Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ BACKLOG กว่า 4,000 ลบ.
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ อวด BACKLOG มูลค่า 4,150 ลบ. พร้อมประกาศเปิดขายโครงใหม่อีก 6 โครงการ หนุนเป้าพรีเซลพุ่ง 2,500 ลบ. คาดปีนี้จะทยอยรับรู้รายได้จากการโอน 1,000 ลบ. ส่วนปีหน้าจะเพิ่มเป็น 2,500 ลบ.
คุณพีระพงศ์ จรูญเอก CHIEF EXECUTIVE OFFICER บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมี BACKLOG มูลค่า 4,150 ล้านบาท โดยเป็นโครงการเก่าและใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 2 ปี (2556-2557) ทั้งที่ขายแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งพร้อมทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้า จำนวน 6 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย
1. KNIGHTS BRIDGE SKY RIVER OCEAN มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท
2. KNIGHTS BRIDGE BEARING มูลค่า 800 ล้านบาท
3. B-LOFT CONDOMINIUM SUKHUMVIT 109 มูลค่า 250 ล้านบาท
4. B-LOFT CONDOMINIUM SUKHUMVIT 115 มูลค่า 300 ล้านบาท
5. B-REPUBLIC CONDOMINIUM SUKHUMVIT 101/1 มูลค่า 700 ล้านบาท
6. TROPICANA @ERAWAN มูลค่า 700 ล้านบาท
“ทั้ง 6 โครงการนี้ เราจะทยอยโอนให้แก่ลูกค้าได้ประมาณไตรมาส 4 ปีนี้และต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4 ปีหน้า หรือใช้เวลาประมาณ 1 ปี เรามีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าภายในสิ้นปีหน้า เราจะสามารถปิดโครงการทั้ง 6 โครงการได้เสร็จเรียบร้อยอย่างแน่นอน” คุณพีระพงศ์กล่าว
สำหรับในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่จำนวน 6 โครงการ ได้แก่
1. TROPICANA@ERAWAN เฟส 2 คอนโดมิเนียมขนาดความสูง 8 ชั้น จำนวน 363 ยูนิต มูลค่าโครงการ 680 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยได้รับการตอบจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60 % คาดว่าจะปิดการขายได้ประมาณไตรมาส 3 ปีนี้
2. REPLAY BY REPUBLIC SUKHUMVIT 101/1 ซึ่งเป็นเฟส 2 ของ B-REPUBLIC คอนโดมิเนียมขนาดความสูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร จำนวน 170 ยูนิต มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขาย 50% คาดจะปิดการขายได้ 100% ในช่วงปลายปีนี้ สำหรับโครงการนี้ได้เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและจะแล้วเสร็จประมาณปลายปีหน้า
3. VILLA LASAL SUKHUMVIT 105 คอนโดมิเนียมขนาดความสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ซึ่งก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส บูทิคโฮเทล โดยได้เปิดพรีเซลเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีกระแสตอบรับดีมาก โดยมียอดขายประมาณ 20% คาดว่าในช่วงปลายปีนี้จะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคมนี้ และจะใช้เวลาในการดำเนินการ 15 เดือน หรือจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2559
4. NOTTINGHILL KHAERAI ซึ่งนับเป็นโครงการแรกของบริษัทที่ได้เข้าไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนนทบุรี โดยเป็นคอนโดมิเนียมขนาดความสูง 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 180 ยูนิต มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มพรีเซลในเดือนตุลาคมนี้ และมีแผนจะก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2558 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2559
5. โครงการคอนโดมิเนียม ขนาดความสูง 8 ชั้น จำนวน 180 ยูนิต ซึ่งจะตั้งอยู่ติดถนนถนนพหลโยธิน ฝั่งเดียวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปว่าจะใช้ชื่อแบรนด์ใด คาดว่าจะเริ่มเปิดพรีเซีเซลในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือนมีนาคม 2558 จะแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2559
6. โครงการคอนโดมิเนียมขนาดความสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กับอิมพีเรียล สำโรง จะเริ่มเปิดพรีเซลในเดือนธันวาคมนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤษภาคม 2558 และจะแล้วเสร็จในช่วงไตรสมาส 3 ปี 2559
“เราตั้งใจเปิดขายโครงใหม่ใหม่ในปีนี้ 6 โครงการ จะเป็นโครงการที่ดำเนินการใกล้เคียงกัน ซึ่งจะทำให้ BACKLOG ของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปีที่ผ่านมาเราเปิดขายโครงการ 2,400 ล้านบาท แต่เราทำพรีเซลได้สูงถึง 2,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้เราจะเปิดขายโครงการใหม่อย่างน้อย 3,500 ล้านบาท ซึ่งเราตั้งเป้าพรีเซลไว้ที่ 2,500 ล้านบาท เรามีความมั่นใจว่าจะสามารถทำพรีเซลได้ตามเป้า
เนื่องด้วยผลงานคุณภาพก่อนหน้านี้ ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี บวกกับสินค้าของเราราคาไม่แพง คุ้มค่ากับราคาที่ลูกค้าจ่าย สามารถตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายเป็นอย่างดี สำหรับเป้ารายได้ในปีนี้ เราคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้จากการโอนประมาณ 1,000 ล้าบาท และในปีหน้าจะทยอยรับรู้ 2,500 ล้านบาท ” คุณพีระพงศ์กล่าว
พี เอ พีทุ่ม1,000 ลบ. เร่งต่อยอดธุรกิจ
