May 18, 2024
×

Warning

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_019/winsum/photo

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2014/bfi_019/ler-meridian/Photo

×

Notice

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder:

Interview 2014

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ฟอร์จูนพาร์ทเดินหน้าก่อสร้างสำนักงาน- Warehouse

ฟอร์จูนพาร์ททุ่ม 200 ลบ. เนรมิตสำนักงาน-Warehouse รุกตลาดเทรดดิ้งเต็มสูบ หนุนดันรายได้ปี 58 เพิ่มอีก 15-20% จากเป้ารายได้ปีนี้ 1,900 ลบ. ลั่นเตรียมขยายตลาดบุกสหรัฐอเมริกาชิงมาร์เก็ตแชร์เพิ่ม

คุณสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูนพาร์ทอินดัสตรี้ จำกัด(มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างสำนักงานและ Warehouse โดยสำนักงานจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วน Warehouse จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

“อาคารสำนักงานแห่งใหม่จะใช้พื้นที่ในการก่อสร้างไม่มากนัก ประมาณ 200-300 ตารางวา ซึ่งเราสร้างเต็มพื้นที่ จะมีพื้นที่ใช้สอยอยู่ที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร โดยเป็นอาคารสูง 3 ชั้นพร้อมกับโชว์รูม ซึ่งจะเน้นรองรับทีมงานมาร์เก็ตติ้งที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเทรดดิ้ง (ธุรกิจซื้อมาขายไป) มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันเรามีสัดส่วนระหว่างการผลิตเองและเทรดดิ้งอยู่ที่  59 : 41  ” คุณสมพลกล่าว

สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการก่อสร้างสำนักงานและ Warehouse จะอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมีแผนจะใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท โดยจะลงทุนเป็น 3 เฟส ซึ่งแบ่งเป็นเฟส 1 สำหรับการลงเครื่องจักรของโรงงาน D เฟส 2 จะลงทุนสำหรับสำนักงาน ส่วนเฟส 3 จะลงทุนในด้าน Warehouse แต่บริษัทมองว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องดำเนินการในครั้งเดียว ดังนั้นจึงแบ่งการลงทุนกระจายเป็น 3 ส่วน

ส่วนการติดตั้งเครื่องจักร บริษัทได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50% ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและสามารถเดินเครื่องจักรได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน แต่ปัจจุบัน บริษัทใช้กำลังการผลิตเพียงแค่ 20% อย่างไรก็ตามหลังจากที่  Warehouse สร้างเสร็จ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตอีก 30% หรือเต็มกำลัง

ด้านเป้ารายได้รวมในปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 1,900 ล้านบาท ส่วนในปีหน้า คาดว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มอีกประมาณ15-20% จากปีนี้ โดยมีความมั่นใจว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก บริษัทจะรุกธุรกิจเทรดดิ้งอย่างเต็มที่ในปีหน้า ประกอบกับมี Warehouse ที่จะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ เพื่อรองรับออเดอร์จากลูกค้าได้อย่างเพียงพอ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศ 13% และต่างประเทศ  87% โดยมาร์เก็ตแชร์หลักจะอยู่ที่ญี่ปุ่นและเกาหลี สำหรับในประเทศญี่ปุ่น บริษัทจะป้อนสินค้าให้แก่ค่ายรถยนต์เกือบทุกค่าย ไม่ว่าเป็น โตโยต้า, ฮอนด้า, นิสสัน, ซูซูกิ, อีซูซุ และมาสด้า เป็นต้น ส่วนลูกค้าในประเทศเกาหลี อาทิ ฮุนได, แดวู และเกีย รวมทั้ง ล่าสุด บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดสหรัฐอเมริกาบ้างเล็กน้อย

“ในอนาคตประมาณ 1- 3 ปีข้างหน้า เรามีแผนที่จะรุกตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ เพราะเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของโลก นอกเหนือจากตลาดตะวันออกกลางหรือแอฟริกาที่ได้เข้าไปทำตลาดมาก่อนแล้วหน้านี้ ส่วนตลาดยุโรป เนื่องจากรถยนต์จากค่ายญี่ปุ่นมีน้อยหรือประมาณ 3-5% ดังนั้นจึงยังไม่เข้าไปทำตลาด เพราะตลาดของเราจะขึ้นอยู่ค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเกณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของเรา” คุณสมพลกล่าว

