกัน โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เราได้ซื้อที่ดินจำนวน 22 ไร่ มูลค่า 90 ล้านบาทซึ่งพื้นที่ติดกับโรงงาน เนื่องจากผู้บริหารมองว่าในอนาคต หากมีออเดอร์เพิ่มขึ้น เราก็จะมีการขยายโรงงาน ขยายไลน์การผลิตมากขึ้น เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ ยกตัวอย่างเช่น เบาะรถยนต์ ช่วงนี้อาจสะดุดเพราะหมดนโยบายรถยนต์คันแรก แต่ถ้ามีโครงการหรือนโยบายใหม่เกิดขึ้น ถ้ามีปริมาณการสั่งซื้อหรือปริมาณเบาะรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น เราสามารถที่จะขยายรองรับการผลิตเบาะรถยนต์ได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านตารางฟุต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากธุรกิจเบาะรถยนต์ไปได้ไม่ดีพอหรือว่ามีธุรกิจอื่นๆ หรือไลน์ใหม่ๆที่เสริมเข้ามา เราก็สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยจะอยู่ในธีมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมที่เราทำอยู่แล้ว
นอกจากนี้เรายังมีแผนระยะกลางอีกหนึ่งโปรเจคที่อยู่ระหว่างการหารือ ว่าอย่างเร็วภายใน 3-5 ปี เราจะต้องมีโปรดักส์ไลน์ตัวใหม่เข้ามาเสริมองค์กร ซึ่งอาจจะเป็นสินค้าสำเร็จรูป ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราทำแค่รองเท้า แต่ใน 3-5 ปี อาจจะมีการผลิตสินค้าที่เป็นรองเท้าคัตชูออกสู่ตลาด เป็นต้น อย่างไรก็ตามเรากำลังมองว่าธุรกิจนี้เหมาะสมกับที่เราจะลงไปดำเนินการหรือไม่
ส่วนปริมาณการลงทุนในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมราคาที่ดิน โดยจะเป็นการพัฒนาที่ดินและอีกส่วนหนึ่งถ้าเป็นไปได้เราอาจจะมีการปรับปรุงไลน์การผลิต ซึ่งจะมีการย้ายเครื่องจักรหรือมีการสั่งซื้อเพิ่มเติมเข้ามาบางส่วนเพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิมที่ชำรุด รวมถึงการจัดไลน์การผลิตใหม่เพื่อให้การถ่ายทอดงานหรือการส่งต่อมีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น ทั้งนี้เมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะทำให้เรารู้ว่าที่ดินใหม่ที่เราจะลงทุนจะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใดได้บ้าง
บิส โฟกัส : โรงงานใหม่จะเริ่มก่อสร้างได้เมื่อใด
คุณสุวัชชัย : ตามแพลนแล้วถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดี เราคิดว่าคงจะเริ่มเลย อาจจะเห็นเค้าโครงตัวโรงงานไม่น่าเกินกลางปีหน้า
บิส โฟกัส : หลักการบริหารท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
คุณสุวัชชัย : เราบริหารแบบคอนเซอร์เวทีฟคือค่อยๆ ทำไป แล้วก็ดูให้ชัดเจน โดยผู้บริหารรุ่นคุณพ่อหรือรุ่นก่อตั้งจะสอนเราว่าสิ่งที่เราทำอยู่จะต้องทำได้จริง สิ่งที่เราพูดอยู่ต้องเป็นความจริง ถ้าเราพูดแล้วเราทำไม่ได้อย่าไปพูดเลยดีกว่าและการทำงานจะต้องมีความชัดเจนในหน้าที่ที่ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบให้ดีที่สุด
บิส โฟกัส : ความสำเร็จของ ซี.พี.แอล.ในปัจจุบัน
คุณสุวัชชัย : ถ้ามองในมุมของคุณพ่อที่เริ่มเปิดบริษัทมาจนถึงทุกวันนี้ถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องดำเนินต่อไปคือมีธุรกิจใดที่จะสามารถขยายให้เกิดผลมากกว่านี้ เพราะว่าจากเดิมที่เราทำกันมาจากยอดขาย 300-500 ล้านบาท จนมาถึง 1,800 ล้านบาทและมีอยู่ปีหนึ่งมียอดขายเกือบถึง 2,000 ล้านบาท นับว่าสำเร็จในมุมมองของการทำงานแล้ว อย่างไรก็ตาม เป้ายอดขายที่เราอยากได้และตั้งไว้ตลอดคือ 2,000 ล้านบาท แต่จะขึ้นอยู่กับโปรเจคใหม่ที่เรากำลังดำเนินการอยู่และโรงงานที่จะสร้างใหม่ด้วย มันเป็นเป้าหมายที่เราต้องทำให้ได้ในอนาคต
บิส โฟกัส : การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
คุณสุวัชชัย : ซี.พี.แอล.เป็นโรงงานฟอกหนังที่ดำเนินงานมามากกว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ส่วน 25 ปีคือซี.พี.แอล. เพราะฉะนั้นความรู้ต่างๆ และสิ่งที่ทำอยู่คือเรามุ่งมั่นที่จะทำหนังที่มีคุณภาพ ส่งออกไปค้าขายในตลาดโลก โดยสินค้าของเราเป็นที่ยอมรับของแบรนด์ดังๆ ระดับโลกมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ดำเนินงานมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้เรายังเน้นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและการันตีความเชื่อมั่นด้วยมาตรฐานต่างๆ ที่เราได้รับ โดยห้องแล็บของเราได้รับการยอมรับจาก SATRA ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษเป็นผู้ตรวจระบบการทำงานเกี่ยวกับประกันคุณภาพสินค้าของเราเป็นประจำทุกปี