พี เอ พี อัดงบ 1,000 ลบ. หนุนธุรกิจเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง เดินแผนนำเข้าถังแก๊สคอมโพสิตจากเกาหลีทดสอบตลาดไทย บวกจ่อคิวสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สคอมโพสิตเป็นรายแรกของประเทศ พร้อมประกาศบุกตลาดต่างประเทศเต็มพิกัด แย้มเตรียมแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ Q1/2558 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3,500-4,000 ลบ. ลั่นอีก 3 ปีข้างหน้าโตเพิ่มอีก 20%
คุณวิโรจน์ จันทราประภาเวช รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิสาหกิจสัมพันธ์ และซัพพลายเชน บริษัท พี เอ พี แก็ส แอนด์ ออยล์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการลงทุนว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท ฮุนได บี เอสแอนด์ ซี จำกัด จากประเทศเกาหลี เพื่อผลิตถังแก๊สคอมโพสิต ภายใต้ชื่อ "อิ่ม อุ่น" ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งโรงงานทดสอบถังแก๊ส เพื่อให้ได้รับใบอนุญาตมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยอยู่ในช่วงเริ่มต้นนำเข้าเครื่องจักรทดสอบจากประเทศเกาหลี คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จไม่เกินภายใน 3 เดือนนับจากนี้ไป
ทั้งนี้หลังจากติดตั้งเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะเริ่มดำเนินการทดสอบถังแก๊สจำนวน 64 ใบ ขนาด 3 กิโลกรัมและ 6 โลกรัม และหลังจากผ่านการทดสอบและได้มาตรฐาน มอก. แล้ว บริษัทจะนำเข้าถังแก๊สคอมโพสิตจากบริษัท ฮุนได บี เอสแอนด์ ซี จำกัด มาจำหน่ายในประเทศไทยเพื่อเป็นการทดสอบตลาด โดยในช่วงแรกจะนำเข้ามาประมาณ 100,000 ใบ ขนาด 3 กิโลกรัมและ 6 กิโลกรัม หรือขนาดละ 50,000 ใบ คาดว่าจะเริ่มนำเข้ามาในช่วงต้นปี 2558 และจะวางหน่ายในช่วงกลางปี
อย่างไรก็ตาม ถังแก๊สคอมโพสิตเป็นถังรูปแบบใหม่และผู้ใช้ยังไม่ทราบถึงความปลอดภัย ดังนั้นบริษัทจะต้องมีการสื่อสารกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยจะมีการจัดแคมเปญโฆษณา ก่อนที่จะนำถังออกสู่ตลาด สำหรับราคาเบื้องต้นของถังแก๊สคอมโพสิตขนาด 3 กิโลกรัมพร้อมน้ำแก๊สจะไม่เกิน 1,500 บาท ส่วนถังคอมโพสิตขนาด 6 กิโลกรัมพร้อมน้ำแก๊ส ราคาจะไม่เกิน 2,000 บาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง โดยบริษัทได้เตรียมใช้งบประมาณในด้านการตลาดไว้ที่ 100 ล้านบาท
ส่วนเหตุผลของการตัดสินใจนำถังคอมโพสิตเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าถังเหล็กกว่า 50 % มีความปลอดภัยสูง ไม่เกิดประจุประกายไฟ ไม่เกิดการระเบิด ถึงแม้ว่าจะเกิดการระเบิด เศษชิ้นส่วนที่ระเบิดออกมาจะกระจายไม่เกิน 10 เมตร อยู่ในวงรัศมีแคบๆ ไม่กว้าง ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากค่ายทหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงทำให้มั่นใจว่า หากนำถังคอมโพสิตเข้ามาแทนถังแก๊สเหล็กในเมืองไทย จะทำให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย เพราะมีน้ำหนักเบา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้บริษัทผลิตถังแก๊สคอมโพสิตขนาด 3 กิโลกรัมหรือถังแคมปิ้ง
“ เรามองว่าประโยชน์สูงสุดจะตกอยู่ที่ผู้ใช้ เพราะจะได้ใช้ถังที่มีความปลอดภัย สะดวกสบายในการขนย้าย อีกทั้งยังมีรูปแบบสวยงาม สามารถเป็นเครื่องประดับภายในบ้านอีกด้วย โดยมีให้เลือกถึง 7 สี ถึงแม้ว่าราคาจะสูงกว่าถังเหล็กบ้างเล็กน้อย ซึ่งในระยะแรกที่นำเข้าถังแก๊สคอมโพสิตจากเกาหลี ราคาอาจยังสูงอยู่บ้างแต่เมื่อเรามีการผลิตที่เมืองไทยแล้ว และใช้วัตถุดิบในเมืองไทย เราจะได้ถังที่ราคาใกล้เคียงกับถังเหล็ก คุณวิโรจน์กล่าว
ในขณะเดียวกัน ในช่วงต้นปี 2558 บริษัทจะเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สคอมโพสิต โดยโรงงานจะตั้งอยู่ที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจะใช้งบลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ 2 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2559 และจะเริ่มต้นผลิตในต้นปี 2560 ซึ่งจะผลิตถังจะมี 3 ขนาดคือ 3, 6, และ 15 กิโลกรัม
คุณวิโรจน์กล่าวต่อว่าหลังจากที่โรงงานผลิตถังแก๊สคอมโพสิตแล้วเสร็จ บริษัทมีโครงการที่จะส่งถังแก๊สที่ผลิตในเมืองไทยส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อุซเบกิสฐาน อิหร่าน อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากและยังมีความต้องการใช้แอลพีจีสูง ตนจึงมองว่าการสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สคอมโพสิตในเมืองไทยเป็นโปรเจคใหญ ซึ่งจะในปีแรกตั้งเป้าผลิต 100,000 ใบ หลังจากนั้นจะเพิ่มเป็น 200,000 , 300,000 ใบ ตามลำดับ ซึ่งแล้วแต่ความต้องการของตลาด พร้อมทั้งได้เตรียมงบประมาณในการบุกตลาดต่างประเทศ 100 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปี 2558 บริษัทมีแผนที่นำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงไตรมาสแรก ดังนั้นจะต้องรีบดำเนินการโปรเจคก่อสร้างโรงงานผลืตถังแก๊สคอมโพสิตให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่บริษัท ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บริหารและที่ปรึกษา ทั้งนี้หลังจากการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว บริษัทจะทำการระดมทุนและนำเงินไปใช้ในโปรเจคอื่นๆ อาทิ พลังงานไฟฟ้า,ไบโอแก๊ส, พลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าขนาดย่อม เป็นต้น ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานทั้งหมด