 

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

วินซัมเนรมิต “ซัมเมอร์ การ์เด้นท์”

วินซัม ทุ่ม 1,000 ล้านบาท เปิดตัวคอนโด “ซัมเมอร์ การ์เด้นท์” แจ้งวัฒนะ ชูแนวคิด “ชีวิตติดธรรมชาติ” เน้นพื้นที่สีเขียวด้วยสวนร่มรื่น, สระว่ายน้ำ และพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปีนี้

คุณสุวัฒน์ เอี่ยมวงศ์วาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินซัม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ ภายใต้แบรนด์ซัมเมอร์ การ์เด้นท์ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้าง “โครงการซัมเมอร์ การ์เด้นท์”ภายใต้แนวคิด “ชีวิตติดธรรมชาติ ว่า มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 90% โดยงานโครงสร้างก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเฉพาะในส่วนของการตกแต่งและเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม  คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปีนี้

“เรามั่นใจว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามกำหนดที่วางไว้ เพราะตัวอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดในห้องพักและส่วนกลาง การติดตั้งระบบไฟฟ้าบางส่วน รวมทั้งได้เริ่มทยอยติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้ง เรายังได้ให้ลูกค้าเข้าตรวจห้องพักแล้ว คาดว่าในเดือนกันยายนจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 80% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด 657 ยูนิต ” คุณสุวัฒน์กล่าว

คุณสุวัฒน์กล่าวต่อว่า โครงการซัมเมอร์ การ์เด้นท์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5-2-42 ไร่ โดยเป็นคอนโดมิเนียมขนาดสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคาร A (ดอกอัญชัญ) อาคาร B (ดอกเบญจมาศ)  อาคาร C (ดอกชบา) อาคาร D (ดอกดาหลา) โดยโครงการจะมีห้องให้เลือกหลายขนาด ได้แก่ 1 ห้องนอน ขนาด 29-42 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 46-51 ตารางเมตร ราคาปัจจุบันเริ่มต้นที่ 1.55 ล้านบาท และมีพื้นที่สำหรับจอดรถในชั้นใต้ดินและชั้นที่ 1 ของอาคาร

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วย พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่สามารถใกล้ชิดกับบรรยากาศธรรมชาติ, สระว่ายน้ำขนาด 370 ตารางเมตร พร้อมด้วยสวนแบบ Tropical, ห้องออกกำลังกายในสวน, เข้า-ออกด้วยระบบ Keycard, CCTV และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

คุณสุวัฒน์กล่าวถึงจุดเด่นของโครงการว่า “ซัมเมอร์ การ์เด้นท์” ตั้งอยู่ในซอยแจ้งวัฒนะ 19 บนพื้นที่กว่า 5 ไร่  มีระยะทางจากถนนแจ้งวัฒนะเพียง 200 เมตร ใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วน ด่านแจ้งวัฒนะ, รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี (โครงการในอนาคต), ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี, ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และห้างสรรพสินค้าต่างๆ เช่น เซ็นทรัล, บิ๊กซีและบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, อเวนิว, โลตัส และไอที สแคว์ หลักสี่ เป็นต้น

“จุดเด่นเราก็คือพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เราทำตรงนี้ในลักษณะที่ใช้งานได้จริง มีสวนโล่ง สระยาว มีความสวยงาม สามารถใช้งานได้ทุกอย่างเหมือนกับสวนจริงๆ  มีทางวิ่งรอบสระ และมีพื้นที่จอดรถถึง 40%” คุณสุวัฒน์กล่าว

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_019/winsum/photo{/gallery}

ด้านวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโครงการนี้ เนื่องจากแต่เดิมบริษัทดำเนินธุรกิจโรงงานเครื่องครัว และเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพื่อจำหน่ายส่งออกในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งในระยะต่อมาทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดเขตพื้นที่อุตสาหกรรมขึ้น จึงส่งผลให้พื้นที่บริเวณนี้ไม่สามารถขยายโรงงานได้ รวมทั้งมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่รอบๆ โรงงานเพิ่มมากขึ้น ตนจึงมองเห็นในด้านศักยภาพของที่ดิน พื้นที่โดยรอบ รวมทั้งปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นในบริเวณใกล้เคียง จึงริเริ่มที่จะแตกไลน์ธุรกิจมาทางด้านอสังหาริมทรัพย์