คุณวิโรจน์กล่าวต่อถึงการขยายสถานีบริการแอลพีจีว่า ในปีนี้บริษัทไม่มีนโยบายลงทุนเปิดสถานีบริการใหม่ เพราะถือว่าเติบโตอย่างเต็มที่แล้ว ประกอบกับต้องใช้เงินลงทุนสูงประมาณ 10-12 ล้านบาท/แห่ง เพราะที่ดินและวัสดุก่อสร้างมีราคาแพงมากขึ้น ดังนั้นจึงมาเน้นในด้านอื่นๆ แทน เช่น การผลิตถังแก๊สคอมโพสิต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้าหรือดีลเลอร์จากปัจจุบัน 250 แห่งทั่วประเทศ และจะขยายให้เพิ่มเป็น 300 แห่งภายในปีนี้ โดยบริษัทจะช่วยสนับสนุนในด้านการตกแต่งร้านเพื่อให้ทันสมัยและตรงกับคอนเซ็ปต์ของบริษัท
“ ขณะนี้การแข่งขันของผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะแข่งขันในเรื่องของราคา หรือเรียกว่าสงครามทะเลเดือด แต่เราจะเน้นเรืองแก๊สคุณภาพ เป็นแก๊สธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ราคาจึงค่อนข้างสูง แต่เมื่อผู้บริโภคใช้แล้วจะติดใจ โดยจะบอกปากต่อปากว่าเมื่อใช้แล้วเครื่องยนต์วิ่งดี ได้ระยะทางมากขึ้น นอกจากนี้เรายังยึดมั่นในหลักการของเรา คือการบริการที่ดี การส่งแก๊สตามกำหนดเวลา ไม่มีการตุกติกกับลูกค้า เน้นการเที่ยงตรง ซื่อสัตย์ และมีหลักธรรมภิบาล” คุณวิโรจน์กล่าว
คุณวิโรจน์กล่าวต่อถึงเป้าหมายผลประกอบการในปีนี้ว่า ต้องยอมรับว่าอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากในช่วงต้นปีจนถึงกลางปี เศรษฐกิจถดถอยมาก ทำให้ทุกคนระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลให้ปริมาณการใช้แอลพีจีลดลงและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกราย ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม หรือภาคขนส่ง
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 3,500-4,000 ล้านบาท และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มน่าจะดีขึ้น เนื่องจาก คาดว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศในเดือนตุลาคมนี้ แต่ก็ต้องดูทิศทางของรัฐบาลชุดใหม่ประกอบด้วยว่าจะมีนโยบายอย่างไร มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนหรือไม่ และอยากให้มีความเท่าเทียมแก่ผู้ประกอบการทุกราย ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่
ส่วนแนวโน้มธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ไปในช่วง 3 ปี (2558-2560 ) จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเติบโตจากปี 2557 อีก 20% สืบเนื่องจากแผนการบุกตลาดถังแก๊สคอมโพสิตมากขึ้น บวกกับในปี 2558 บริษัทจะเปิดคลังบรรจุแก๊สอีก 2 แห่งที่นครสวรรค์และขอนแก่น รวมทั้งอาจมีการสร้างคลังบรรจุแก๊สที่ภาคใต้เพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อความสะดวกในการดำเนินงานและรองรับถังแก๊สคอมโพสิตที่จะบุกภาคใต้ โดยอาจเลือกเปิดที่สุราษฎร์ธานีหรือสงขลา
ตลาดน้ำ 4 ภาค (พัทยา) เร่งขยายเฟสใหม่
ตลาดน้ำ 4 ภาค (พัทยา) ขยายพื้นที่โครงการเฟส 2, 3 รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 20% พร้อมเปิดแผนรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE
คุณวะริดา แซ่อึ้ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดน้ำ 4 ภาค (พัทยา) จำกัด ดำเนินธุรกิจแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชนกลางเมืองพัทยา ภายใต้ชื่อ “ตลาดน้ำ 4 ภาค (พัทยา)” เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการขยายพื้นที่โครงการตลาดน้ำ 4 ภาค (พัทยา) เพิ่มจากเดิมอีก 2 เฟส ได้แก่เฟส 2 และ 3
ปัจจุบันเฟส 2 ได้เปิดใช้บริการตั้งแต่เดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ ซึ่งจะมีลักษณะที่ทันสมัยกว่าเฟสแรก เพราะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของตลาดริมน้ำมาเป็นอาคารปรับอากาศในบรรยากาศล้านนา ประกอบด้วย อาคารกฤษดาดอยและอาคารเพลินจิต สำหรับในส่วนของอาคารกฤษดาดอยจะมีศูนย์อาหารติดแอร์และเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่กลางน้ำ คาดว่าจะสามารถสร้างจุดขายและสร้างความพึงพอใจให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก
ส่วนเฟส 3 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วว่า 70% เหลือเฉพาะการตกแต่งสถานที่ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในช่วงประมาณเดือนตุลาคม 2557 นี้ โดยเฟส 3 จะมีการพัฒนาในลักษณะของศูนย์เรียนรู้ ซึ่งในพื้นที่จะมีสวนสมุนไพร มีพื้นที่สำหรับการละเล่นและกิจกรรมวิถีไทย เพื่อสื่อให้ชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวได้ทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้ง การจัดแสดงจุดการเรียนรู้วัฒนธรรมในเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริ
นอกจากนี้ยังพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน โดยได้มีการร่วมมือกับโรงเรียนในเขตพื้นที่และเขตอื่นๆ จัดตั้งโครงการมัคคุเทศก์น้อย และเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนมาใช้สถานที่ เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ด้านภาษากับเจ้าของภาษาโดยตรง เนื่องจากในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 3,000-5,000 คนที่เข้ามาท่องเที่ยวในตลาดน้ำ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ สามารถสร้างประสบการณ์ตรง ได้ดูแลและเป็นมัคคุเทศน์ให้กับท่องเที่ยว อีกทั้ง ยังได้เรียนภาษาจีนอีกด้วย
คุณวะริดากล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการขยายพื้นที่โครงการว่า เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินธุรกิจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและทัศนียภาพ เน้นในเรื่องของการสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ซึ่งบริษัทได้เปิดสถานที่ท่องเที่ยวมากว่า 6 ปีและได้รับกระแสตอบรับที่ดีทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม บริษัทเล็งเห็นว่าน่าจะหากลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
“ปัจจุบัน เรามีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งคนไทยและคนจีน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าหลักอยู่แล้ว แต่เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าประเทศอื่นๆ ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและพัทยาที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เราจึงได้ริเริ่มที่ที่จะขยายพื้นที่ให้มากขึ้น ในอนาคตเรามุ่งที่จะเจาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลี, อินโดนีเซีย, รัสเซีย, ตะวันออกกลาง และมาเลเซีย มากขึ้น รวมทั้งพยายามที่จะปรับเฟส 3 ให้เข้ากับลักษณะของการท่องเที่ยวในแต่ละชาติด้วย” คุณวะริดากล่าว
ด้านเป้าผลประกอบการในปีนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 20% เนื่องจากสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ด้วยการยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่าในบางประเทศ จึงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปในช่วงต้นปี เริ่มกลับมาท่องเที่ยวเท่าเดิมและคาดว่าแนวโน้มน่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC คุณวะริดากล่าวว่า จะเป็นปัจจัยบวกให้กับประเทศและบริษัทเช่นกัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE ที่คาดว่าจะเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นตลาดน้ำ 4 ภาค (พัทยา) จึงได้มีการรองรับในเรื่องของห้องประชุมที่สามารถจุคนได้ถึง 200 คน อีกทั้ง ในอนาคตยังมีแผนที่จะสร้างโรงแรม ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ทั้งในเรื่องของพาร์ทเนอร์และแนวคิดในการออกแบบที่ยังเน้นลักษณะความเป็นไทย
ฟอร์จูนพาร์ทเดินหน้าก่อสร้างสำนักงาน- Warehouse
ฟอร์จูนพาร์ททุ่ม 200 ลบ. เนรมิตสำนักงาน-Warehouse รุกตลาดเทรดดิ้งเต็มสูบ หนุนดันรายได้ปี 58 เพิ่มอีก 15-20% จากเป้ารายได้ปีนี้ 1,900 ลบ. ลั่นเตรียมขยายตลาดบุกสหรัฐอเมริกาชิงมาร์เก็ตแชร์เพิ่ม
คุณสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูนพาร์ทอินดัสตรี้ จำกัด(มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างสำนักงานและ Warehouse โดยสำนักงานจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วน Warehouse จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
“อาคารสำนักงานแห่งใหม่จะใช้พื้นที่ในการก่อสร้างไม่มากนัก ประมาณ 200-300 ตารางวา ซึ่งเราสร้างเต็มพื้นที่ จะมีพื้นที่ใช้สอยอยู่ที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร โดยเป็นอาคารสูง 3 ชั้นพร้อมกับโชว์รูม ซึ่งจะเน้นรองรับทีมงานมาร์เก็ตติ้งที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเทรดดิ้ง (ธุรกิจซื้อมาขายไป) มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันเรามีสัดส่วนระหว่างการผลิตเองและเทรดดิ้งอยู่ที่ 59 : 41 ” คุณสมพลกล่าว
สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการก่อสร้างสำนักงานและ Warehouse จะอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมีแผนจะใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท โดยจะลงทุนเป็น 3 เฟส ซึ่งแบ่งเป็นเฟส 1 สำหรับการลงเครื่องจักรของโรงงาน D เฟส 2 จะลงทุนสำหรับสำนักงาน ส่วนเฟส 3 จะลงทุนในด้าน Warehouse แต่บริษัทมองว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องดำเนินการในครั้งเดียว ดังนั้นจึงแบ่งการลงทุนกระจายเป็น 3 ส่วน
ส่วนการติดตั้งเครื่องจักร บริษัทได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50% ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและสามารถเดินเครื่องจักรได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน แต่ปัจจุบัน บริษัทใช้กำลังการผลิตเพียงแค่ 20% อย่างไรก็ตามหลังจากที่ Warehouse สร้างเสร็จ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตอีก 30% หรือเต็มกำลัง
ด้านเป้ารายได้รวมในปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 1,900 ล้านบาท ส่วนในปีหน้า คาดว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มอีกประมาณ15-20% จากปีนี้ โดยมีความมั่นใจว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก บริษัทจะรุกธุรกิจเทรดดิ้งอย่างเต็มที่ในปีหน้า ประกอบกับมี Warehouse ที่จะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ เพื่อรองรับออเดอร์จากลูกค้าได้อย่างเพียงพอ
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศ 13% และต่างประเทศ 87% โดยมาร์เก็ตแชร์หลักจะอยู่ที่ญี่ปุ่นและเกาหลี สำหรับในประเทศญี่ปุ่น บริษัทจะป้อนสินค้าให้แก่ค่ายรถยนต์เกือบทุกค่าย ไม่ว่าเป็น โตโยต้า, ฮอนด้า, นิสสัน, ซูซูกิ, อีซูซุ และมาสด้า เป็นต้น ส่วนลูกค้าในประเทศเกาหลี อาทิ ฮุนได, แดวู และเกีย รวมทั้ง ล่าสุด บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดสหรัฐอเมริกาบ้างเล็กน้อย