“ตนได้ทำการศึกษาตลาดคอนโดมิเนียม บริเวณแจ้งวัฒนะ และเห็นถึงศักยภาพของที่ดินที่จะนำมาพัฒนา โดยว่าจ้างบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยเน้นเพื่อพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับคนเมือง ในระดับราคาที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า” คุณสุวัฒน์กล่าว

ส่วนการแข่งขันในตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณสุวัฒน์กล่าวด้วยความมั่นใจว่า ไม่ได้มีความวิตกกังวล เพราะตนได้ทำการศึกษาเรื่องธุรกิจคอนโดมิเนียมมามากพอสมควร ทั้งการทำการตลาดอย่างไร ผลตอบรับจากลูกค้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร ความพึงพอใจที่ลูกค้าต้องการเป็นอย่างไร เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งเรื่องของคุณภาพทั้งในส่วนของวัสดุก่อสร้างและคุณภาพของโครงการโดยรวม

คุณสุวัฒน์กล่าวต่อถึงโครงการในอนาคตว่า บริษัทอาจจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม โดยบริษัทยังมีพื้นที่สำหรับพัฒนาอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย พื้นที่อำเภอบางบัวทอง ซึ่งอาจจะพัฒนาเป็นบ้านพักอาศัย, พื้นที่รัชดาภิเษก พัฒนาพื้นที่เป็นอพาร์ทเม้นต์ เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ไม่สามารถที่จะขยายเพิ่มได้ รวมทั้งการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้จะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน, พื้นที่สุขุมวิท ซึ่งตนมองว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและยกระดับเป็นลักซ์ชัวรี่ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

“เราไม่ได้คิดว่าเราจะเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว เพราะเรายังมีธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และโรงงานในเครือต่างๆ ของเราก็ยังดำเนินธุรกิจอยู่ นอกจากนี้ พื้นที่ทั้ง 3 แห่ง อาจจะต้องมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติม จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงศักยภาพของพื้นที่และความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากปัจจุบันราคาที่ดินมีการปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้งบประมาณในการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเมื่อลงทุนไปแล้วอาจจะไม่คุ้มค่าก็ได้”คุณสุวัฒน์กล่าว

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

“มาสเตอร์คูล” แตกไลน์ธุรกิจรุกตลาดสินค้าใหม่

มาสเตอร์คูลส่งบริษัทลูกบุกตลาดสินค้าใหม่ครึ่งปีหลัง 57 ภายใต้แบรนด์ “In green” รองรับตลาดคนรักสุขภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปลื้มรายได้ยอดขายพัดลม 6 เดือนแรกทะลุ 300 ลบ. คาดสิ้นปียอดขายพุ่ง 500 ลบ.

คุณนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายพัดลมไอน้ำ พัดลมไอเย็น และระบบพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้แบรนด์ “มาสเตอร์คูล” (MASTERKOOL) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2557 ว่า บริษัทจะขยายตลาดไปยังกลุ่มสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อบุกตลาดใหม่ๆ  ล่าสุด บริษัทได้แตกไลน์ธุรกิจเพื่อผลิตสินค้าใหม่ในนามบริษัท อินโนว์ กรีน โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก โดยจะเน้นผลิตสินค้าที่ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ “In green” (อิน กรีน)

โดยจะรุกไปยังกลุ่มสินค้าระบบโอโซนซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านและร้านอาหารที่หันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ซึ่งได้เปิดตัวและจำหน่าย 2 ผลิตภัณฑ์ในกลางเดือนสิงหาคม คือ ผลิตภัณฑ์สินค้าเครื่องล้างผักผลไม้ระบบโอโซนและเครื่องดับกลิ่นรองเท้าด้วยโอโซน โดยจะเน้นจุดขายเป็นหลักในการทำตลาดในระยะเริ่มแรก ส่วนงบประมาณในการพัฒนาสินค้าเพื่อออกสู่ตลาดทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ จะอยูที่ 4-5 ล้านบาท