“ในอนาคตประมาณ 1- 3 ปีข้างหน้า เรามีแผนที่จะรุกตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ เพราะเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของโลก นอกเหนือจากตลาดตะวันออกกลางหรือแอฟริกาที่ได้เข้าไปทำตลาดมาก่อนแล้วหน้านี้ ส่วนตลาดยุโรป เนื่องจากรถยนต์จากค่ายญี่ปุ่นมีน้อยหรือประมาณ 3-5% ดังนั้นจึงยังไม่เข้าไปทำตลาด เพราะตลาดของเราจะขึ้นอยู่ค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเกณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของเรา” คุณสมพลกล่าว
วินซัมเนรมิต “ซัมเมอร์ การ์เด้นท์”
วินซัม ทุ่ม 1,000 ล้านบาท เปิดตัวคอนโด “ซัมเมอร์ การ์เด้นท์” แจ้งวัฒนะ ชูแนวคิด “ชีวิตติดธรรมชาติ” เน้นพื้นที่สีเขียวด้วยสวนร่มรื่น, สระว่ายน้ำ และพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปีนี้
คุณสุวัฒน์ เอี่ยมวงศ์วาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินซัม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ ภายใต้แบรนด์ซัมเมอร์ การ์เด้นท์ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้าง “โครงการซัมเมอร์ การ์เด้นท์”ภายใต้แนวคิด “ชีวิตติดธรรมชาติ” ว่า มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 90% โดยงานโครงสร้างก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเฉพาะในส่วนของการตกแต่งและเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปีนี้
“เรามั่นใจว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามกำหนดที่วางไว้ เพราะตัวอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดในห้องพักและส่วนกลาง การติดตั้งระบบไฟฟ้าบางส่วน รวมทั้งได้เริ่มทยอยติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้ง เรายังได้ให้ลูกค้าเข้าตรวจห้องพักแล้ว คาดว่าในเดือนกันยายนจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 80% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด 657 ยูนิต ” คุณสุวัฒน์กล่าว
คุณสุวัฒน์กล่าวต่อว่า โครงการซัมเมอร์ การ์เด้นท์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5-2-42 ไร่ โดยเป็นคอนโดมิเนียมขนาดสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคาร A (ดอกอัญชัญ) อาคาร B (ดอกเบญจมาศ) อาคาร C (ดอกชบา) อาคาร D (ดอกดาหลา) โดยโครงการจะมีห้องให้เลือกหลายขนาด ได้แก่ 1 ห้องนอน ขนาด 29-42 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 46-51 ตารางเมตร ราคาปัจจุบันเริ่มต้นที่ 1.55 ล้านบาท และมีพื้นที่สำหรับจอดรถในชั้นใต้ดินและชั้นที่ 1 ของอาคาร
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วย พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่สามารถใกล้ชิดกับบรรยากาศธรรมชาติ, สระว่ายน้ำขนาด 370 ตารางเมตร พร้อมด้วยสวนแบบ Tropical, ห้องออกกำลังกายในสวน, เข้า-ออกด้วยระบบ Keycard, CCTV และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
คุณสุวัฒน์กล่าวถึงจุดเด่นของโครงการว่า “ซัมเมอร์ การ์เด้นท์” ตั้งอยู่ในซอยแจ้งวัฒนะ 19 บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ มีระยะทางจากถนนแจ้งวัฒนะเพียง 200 เมตร ใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วน ด่านแจ้งวัฒนะ, รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี (โครงการในอนาคต), ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี, ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และห้างสรรพสินค้าต่างๆ เช่น เซ็นทรัล, บิ๊กซีและบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, อเวนิว, โลตัส และไอที สแคว์ หลักสี่ เป็นต้น
“จุดเด่นเราก็คือพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เราทำตรงนี้ในลักษณะที่ใช้งานได้จริง มีสวนโล่ง สระยาว มีความสวยงาม สามารถใช้งานได้ทุกอย่างเหมือนกับสวนจริงๆ มีทางวิ่งรอบสระ และมีพื้นที่จอดรถถึง 40%” คุณสุวัฒน์กล่าว
{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_019/winsum/photo{/gallery}
ด้านวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโครงการนี้ เนื่องจากแต่เดิมบริษัทดำเนินธุรกิจโรงงานเครื่องครัว และเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพื่อจำหน่ายส่งออกในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งในระยะต่อมาทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดเขตพื้นที่อุตสาหกรรมขึ้น จึงส่งผลให้พื้นที่บริเวณนี้ไม่สามารถขยายโรงงานได้ รวมทั้งมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่รอบๆ โรงงานเพิ่มมากขึ้น ตนจึงมองเห็นในด้านศักยภาพของที่ดิน พื้นที่โดยรอบ รวมทั้งปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นในบริเวณใกล้เคียง จึงริเริ่มที่จะแตกไลน์ธุรกิจมาทางด้านอสังหาริมทรัพย์
“ตนได้ทำการศึกษาตลาดคอนโดมิเนียม บริเวณแจ้งวัฒนะ และเห็นถึงศักยภาพของที่ดินที่จะนำมาพัฒนา โดยว่าจ้างบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยเน้นเพื่อพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับคนเมือง ในระดับราคาที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า” คุณสุวัฒน์กล่าว