คุณนพชัยกล่าวต่อว่า สำหรับแบรนด์ “มาสเตอร์คูล” บริษัทยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องการแก้ปัญหาอากาศร้อนและเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับการติดแอร์  โดยจะพยายามทำการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าจำแบรนด์ “มาสเตอร์คูล” ให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ภายใต้สโลแกน “เย็นได้ใจ ประหยัดได้จริง” สำหรับการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะอยู่ในห้างโมเดิร์นเทรด อาทิ โฮมโปร , แมคโคร เป็นต้น

ปัจจุบัน มาเก็ตแชร์ของบริษัทในตลาดผลิตภัณฑ์พัดลมไอน้ำ อยู่ที่ 70-80%  ซึ่งนับว่าบริษัทเป็นผู้นำในด้านของผลิตภัณฑ์นี้ โดยโจทย์หลักของบริษัทจะเน้นการสร้างแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าได้ทราบและรู้จักมากยิ่งขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ, โรงงานอุตสาหกรรม, ร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว, โรงแรม และโรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้ารายย่อยจะเน้นไปในช่องทางการขายให้ครบทุกช่องทางให้มากที่สุด

“เริ่มแรกเราทำพัดลมไอน้ำซึ่งตัวผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่ จึงเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร แต่พอทำตลาดสักพักจะมีกลุ่มลูกค้าบ้านที่สนใจในสินค้าด้านนี้เยอะ เนื่องจากบ้านก็มีปัญหาเรื่องอากาศร้อนเช่นกัน เราจึงเล็งเห็นกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มนี้ ดังนั้นจึงต้องคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงในราคาประหยัดและแก้ปัญหาเรื่องอากาศร้อน รวมทั้ง ต้องการขยายตลาดให้กว้างมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ครบในทุกกลุ่มเป้าหมาย” คุณนพชัยกล่าว

สำหรับสัดส่วนการจำหน่ายของบริษัททั้งในและต่างประเทศอยู่ที่ 80 : 20 โดยตลาดหลักในการจำหน่ายส่งออกไปต่างประเทศจะเป็นตลาดในประเทศ AEC อาทิ เมียนมาร์ , กัมพูชา, ลาว และเวียดนาม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงตลาดที่ใหญ่และมีการเติบโตดีมากในขณะนี้คือประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย รวมทั้ง ประเทศในแอฟริกา, อเมริกาใต้ เป็นต้น 

คุณนพชัยกล่าวต่อถึงแผนการตลาดในปี 2557 ว่า บริษัทมีการทำตลาดทั้ง Above the line และ Below the line อย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์, วิทยุ และ โทรทัศน์ เป็นต้น และการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าเกือบตลอดทั้งปี โดยจะใช้งบในการดำเนินการประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งจะค่อนข้างสูงกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนแนวโน้มการตลาดในปีนี้มองว่ายังเติบโตไปได้ดีและจะยังขยายตัวโตต่อเนื่องไปอีกหลายปี

ด้านเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้  สืบเนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก (6 เดือน) บริษัทสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 300 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับปี 2556 ทั้งปี ดังนั้นเป้ายอดขายทั้งปี 2557 คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ที่ 450-500 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะเป็นไปตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน

ส่วนการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทได้ลงตลาดสำรวจและพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ค่อนข้างชอบสินค้าที่มาจากประเทศไทยเพราะมีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงต้องพัฒนาในเรื่องภาษาเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เนื่องจากการเปิด AEC จะเป็นการเปิดโอกาสให้ต่างฝ่าย ต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปพัฒนาในด้านการค้าเสรีเพิ่มมากขึ้นในเรื่องของประโยชน์ต่างๆ ร่วมกัน

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

พีพี เมกะ ออโต้ผุดโชว์รูมซูซูกิ รุกตลาดย่านบางนา-ตราด

คุณพรชัย เครือญาติดี กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณปราณี เครือญาติดี CFO and Business Compliance บริษัท พีพี เมกะ ออโต้ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสก่อสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิ รองรับตลาดยานยนต์ย่านบางนา-ตราดที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมชูนโยบายการบริการแบบครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและประเด็นอื่นๆ ดังนี้