ส่วนการแข่งขันในตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณสุวัฒน์กล่าวด้วยความมั่นใจว่า ไม่ได้มีความวิตกกังวล เพราะตนได้ทำการศึกษาเรื่องธุรกิจคอนโดมิเนียมมามากพอสมควร ทั้งการทำการตลาดอย่างไร ผลตอบรับจากลูกค้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร ความพึงพอใจที่ลูกค้าต้องการเป็นอย่างไร เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งเรื่องของคุณภาพทั้งในส่วนของวัสดุก่อสร้างและคุณภาพของโครงการโดยรวม
คุณสุวัฒน์กล่าวต่อถึงโครงการในอนาคตว่า บริษัทอาจจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม โดยบริษัทยังมีพื้นที่สำหรับพัฒนาอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย พื้นที่อำเภอบางบัวทอง ซึ่งอาจจะพัฒนาเป็นบ้านพักอาศัย, พื้นที่รัชดาภิเษก พัฒนาพื้นที่เป็นอพาร์ทเม้นต์ เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ไม่สามารถที่จะขยายเพิ่มได้ รวมทั้งการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้จะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน, พื้นที่สุขุมวิท ซึ่งตนมองว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและยกระดับเป็นลักซ์ชัวรี่ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
“เราไม่ได้คิดว่าเราจะเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว เพราะเรายังมีธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และโรงงานในเครือต่างๆ ของเราก็ยังดำเนินธุรกิจอยู่ นอกจากนี้ พื้นที่ทั้ง 3 แห่ง อาจจะต้องมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติม จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงศักยภาพของพื้นที่และความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากปัจจุบันราคาที่ดินมีการปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้งบประมาณในการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเมื่อลงทุนไปแล้วอาจจะไม่คุ้มค่าก็ได้”คุณสุวัฒน์กล่าว
“มาสเตอร์คูล” แตกไลน์ธุรกิจรุกตลาดสินค้าใหม่
มาสเตอร์คูลส่งบริษัทลูกบุกตลาดสินค้าใหม่ครึ่งปีหลัง 57 ภายใต้แบรนด์ “In green” รองรับตลาดคนรักสุขภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปลื้มรายได้ยอดขายพัดลม 6 เดือนแรกทะลุ 300 ลบ. คาดสิ้นปียอดขายพุ่ง 500 ลบ.
คุณนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายพัดลมไอน้ำ พัดลมไอเย็น และระบบพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้แบรนด์ “มาสเตอร์คูล” (MASTERKOOL) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2557 ว่า บริษัทจะขยายตลาดไปยังกลุ่มสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อบุกตลาดใหม่ๆ ล่าสุด บริษัทได้แตกไลน์ธุรกิจเพื่อผลิตสินค้าใหม่ในนามบริษัท อินโนว์ กรีน โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก โดยจะเน้นผลิตสินค้าที่ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ “In green” (อิน กรีน)
โดยจะรุกไปยังกลุ่มสินค้าระบบโอโซนซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านและร้านอาหารที่หันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ซึ่งได้เปิดตัวและจำหน่าย 2 ผลิตภัณฑ์ในกลางเดือนสิงหาคม คือ ผลิตภัณฑ์สินค้าเครื่องล้างผักผลไม้ระบบโอโซนและเครื่องดับกลิ่นรองเท้าด้วยโอโซน โดยจะเน้นจุดขายเป็นหลักในการทำตลาดในระยะเริ่มแรก ส่วนงบประมาณในการพัฒนาสินค้าเพื่อออกสู่ตลาดทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ จะอยูที่ 4-5 ล้านบาท
คุณนพชัยกล่าวต่อว่า สำหรับแบรนด์ “มาสเตอร์คูล” บริษัทยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องการแก้ปัญหาอากาศร้อนและเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับการติดแอร์ โดยจะพยายามทำการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าจำแบรนด์ “มาสเตอร์คูล” ให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ภายใต้สโลแกน “เย็นได้ใจ ประหยัดได้จริง” สำหรับการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะอยู่ในห้างโมเดิร์นเทรด อาทิ โฮมโปร , แมคโคร เป็นต้น
ปัจจุบัน มาเก็ตแชร์ของบริษัทในตลาดผลิตภัณฑ์พัดลมไอน้ำ อยู่ที่ 70-80% ซึ่งนับว่าบริษัทเป็นผู้นำในด้านของผลิตภัณฑ์นี้ โดยโจทย์หลักของบริษัทจะเน้นการสร้างแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าได้ทราบและรู้จักมากยิ่งขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ, โรงงานอุตสาหกรรม, ร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว, โรงแรม และโรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้ารายย่อยจะเน้นไปในช่องทางการขายให้ครบทุกช่องทางให้มากที่สุด
“เริ่มแรกเราทำพัดลมไอน้ำซึ่งตัวผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่ จึงเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร แต่พอทำตลาดสักพักจะมีกลุ่มลูกค้าบ้านที่สนใจในสินค้าด้านนี้เยอะ เนื่องจากบ้านก็มีปัญหาเรื่องอากาศร้อนเช่นกัน เราจึงเล็งเห็นกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มนี้ ดังนั้นจึงต้องคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงในราคาประหยัดและแก้ปัญหาเรื่องอากาศร้อน รวมทั้ง ต้องการขยายตลาดให้กว้างมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ครบในทุกกลุ่มเป้าหมาย” คุณนพชัยกล่าว