บิส โฟกัส : รายละเอียดโชว์รูมและศูนย์บริการ

ผู้บริหาร : โชว์รูมและศูนย์บริการตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร โดยโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิและศูนย์บริการต่างๆ มีการออกแบบให้สอดรับถนนบางนา-ตราด ซึ่งจะทำให้คนที่สัญจรผ่านไป-มา มองเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นที่สะดุดตาและมีการออกแบบที่ทันสมัย โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ กลุ่มวัยทำงานและกลุ่มคนในพื้นที่ที่มีความต้องการที่จะใช้รถ

ในปี 2556 เราเริ่มดำเนินการออกแบบรูปแบบโชว์รูมและศูนย์บริการและดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ปัจจุบันเราได้เปิดให้บริการเรียบร้อยแล้วทั้งสองส่วน สำหรับการจัดงาน Grand Opening ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ในอนาคตเรามีแผนที่จะเพิ่มในส่วนของศูนย์พ่นสีรถยนต์และอื่นๆ เพื่อให้การบริการครบวงจรมากยิ่งขึ้น

บิส โฟกัส : แผนการตลาดของบริษัท

ผู้บริหาร : ปัจจุบันเรามีการทำการตลาดหลายช่องทาง ทั้งการใช้รถโฆษณา ใช้โบรชัวร์แจกตามบ้านและส่ง Sale ลงพื้นที่เข้าไปตามกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ อาทิ โรงพยาบาลหัวเฉียว มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ (ABAC บางนา) รวมทั้งการประสานงานผ่านองค์การบริหารส่วนตำบลในการโฆษณาตามเสียงตามสายเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตนเอง นอกจากนี้เรายังมีการออกบูธตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

 ทั้งนี้กิจกรรมทางการตลาด เราต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของทางบริษัทแม่ (บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด) เพราะเราเป็นหนึ่งในดีลเลอร์ที่จำหน่ายรถยนต์ เพราะฉะนั้นในแต่ละเดือนงบประมาณทางการตลาดก็จะขึ้นอยู่กับทางซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย เป็นผู้พิจารณาลงมา

บิส โฟกัส : การพิจารณาทำเลที่ตั้งของโชว์รูม

ผู้บริหาร : ในเบื้องต้นเรามีการประสานงานกับทางค่ายรถยนต์ต่างๆ ซึ่งเราได้มีการศึกษาหาข้อมูลในทำเลที่ตั้งต่างๆ และประจวบเหมาะกับได้ที่ดินติดถนนบางนา-ตราด เราจึงทำการสำรวจและวิเคราะห์และเสนอไปยังบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการพิจารณาทำเลที่ตั้งของโชว์รูม โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังไม่มีโชว์รูมและศูนย์บริการที่เป็นของแบรนด์ซูซูกิ จึงทำให้ได้มีโอกาสได้ร่วมงานกับทางซูซูกิ

บิส โฟกัส : หลักในการบริหารงาน

ผู้บริหาร : เนื่องจากเราเป็นดีลเลอร์กับทางบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพราะฉะนั้นในส่วนของระบบการบริหาร นโยบายในการทำงานต่างๆ เราต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี เนื่องจากทางซูซูกิ มีระบบการบริหารจัดการที่ดีอยู่แล้ว เราจึงต้องพัฒนาพนักงานให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เรามองว่าทุกสิ่งที่เราได้รับจากทางซูซูกิเป็นสิ่งที่ดีต่อเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ยังทำให้เราทราบว่าซูซูกิเป็นแบรนด์ที่มีนโยบายการบริหารจัดการและการทำงานซึ่งล้วนเต็มไปด้วยคุณภาพทั้งสิ้น