สำหรับสัดส่วนการจำหน่ายของบริษัททั้งในและต่างประเทศอยู่ที่ 80 : 20 โดยตลาดหลักในการจำหน่ายส่งออกไปต่างประเทศจะเป็นตลาดในประเทศ AEC อาทิ เมียนมาร์ , กัมพูชา, ลาว และเวียดนาม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงตลาดที่ใหญ่และมีการเติบโตดีมากในขณะนี้คือประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย รวมทั้ง ประเทศในแอฟริกา, อเมริกาใต้ เป็นต้น
คุณนพชัยกล่าวต่อถึงแผนการตลาดในปี 2557 ว่า บริษัทมีการทำตลาดทั้ง Above the line และ Below the line อย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์, วิทยุ และ โทรทัศน์ เป็นต้น และการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าเกือบตลอดทั้งปี โดยจะใช้งบในการดำเนินการประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งจะค่อนข้างสูงกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนแนวโน้มการตลาดในปีนี้มองว่ายังเติบโตไปได้ดีและจะยังขยายตัวโตต่อเนื่องไปอีกหลายปี
ด้านเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้ สืบเนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก (6 เดือน) บริษัทสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 300 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับปี 2556 ทั้งปี ดังนั้นเป้ายอดขายทั้งปี 2557 คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ที่ 450-500 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะเป็นไปตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
ส่วนการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทได้ลงตลาดสำรวจและพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ค่อนข้างชอบสินค้าที่มาจากประเทศไทยเพราะมีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงต้องพัฒนาในเรื่องภาษาเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เนื่องจากการเปิด AEC จะเป็นการเปิดโอกาสให้ต่างฝ่าย ต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปพัฒนาในด้านการค้าเสรีเพิ่มมากขึ้นในเรื่องของประโยชน์ต่างๆ ร่วมกัน
พีพี เมกะ ออโต้ผุดโชว์รูมซูซูกิ รุกตลาดย่านบางนา-ตราด
คุณพรชัย เครือญาติดี กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณปราณี เครือญาติดี CFO and Business Compliance บริษัท พีพี เมกะ ออโต้ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสก่อสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิ รองรับตลาดยานยนต์ย่านบางนา-ตราดที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมชูนโยบายการบริการแบบครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและประเด็นอื่นๆ ดังนี้
บิส โฟกัส : รายละเอียดโชว์รูมและศูนย์บริการ
ผู้บริหาร : โชว์รูมและศูนย์บริการตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร โดยโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิและศูนย์บริการต่างๆ มีการออกแบบให้สอดรับถนนบางนา-ตราด ซึ่งจะทำให้คนที่สัญจรผ่านไป-มา มองเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นที่สะดุดตาและมีการออกแบบที่ทันสมัย โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ กลุ่มวัยทำงานและกลุ่มคนในพื้นที่ที่มีความต้องการที่จะใช้รถ
ในปี 2556 เราเริ่มดำเนินการออกแบบรูปแบบโชว์รูมและศูนย์บริการและดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ปัจจุบันเราได้เปิดให้บริการเรียบร้อยแล้วทั้งสองส่วน สำหรับการจัดงาน Grand Opening ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ในอนาคตเรามีแผนที่จะเพิ่มในส่วนของศูนย์พ่นสีรถยนต์และอื่นๆ เพื่อให้การบริการครบวงจรมากยิ่งขึ้น
บิส โฟกัส : แผนการตลาดของบริษัท
ผู้บริหาร : ปัจจุบันเรามีการทำการตลาดหลายช่องทาง ทั้งการใช้รถโฆษณา ใช้โบรชัวร์แจกตามบ้านและส่ง Sale ลงพื้นที่เข้าไปตามกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ อาทิ โรงพยาบาลหัวเฉียว มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ (ABAC บางนา) รวมทั้งการประสานงานผ่านองค์การบริหารส่วนตำบลในการโฆษณาตามเสียงตามสายเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตนเอง นอกจากนี้เรายังมีการออกบูธตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งนี้กิจกรรมทางการตลาด เราต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของทางบริษัทแม่ (บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด) เพราะเราเป็นหนึ่งในดีลเลอร์ที่จำหน่ายรถยนต์ เพราะฉะนั้นในแต่ละเดือนงบประมาณทางการตลาดก็จะขึ้นอยู่กับทางซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย เป็นผู้พิจารณาลงมา
บิส โฟกัส : การพิจารณาทำเลที่ตั้งของโชว์รูม
ผู้บริหาร : ในเบื้องต้นเรามีการประสานงานกับทางค่ายรถยนต์ต่างๆ ซึ่งเราได้มีการศึกษาหาข้อมูลในทำเลที่ตั้งต่างๆ และประจวบเหมาะกับได้ที่ดินติดถนนบางนา-ตราด เราจึงทำการสำรวจและวิเคราะห์และเสนอไปยังบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการพิจารณาทำเลที่ตั้งของโชว์รูม โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังไม่มีโชว์รูมและศูนย์บริการที่เป็นของแบรนด์ซูซูกิ จึงทำให้ได้มีโอกาสได้ร่วมงานกับทางซูซูกิ
บิส โฟกัส : หลักในการบริหารงาน
ผู้บริหาร : เนื่องจากเราเป็นดีลเลอร์กับทางบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพราะฉะนั้นในส่วนของระบบการบริหาร นโยบายในการทำงานต่างๆ เราต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี เนื่องจากทางซูซูกิ มีระบบการบริหารจัดการที่ดีอยู่แล้ว เราจึงต้องพัฒนาพนักงานให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เรามองว่าทุกสิ่งที่เราได้รับจากทางซูซูกิเป็นสิ่งที่ดีต่อเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ยังทำให้เราทราบว่าซูซูกิเป็นแบรนด์ที่มีนโยบายการบริหารจัดการและการทำงานซึ่งล้วนเต็มไปด้วยคุณภาพทั้งสิ้น
บิส โฟกัส : ประวัติของบริษัท พีพี เมกะ ออโต้ จำกัด
ผู้บริหาร : สืบเนื่องจากธุรกิจของเราเกี่ยวข้องกับยางรถยนต์มาเกือบ 60 ปี นับตั้งแต่สมัยคุณพ่อที่ก่อตั้งบริษัท โค้ว อินเตอร์ บิสซิเนส จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ชั้นนำทั่วโลก และในปี 2555 ตนมีแนวคิดในการที่จะขยายธุรกิจแต่ยังคงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการขยายตัวมากที่สุด โดยสอดรับกับนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ตนจึงมองว่าน่าจะเป็นการต่อยอดธุรกิจที่ดีในอนาคต จึงได้เริ่มดำเนินธุรกิจนี้
ซัมมิท วินด์มิลล์เตรียมเปิดตัว “เลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ”
ซัมมิท วินด์มิลล์ทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาท ผุด “เลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ” เผยมีความคืบหน้ากว่า 90% พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้ ชูจุดเด่นการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เลอ เมอริเดียนและความเป็นไทยที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว
คุณรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ คลับ จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงแรมซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ เรสซิเดนซ์ และสนามกอล์ฟซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ คลับ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา (Le MeridienSuvarnabhumiGolf Resort & Spa) ว่า โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนกว่า 150 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วกว่า 90% เหลือเพียงในส่วนของการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งเพิ่มเติม โดยจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนตุลาคม 2557 และมีแผนจะ Grand Opening ในช่วงต้นปี 2558
โรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ของสนามกอล์ฟซัมมิท วินด์มิลล์ กอล์ฟ คลับ โดยภายในพื้นที่โรงแรมมีอาคารโถงต้อนรับและล็อบบี้เล้าจน์ตั้งอยู่กลางน้ำ รายล้อมด้วยกลุ่มอาคารไล่ระดับ ทั้งหมด 5 อาคารที่เชื่อมต่อกัน แบ่งออกเป็น อาคารสูง 7, 8 และ 9 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 223 ห้อง แบ่งออกเป็น Type : Deluxe จำนวน 200 ห้อง, Type : Sweet จำนวน 22 ห้อง และ Type : Presidential Sweet จำนวน 1 ห้อง มีขนาดห้องเริ่มต้นที่ 48 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าโรงแรมทั่วไป
“ห้องพักชั้นบนสุดของอาคารจะเป็นห้อง Presidential Sweet ขนาดห้อง 220 ตารางเมตร ถือว่าเป็นห้องที่หรูที่สุดของโรงแรม ส่วนห้องพักชั้นล่าง จะมีจุดเด่นในรูปแบบของห้องที่มีสวนส่วนตัวติดกับทะเลสาบรอบอาคาร ส่วนห้องพักตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปจะเป็นห้อง Deluxe และ Sweet สามารถมองเห็นวิวสนามกอล์ฟและทะเลสาบที่มีความเป็นธรรมชาติ และมีความเงียบสงบ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิและศูนย์การค้าเมกะบางนา” คุณรุ่งกาลกล่าว
คุณรุ่งกาลกล่าวต่อว่าการบริหารโรงแรมดังกล่าว บริษัทได้มอบหมายให้บริษัท สตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เชนโรงแรมระดับสากลเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับเหตุผลที่บริษัทเลือกร่วมงานกับสตาร์วูด เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่มีมาตรฐานในระดับสากล มีระบบการบริหารจัดการและการบริการที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือของแบรนด์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
สำหรับแนวคิดและการออกแบบ โรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา จะมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ตามแบรนด์เลอ เมอริเดียนของสตาร์วูด โดยมีลักษณะผสมผสานระหว่าง Western และ Modern แต่เนื่องด้วยตัวโรงแรมตั้งอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นจึงมีการนำความเป็นไทยผสมผสานในการออกแบบเพื่อให้มีความสวยงามตามเอกลักษณ์ของแบรนด์และความเป็นไทยได้อย่างลงตัว
คุณรุ่งกาลกล่าวปิดท้ายถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อย่างเต็มรูปแบบ ในปี 2558 ว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนจากต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น และจะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเติบโตตามไปด้วย สำหรับการเตรียมความพร้อมของบริษัทเพื่อรองรับ AEC คือการเทรนนิ่งพนักงานในเรื่องของภาษาและพัฒนาการบริการให้สามารถตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น
{gallery}Biz_Interview/2014/bfi_019/ler-meridian/Photo{/gallery}