บิส โฟกัส : ประวัติของบริษัท พีพี เมกะ ออโต้ จำกัด

ผู้บริหาร : สืบเนื่องจากธุรกิจของเราเกี่ยวข้องกับยางรถยนต์มาเกือบ 60 ปี นับตั้งแต่สมัยคุณพ่อที่ก่อตั้งบริษัท โค้ว อินเตอร์ บิสซิเนส จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ชั้นนำทั่วโลก และในปี 2555 ตนมีแนวคิดในการที่จะขยายธุรกิจแต่ยังคงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการขยายตัวมากที่สุด โดยสอดรับกับนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ตนจึงมองว่าน่าจะเป็นการต่อยอดธุรกิจที่ดีในอนาคต จึงได้เริ่มดำเนินธุรกิจนี้

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

ซัมมิท วินด์มิลล์เตรียมเปิดตัว “เลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ”

ซัมมิท วินด์มิลล์ทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาท ผุด “เลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ” เผยมีความคืบหน้ากว่า 90% พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้ ชูจุดเด่นการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เลอ เมอริเดียนและความเป็นไทยที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว

คุณรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ คลับ จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงแรมซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ เรสซิเดนซ์ และสนามกอล์ฟซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ คลับ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา (Le MeridienSuvarnabhumiGolf Resort & Spa) ว่า โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนกว่า 150 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วกว่า 90% เหลือเพียงในส่วนของการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งเพิ่มเติม โดยจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนตุลาคม 2557 และมีแผนจะ Grand Opening ในช่วงต้นปี 2558

โรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ของสนามกอล์ฟซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ คลับ โดยภายในพื้นที่โรงแรมมีอาคารโถงต้อนรับและล็อบบี้เล้าจน์ตั้งอยู่กลางน้ำ รายล้อมด้วยกลุ่มอาคารไล่ระดับ ทั้งหมด 5 อาคารที่เชื่อมต่อกัน แบ่งออกเป็น อาคารสูง 7, 8 และ 9 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 223 ห้อง แบ่งออกเป็น Type : Deluxe จำนวน 200 ห้อง, Type : Sweet จำนวน 22 ห้อง และ Type : Presidential Sweet จำนวน 1 ห้อง มีขนาดห้องเริ่มต้นที่ 48 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าโรงแรมทั่วไป

“ห้องพักชั้นบนสุดของอาคารจะเป็นห้อง Presidential Sweet ขนาดห้อง 220 ตารางเมตร ถือว่าเป็นห้องที่หรูที่สุดของโรงแรม ส่วนห้องพักชั้นล่าง จะมีจุดเด่นในรูปแบบของห้องที่มีสวนส่วนตัวติดกับทะเลสาบรอบอาคาร ส่วนห้องพักตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปจะเป็นห้อง  Deluxe และ Sweet สามารถมองเห็นวิวสนามกอล์ฟและทะเลสาบที่มีความเป็นธรรมชาติ และมีความเงียบสงบ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิและศูนย์การค้าเมกะบางนา” คุณรุ่งกาลกล่าว

คุณรุ่งกาลกล่าวต่อว่าการบริหารโรงแรมดังกล่าว บริษัทได้มอบหมายให้บริษัท สตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เชนโรงแรมระดับสากลเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับเหตุผลที่บริษัทเลือกร่วมงานกับสตาร์วูด เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่มีมาตรฐานในระดับสากล มีระบบการบริหารจัดการและการบริการที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือของแบรนด์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง

สำหรับแนวคิดและการออกแบบ โรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา จะมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ตามแบรนด์เลอ เมอริเดียนของสตาร์วูด โดยมีลักษณะผสมผสานระหว่าง Western และ Modern แต่เนื่องด้วยตัวโรงแรมตั้งอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นจึงมีการนำความเป็นไทยผสมผสานในการออกแบบเพื่อให้มีความสวยงามตามเอกลักษณ์ของแบรนด์และความเป็นไทยได้อย่างลงตัว

คุณรุ่งกาลกล่าวปิดท้ายถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อย่างเต็มรูปแบบ ในปี 2558 ว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนจากต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น และจะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเติบโตตามไปด้วย สำหรับการเตรียมความพร้อมของบริษัทเพื่อรองรับ AEC คือการเทรนนิ่งพนักงานในเรื่องของภาษาและพัฒนาการบริการให้สามารถตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น

{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_019/ler-meridian/Photo{/gallery}

Page Visitor

010755826
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
1648
6107
35412
102542
147900
10755826
Your IP: 3.138.192.146
2024-05-18 08:27
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.